Moringa Herb
 
 
 
 
    สินค้าในตะกร้า [ 0 ชิ้น ]
 
มะรุมกับการรักษาโรคต่างๆ

 

มะรุมกับการรักษาโรคต่างๆ 

มะรุมกับโรคมะเร็ง
       ผลการวิจัยพบว่า สารเบนซิลไทโอไซยาเนตไกลโคไซด์ชนิดหนึ่ง และสารไนอาซิไมซิน(niazimicin)จากใบมะรุมสามารถ ต้านการเกิดมะเร็งที่ถูกกระตุ้นโดยสารฟอบอลเอสเทอร์ ในเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวได้  และจากการทดลองในหนูที่มีเชื่อมะเร็งพบว่า  หนูที่ได้กินมะรุมสามารถต่อต้านและลดการขยายตัวเซลส์ของมะเร็งได้   เมื่อเปลี่ยบเทียบกับหนูที่ไม่ได้กินมะรุม   และทดลองในหนูที่ไม่มีเชื้อมะเร็ง 2 กลุ่ม  กลุ่มที่กินฝักมะรุมจะไม่มีอัตราการก่อตัวของมะเร็งผิวหนัง  ส่วนอีกกลุมที่ไม่กินมะรุมมีอาการและมีเชื้อมะเร็งก่อตัวขึ้น

       จากประสบการณ์ของผู้ป่วยโรคมะเร็ง   พบว่าเซลส์มะเร็งหยุดการเจริญเติมโตและมีขนาดลดลงหลังจากรับประทานได้ประมาณ 1 ปี  อีกทั้งยังช่วยลดการแพ้คีโมและร่างกายฟื้นต้วเร็วขึ้นในระหว่างการรักษากับแพทย์แผนปัจจุบัน  ซึ่งเป็นที่น่าประหลาดกับแพทย์มาก แพทย์จึงอนุญาตให้รับประทานมะรุมควบคู่กับยาแผนปัจจุบันต่อไปได้

         และอีกประสบการณ์ ผู้ป่วยเป็นเนื้องอกในมดลูก ซึ่งได้ไปตรวจเช็คขนาดของก้อนเนื้องอกได้ 6 CM  ซึ่งผู้ป่วยสูงอายุและสภาพร่างกายของผู้ป่วยยังไม่สามารถผ่าตัดได้ในทันที และได้มีคนแนะนำให้ผู้ป่วยลองรับประทานใบมะรุม   ซึ่งรับประทานได้ประมาณ 1 ปี  ปรากฏว่าเนื้องอกนั้นมีขนาดลดลง

             มีผู้ป่วยอีกรายเป็นมะเร็งที่ลำไส้ และได้รักษาและผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว  โดยแพทย์แจ้งว่าเชื้อมะเร็งมีโอกาศกลับมาได้อีก  แพทย์แนะนำให้ดูแลตัวเอง ออกกำลังกาย และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยหลี่กเลี่ยงเนื้อสัตว์เท่าที่จะทำได้ และตรวจเช็คร่างกายทุก 6 เดือน  และบังเอญมีคนแนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานใบมะรุม  ผู้ป่วยก็รับประทานอย่างต่อเนื่องมาตลอดหลายเดือน    เมือไปตรวจร่างกาย ยังไม่พบเชื้อมะเร็งอีกเลย

 

มะรุมกับโรคภูมิแพ้

       ผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมแพ้ มีอัตราเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  ทุกปี  มีผลมาจากสภาพอากาศที่แปรปรวน และมลพิษเพิ่มมาขึ้น ซึงกลายเป็นโรคประจำตัวของคนทั่วไปโดยเฉพาะในกรุงเทพที่มีสิ่งเร้าก่อให้เกิดอาการมากยิ่งขึ้น รวมทั้งเกิดจากกรรมพันธุ์ เด็กที่เกิดจากพ่อหรือแม่ที่เป็นโรคภูมิแพ้จะมีความเสี่ยงในการเป็นโรคภูมิแพ้ถึง70 %   ซึ่งอาการของภูมิแพ้จะแตกต่างๆกันไปตามสิ่งเร้าที่แพ้ เช่น แพ้อากาศ แพ้ขนสัตว์ แพ้ควันบุหรี แพ้อาหาร แม้กระทั้งบางคนแพ้ยา อาการที่พบบ่อย ได้แก่  คันในจมูก จามติดกันหลายๆครั้ง น้ำมูกใสๆ ไหลมาก คัดแน่นจมูก  อาการอื่นๆ เช่น หูอื้อ ปวดมึนศีรษะ น้ำมูกไหลลงคอ เสมหะติดในคอ ผู้ป่วยจะมีอาการไอ หอบ แน่นหน้าอก หายใจเสียงวี้ด อาจเป็นตอนออกกำลังกาย ตอนกลางคืน หรือตอนเป็นหวัดก็ได้ ,

โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง เป็นผื่นคัน แห้งแดง และเรื้อรัง พบบ่อยบริเวณหน้า ข้อพับแขนขาโรคลมพิษ ผื่นนูน  บวม  คัน ตามผิวหนังส่วนต่างๆ บางรายอาจมีอาการบวมบริเวณหน้าตาหรือปากด้วย หรือผื่นแพ้ผิวหนังจากการสัมผัส เป็นผื่นคันจากการสัมผัสสารแพ้ต่างๆ เช่นผงซักฟอก ยาย้อมผม เครื่องสำอาง ถุงมือ โลหะ เป็นต้น  บางรายแพ้อาหาร มีอาการได้หลายระบบ ทั้งระบบผิวหนัง (ผื่นลมพิษ)ระบบหายใจ (คัดจมูก น้ำมูกไหล หอบ) ระบบทางเดินอาหาร (อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย) อาหารที่เป็นสาเหตุได้บ่อย คือ นมวัว ไข่ อาหารทะเล ถั่วลิสง  และเยื่อบุตาอักเสบจากการแพ้ มีอาการแสบตา คันตา ตาแดง น้ำตาไหล ขยี้ตาบ่อย เปลือกตาบวม

ปฎิกริยาการแพ้แบบรุนแรง เกิดอาการหลังได้รับสารแพ้ภายในเวลาไม่เกินครึ่งชั่งโมง  ทำให้มีอาการแน่นหน้าอกความดันโลหิตต่ำ และอาจเสียชีวิตได้ สาเหตุเป็นได้ทั้งจากแพ้อาหาร แพ้ยา แพ้แมลงต่างๆ เป็นต้น

และโรคภูมิแพ้ยังก่อให้เกิดโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจได้อีกด้วย เช่นไซนัส  , หืดหอบ , โรคปอด เป็นต้น    ดังนั้นผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้จะต้องดูแลตัวเอง ออกกำลังกาย  พักผ่อนให้เพียงพอ และหลี่กเลี่ยงสิ่งเร้าที่ทำให้เกิดอาการแพ้  โรคภูมิแพ้เป็นโรคที่มีการแสดงอาการได้หลายแบบ เกิดจากปฎิกริยาของร่างกายต่อสารก่อภูมิแพ้
         
           จากประสบการณ์ของผู้ที่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้เรื้อรัง ที่ได้รับประทานมะรุมแคปซูลเป็นประจำทุกวัน อาหารภูมิแพ้ และอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ดีขึ้นอย่างมาก  รวมทั้งอาการหือหอบก็ลดลงด้วย หายใจสะดวกขึ้น  ทำให้ลดการรับประทานยาปฎิชีวนะซึ่งเป็นการทำลายกระดูด และก่อให้เกิดโรคกระดูดพรุน

 

มะรุมกับการลด คอเสลเตอรรอล

         สารสกัดจากน้ำจากใบมะรุม มีผลลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้ จากการทดลอง ในหลอดเลือดของหนูแรทและกระต่ายซึ่งได้รับอาหารชนิดที่มีไขมันสูง  การทดสอบโดยให้กระต่ายที่มีระดับคอเลสเตอรอลสูงและกระต่ายปกติ โดยให้กินผลมะรุมขนาด 200 มก./กก. น้ำหนักตัว ต่อวัน นาน 120 วัน     เมื่อเปรียบเทียบกับยาลดไขมันโลวาสแตทิน 6 มก./กก. น้ำหนักตัว ต่อวัน และให้อาหารไขมันมาก   พบว่าน้ำสกัดจากใบมะรุมมีผลลดระดับคอเลสเตอรอล ในกระต่ายกลุ่มแรกได้ มากกว่ากระต่ายที่ได้รับยาลดไขมัน  และ  จากการบอกเล่าของผู้ที่รับประทานใบมะรุมแคปซูลเป็นประจำทุกวัน พบว่าไขมันในเลือกลดลงจนอยู่ในระดับปกติ และเมื่อสังเกตระบบขับถ่าย พบว่าร่างกายสามารถขับถ่ายไขมันออกมาด้วย

 

 มะรุมกับโรคเบาหวาน

เบาหวาน เกิดจากความผิดปกติของร่างกายที่มีการผลิตฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอ อันส่งผลทำให้ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดสูงเกิน โรคเบาหวานจะมีอาการเกิดขึ้นเนื่องมาจากการที่ร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลได้อย่างเหมาะสม ซึ่งโดยปกติน้ำตาลจะเข้าสู่เซลล์ร่างกายเพื่อใช้เป็นพลังงานภายใต้การควบคุมของฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งผู้ที่เป็นโรคเบาหวานร่างกายจะไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลที่เกิดขึ้นทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ในระยะยาวจะมีผลในการทำลายหลอดเลือด ,ฟัน,เหงือก, ตา , ไต และหัวใจ ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่สภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้

อาหารที่รับประทานเข้าไปส่วนใหญ่จะเปลี่ยนจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดเพื่อใช้เป็นพลังงาน เซลล์ในตับอ่อนชื่อเบต้าเซลล์เป็นตัวสร้างอินซูลิน อินซูลินเป็นตัวนำน้ำตาลกลูโคสเข้าเซลล์เพื่อใช้เป็นพลังงาน โรคเบาหวานเป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ เกิดเนื่องจากการขาดฮอร์โมนอินซูลิน หรือประสิทธิภาพของอินซูลินลดลงเนื่องจากภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอยู่เป็นเวลานาน

 จากประสพการณ์ของผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน และหันมารับประทานมะรุม อย่างต่อเนื่อง ผลปรากฎว่าระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างเห็นได้ชัด   โดยสามารถลดยาแผนปัจจุบันได้และผู้ป่วยสามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ตามลำดับ  จนถึงภาวะปกติ

 

มะรุมกับโรคเก๊าท์

มะรุมมีฤทธิ์ในการเบาเทาอาการปวดไขข้อจากการอักเสบและโรคกระดูก และโรคเก๊าท์ เนื่องจากในใบมะรุมมีวิตามิน และ แคลเซียม ที่ช่วยป้องการกระดูดเสื่อม และเสริมสร้างให้กระดูดแข็งแรงขึ้น  
        โรคเก๊าท์ เกิดจากภาวะที่กรดยูริคในเลือดมีปริมาณสูงเกินไป เกินกว่าที่จะสามารถอยู่ในเลือดในรูปสารละลายได้ จึงมีการตกตะกอนสะสมอยู่ตามที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะในที่ที่มีอากาศเย็นกว่าบริเวณอื่น เช่น ตามข้อ ทำให้ข้ออักเสบ หรือ ตามศอก นิ้ว ติ่งหู ตาตุ่ม หลังเท้าทำให้เกิดปุ้มก้อนเกิดขึ้น

สาเหตุ  ของเก๊าท์ เกิดเนื่องจากร่างกายมีกรดยูริคสูงเกิน เป็นเวลานาน สำหรับผู้ชาย ระดับยูริคจะสูงตั้งแต่ ในช่วงวัยรุ่น แต่ผู้หญิงด้วยฤทธิ์ของฮอร์โมนเพศ จะไม่สูง แต่จะสูงเมื่อถึงวัยหมดประจำเดือนแล้ว ระดับยูริคที่สูงจะไม่ทำให้เกิดอาการ แต่จะสะสมตกตะกอนไปเรื่อย ๆ จนเริ่มมีอาการทางข้อ
อาการของเก๊าท์ที่สำคัญคือ ข้ออักเสบ มักเกิดที่บริเวณนิ้วหัวแม่เท้า

        อาการของเก๊าท์ที่สำคัญคือ ข้ออักเสบ มักเกิดที่บริเวณนิ้วหัวแม่เท้า, ข้อเท้า เป็นต้น โดยข้อที่อักเสบ จะบวม แดง ร้อน และปวดมาก ชัดเจน (ถ้าข้อที่ปวด ไม่บวม แดง ร้อน หรือมีอาการไม่ชัดเจนให้สงสัยไว้ ก่อนว่าไม่ใช่เก๊าท์) โดยมากมักเป็นข้อเดียวและมีอาการอักเสบอยู่ประมาณ 5-7 วัน อาการจะค่อย ๆ ทุเลาไปได้เอง จนหายสนิท ระหว่างที่ไม่มีอาการ จะไม่มีความผิดปกติใด ๆ  ให้เห็น เมื่อข้ออักเสบขึ้นใหม่ จะมีอาการเช่นเดิมอีก อาการจะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเป็นมากขึ้น  อาการข้ออักเสบจะเป็นมากขึ้นหลายข้อมากขึ้น เป็นนานและรุนแรงขึ้น รวมทั้งเกิดปุ่มก้อนของยูริค สะสมมากขึ้น ผู้ป่วยระยะนี้มักมีไตวายร่วมด้วย
 

 

มะรุมกับโรคลำไส้อักเสบ

ส่วนใหญ่การอักเสบของลำไส้จากการติดเชื้ออะมีบาหรือที่เรียกว่าบิดมีตัว ในเรื่องของอาหารการกิน ก็มีส่วน คือพบว่าการกินอาหารไขมันสูง , กากน้อย จะทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งสูงขึ้น   ส่วนการอักเสบชนิดเป็นแผลเรื้อรังของลำไส้ เรียกรวมกันว่า    ซึ่งกลุ่มอาการลำไส้ไวต่อสิ่งเร้า พบได้ในคนทุกวัย ส่วนมากจะเป็นๆหายๆ หรือเป็นอยู่ประจำนานอยู่เป็นแรมปี หรือตลอดชีวิต โดยที่สุขภาพทั่วไปแข็งแรงดีและทำงานได้เป็นปกติ เป็นโรคที่ไม่มีอาการแทรกซ้อนร้ายแรงแต่อย่างใด เกิดจากความผิดปกติเกี่ยวกับการทำงานของลำไส้ใหญ่ โดยหาความผิดปกติทางด้านร่างกายไม่พบ แต่พบว่าสัมพันธ์กับอารมณ์และจิตใจ เช่น เครียด คิดมาก วิตกกังวล อาการมากหรือน้อยขึ้นกับบริเวณและระยะของโรค บางรายอาจมีอาหารเพียงแน่นท้อง ท้องอืด หรือปวดท้องร่วมกับมีอาการท้องเดิน นอกจากอาการปวดท้อง ผู้ป่วยมักมีไข้ร่วมด้วย การวินิจฉัยโรคนี้ต้องอาศัยอาการแสดงของโรค การตรวจอุจจาระ

      การตรวจร่างกายและการตรวจเพื่อแยกแยะว่าไม่ได้เป็นความผิดปกติของลำไส้อื่นๆ ในระยะแรกอาจวินิจฉัยแยกจากโรคแผลลำไส้อักเสบได้ยาก ต้องอาศัยการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ และตัดชิ้นเนื้อไปพิสูจน์

        การรับประทานมะรุมเป็นประจำติดต่อกัน จะช่วยให้เบาเทาอาการลำไส้อักเสบ ท้องอืดได้รวมทั้งผู้ที่เป็นพยาธิในลำไส้ ใบมะรุมมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื่อในลำไส้ได้

 

มะรุมกับโรคเกี่ยวกับตา

    ปัญหาของโรคตาที่อาจส่งผลให้เกิดภาวะตาบอดหรือความบกพร่อง ในการมองเห็นนั้น เป็นความพิการที่น่าสลดใจ ปัญหาตาบอดหรือสายตาเสีย มักจะเกิดขึ้นในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งความพิการทางตานี้สามารถป้องกัน และรักษาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่มีความเกี่ยวพันกับภาวะขาดสารอาหาร สารอาหารที่มีข้อมูลสนับสนุนว่ามีความสัมพันธ์กับโรคตา คือ วิตามินเอ ธาตุสังกะสี วิตามินอี และวิตามินซี ซึ่งในใบมะรุมมีวิตามันจำพวกดังกล่าวอยู่ ดังนั้นมะรุมจึงทำให้การมองเห็นดีขึ้น

 "ต้อกระจก" เป็นสาเหตุประการหนึ่ง ที่ส่งผลให้เกิดความบกพร่องในการมองเห็น
และปัญหาตาบอดในผู้สูงอายุ เนื่องจาก วิตามินอี และวิตามินซีเป็นสารแอนติ ออกซิแดนต์
จากการศึกษาในสัตว์ทดลอง พบว่า วิตามินอีและวิตามินซีมีผลในการป้องกันการเกิด
ต้อกระจก และผู้วิจัยได้เสนอแนะว่า การได้รับวิตามินอีและวิตามินซีเสริมนี้ สามารถลดอัตรา
เสี่ยงต่อการเกิดต้อกระจกลงได้ครึ่งหนึ่งดังนั้นจึงพอสรุปได้ว่า วิตามินเอเป็นสารอาหารที่สำคัญ ในการรักษาลักษณะทางกายภาพและการทำงานของตาให้เป็นปกติ ภาวะการขาด วิตามินเอจะส่งผลให้เกิดความผิดปกติต่าง ๆ เริ่มจากอาการตาบอด กลางคืน เยื่อบุตาขาวแห้ง ย่น เป็นแผล ตามมาด้วยกระจกตาแห้ง ขรุขระ อ่อนเหลว และท้ายสุด หากไม่ได้รับการรักษา
ทันท่วงทีตาอาจบอดได้ ส่วนธาตุสังกะสี จะทำงานร่วมกับวิตามินเอในกระบวนการทางเคมี ให้เกิดการมองเห็นในที่มืด  นอกจากนี้ยังช่วยให้มีการสร้างโปรตีนตัวพาของวิตามินเอ ในตับ เพื่อจะได้ลำเลียงวิตามินเอไปยังเนื้อเยื่อที่ต้องการได้อีกด้วย มีการศึกษาที่แสดงว่าการให้สังกะสีเสริมในผู้ป่วยโรคตับ จากพิษสุราเรื้อรัง และ ในเด็กวัยเรียนช่วยให้การมองเห็นภาพ ในที่มืดดีขึ้น สำหรับวิตามินอี ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสาร แอนติออกซิแดนต์นั้น มีรายงานว่า ช่วยลดอุบัติการณ์ และความรุนแรงของโรคตาในทารกคลอดก่อนกำหนดได้ และท้ายสุดนี้คือการเสนอแนะว่า วิตามินอีและวิตามินซี ซึ่งมีฤทธิ์เป็นแอนติออกซิแดนต์ สามารถลดอัตราเสี่ยง ของการเกิด
ต้อกระจก ในกลุ่ม ผู้สูงอายุ ซึ่งข้อเสนอแนะนี้ ยังต้องการการศึกษาเพิ่มเติม เพื่อหาข้อสรุปที่ชัดเจนต่อไป

    ซึ่งข้อมูลดังกล่าวเป็นที่มาของการรับประทานมะรุมแล้วสายตาดีขึ้นเนื่องจากในใบมะรุมมีวิตามินต่างมากมายที่มีผลในการมองเห็นดีขึ้น และป้องกันโรคต้อต่างๆได้

 

 มะรุมกับโรคขาดสารอาหาร

ในประเทศไทย  ประชากรบางส่วนของประเทศในชนบท ยังเป็นโรคขาดสารอาหารอีกจำนวนมาก โดยเฉพาะเด็กแรกเกิดและเด็กอ่อนวัยเรียน  เด็กหล่าวนี้จะมีสภาพรางก่ายไม่เจริญเติมโต มีความต้านทานโรคต่ำ และจะส่งผลถึงสมอง

                โรคขาดสารอาหารที่สำคัญและพบบ่อยในประเทศมีดังนี้

1.โรคขาดสารอาหารประเภทโปรตีนและแคลอรี่  : เกิดจากร่างกายได้รับสารอาหารประเภทโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และ ไขมัน ไม่เพียงพอ กับความต้องการของร่างกาย จะพบบ่อยในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี โดยเฉพาะเด็กแรกเกิดและเด็กวัยเรียน ซึ่งเกิดจากการเลี้ยงดูที่ไม่ได้รับการเอาใจใส่ และขาดความรู้เรื่องโภชนาการ  อาการของโรคมี 2 ประเภท ดังนี้

- ควาชิออร์กอร์ (Kwashiorkor) เป็นลักษณะอาการที่เกิดจาการขาดสารอาหารประเภทโปรตีนอย่างมาก มักเกิดกับเด็กทารกที่เลี้ยงด้วยนมข้นหวาน และอาการประเภทข้าวหรือแป้งเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ร่างกายขาดโปรตีนที่มีความจำเป็นในการเจริญเติมโตของเด็ก  ทารกจะมีอาการซีด บวมที่กน้า ขา และลำตัว เส้นผมบางเปราะ ร่วงง่าย ผิวหนังหยาบ มีอาการซึมเศร้า  มีความต้านทานโรคต่ำ  ติดเชื้อง่าย และ สติปัญญาเสื่อม

-มารามัส (Marasmus) เป็นลักษณะอาการที่เกิดจากการขาดสารอาการประเภทโปรตีน  คาร์โบไฮเดรตและไขมัน เด็กที่เป็นโรคนี้จะมีอาการคล้ายกันเป็นควาชิออร์กอร์แต่ไม่มีอาการบวมที่ท้อง หน้า และ ขา นอกจากนี้ร่างกายจะผอมแห้งศรีษะโตพุงโร ผิวหนังเหนี่ยวย่นเหมือนคนแก่ ลอกออกเป็นชั้นได้ และท้องเสียบ่อย

2. โรคขาดวิตามัน  การขาดวิตามิน หรือได้รับวิตามันในปริมาณน้อยเกินไป จะทำให้ร่างกายของเด็กไม่สมบรูณ์และเกิดโรคต่างๆได้

- โรคขาดวิตามินเอ เกิดจากอาหารที่มีไขมันต่ำและมีวิตามินเอน้อย  ซึ่งจะทำให้เด็กหยดการเจริญเติบโต สุขภาพอ่อนแอ ผิวหนังหยาบแห้งมีตุ่มสาก เหมือนหนังคางคก เนื่องจากการอักเสบ บริเวณก้น แขน ขา ข้อศอก เข่า  และหน้าอก  นอกจากนี้จะมีอาการอักเสบในช่องจมูก หู ปาก ต่อมน้ำลาย  การรักษา และป้องกันการขาดวิตามินเอ  ทำได้โดยการรับประทานอาหารที่มีไขมันและผลไม้ ผักใบเขียว ใบเหลือง เช่น มะละกอ มะม่วงสุก ,ผักบุ้ง ,ผักคะน้า ตำลึง , มันเทศ ไข่และนม

- โรคขาดวิตามินบีหนึ่ง  เกิดจากการกินอาหารที่มีวิตามินบีต่ำ และ กินอาหารที่ไปขัดขวางการดูดซึมวิตามินบีหนึ่ง คนที่ขาดวิตามินบีหนึ่งจะเป็นโรคเหน็บชา ซึ่งจะมีอาการชาทั้งมือและเท้า  การรักษาและป้องกัน  โดยการกินอาหารที่มีวิตามินบีหนึ่งให้เพียงพอ เช่น ข้าวซ้อมมือ ตับ ถั่วเมล็ดแห้ง เนื้อสัตว์

- โรคขาดวิตามินบีสอง เกิดจากการรับประทานอาหารที่มีวิตามินบีสองไม่เพียงพอ ซึ่งมีผลทำให้เป็นแผล หรือ รอยแตกที่มุ่มปากทั้งสองข้าง (ปากนกกระจอก)  รักษาโดยการรับประทาน นมสด นมถั่วเหลือง  ถั่งเมล็ดแห้ง ผัก ผลไม้

-โรคขาดวิตามินซี  เกิดจากการรับประทานอาหารที่ไม่มีวิตามินซี จะทำให้มีอาการเหงือกบวมแดง เลือดออกง่าย และ มีเลือดออกตามไรฟ้น การรักษาโดยการรักประทานอาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่นส้ม มะนาว มะขามป้อม มะเขือเทศ ฝรั่ง ผักซี

    ในใบมะรุมมีสารอาหารและวิตามินมากมาย ที่มีความจำเป็นต่อร่างกายที่จะต้องได้รับจากการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในทุกๆมื้อ  ทดแทนผักและผลไม้บางชนิดที่มีประโยชน์ ใบมะรุมจึงสามารถรักษาโรคขาดสารอาหารในเด็กยากจนให้มีสุขภาพดีขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

    เด็กเอธิโอเปีย อายุ 5 เดือน เป็นโรคขาดสารอาหารอย่างรุนแรง และยากที่จะมีโอกาศรอดชีวิต ซึ่งต่อมาแม่ของเด็กได้รับการแนะนำให้ใช้ใบมะรุมมาบดผสมอาหารให้เด็กรับประทาน หลังจากนั้นเด็กน้อยมีอาการดีขึ้นมาก และหากจากการเป็นโรคขาดสารอาหาร

 www.moringaherb.com

 

 
   
เว็บไซต์นี้ เป็นเว็บร้านค้าสมาชิกของ SABUYJAISHOP ผู้ให้บริการทางการตลาดออนไลน์ สำหรับร้านค้าหรือผู้ประกอบการ ที่ต้องการนำเสนอสินค้า โฆษณา ประชาสัมพันธ์ร้านค้า หรือสินค้าในร้าน

©2008-2009 SABUYJAISHOP All Rights Reserved