การรับประทานใบมะรุม ใบมะรุมสด ควรรับประทานใบสดที่ไม่แก่หรืออ่อนจนเกินไปนัก เพื่อให้ได้ประโยขน์เต็มที่ ในเด็กแรกเกิด -1 ปี ให้คั้นน้ำจากใบเพียง 1 หยด ผสมกับนมให้ดื่มเพียง 1 หยด ต่อ 1-2 วัน ในใบมะรุมนี้มีธาตุเหล็กสูงมาก ฉะนั้นทารกในวัยเจริญเติบโต - 2 ขวบ จึงไม่ควรทานมาก เด็กที่เริ่มทานอาหารได้ถึง 3-4 ขวบ ควรทานวันละไม่เกิน 2 ใบ เพิ่มจำนวนขึ้นทีละใบตามอายุ จนถึง 10 ขวบ เด็กวัยรุ่นและผู้ใหญ่ รับประทานวันละ 1 กิ่ง จะทานสดหรือประกอบอาหารหรือเป็นอัดแคปซูลก็ได้ ถ้าจะให้ได้ผลรวดเร็ว ควรคั้นน้ำดื่มประมาณวันละ 1 ช้อนโต๊ะสำหรับผู้ใหญ่ หรือ 1 ช้อนชาสำหรับเด็ก
การรับประทานในปริมาณที่มากเกินไป ใบมะรุมสดก็เหมือนผักใบเขียวทุกชนิด ไม่ควรรับประทานเป็นจำนวนมาก เพราะใบมะรุมจัดเป็นยาถ่ายประเภทหนึ่ง เมื่อรับประทานมากอาจทำให้มี อาการท้องเสียได้ ผู้ที่มีอาการแพ้ภายหลังรับประทานใบมะรุม จะเกิดอาการวิงเวียนศีรษะ ในกรณีนี้ให้แนะนำให้รับประทานใบแมงลัก อาการเวียนศีรษะก็จะหายไป การรับประทานใบตากแห้งจะให้ผลดีกว่าใบสด เพราะสามารถรับประทานได้มากกว่า ผลย่อมดีกว่า การรับประทานใบแห้งอาจชงดื่มเป็นน้ำชาซึ่งอาจให้ผลช้ากว่าในรูป แบบแคปซูล
การรับประทานสุกควรลวกแต่พอควรเพราะการถูกความร้อนนานเกินไปจะทำให้สารอาหารหลายชนิดเสื่อมคุณภาพลงไปมาก ถ้าสามารถรับประทานสดได้ จะได้ผลดีมาก ใช้ทำสลัดรวมกับผักสด หรือวางบนแซนวิช สามารถนำใบมาตากแห้งโดยการตากในที่ร่มอย่าให้โดนแดดเมื่อแห้งสนิทดีแล้วนำมาใช้ทำเป็นน้ำชาไว้ดื่มได้ตลอดวัน
การเก็บใบมะรุม ก่อนเก็บหนึ่งวันให้ฉีดน้ำล้างใบให้สะอาด จากนั้นนำมาผึ่งให้แห้งในที่ร่ม ถ้าตากแดดต้องคลุมผ้าให้มิดไม่ให้โดนแสงเพื่อป้องกันการสูญสลายของพวกวิตามินต่างๆ ใบแห้งสนิทจะสังเกตุได้ง่ายคือใบจะกรอบ ถ้าจะเก็บไว้ดื่มเป็นชาหรือจะบดเป็นผงเพื่อบรรจุแคปซูลในลำดับต่อไป การเก็บรักษา ควรเก็บในภาชนะที่ทึบแสงหรือบรรจุลงแคปซูลภายใน 8 ชั่วโมงหลังจากการเก็บใบมะรุมมาจากต้น ป้องกันการเสื่อมคุณภาพและการสูญเสียวิตามินต่างๆในใบมะรุม เช่น วิตามิน C ที่ไวต่อแสงและความร้อนมาก
ข้อควรระวัง สำหรับการรับประทานมะรุม
เป็น โรค G6PD ห้าม ทานมะรุม G6PD Deficiency (Glucose-6-Phosphate Dehydrogenase deficiency) เป็นภาวะพร่องเอนซัยด์ G6PD ที่พบบ่อยในมนุษย์ มีประชากรประมาณ 400 ล้านคนทั่วโลก ที่มีภาวะนี้
ภาวะนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ โรคแพ้ถั่วปากอ้า(Favism) G6PD Deficiency มีการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ผ่านทางโครโมโซมเอกซ์ (X-linked recessive fashion) ทำให้มีผลกระทบต่อเพศชายมากกว่าเพศหญิง การวินิจฉัยโรคนี้ใช้การตรวจสอบทางพันธุกรรม สิ่งสำคัญคือ ถ้าคุณมีภาวะนี้ เมื่อไม่สบายคุณจะต้องบอกแพทย์ พยาบาล หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องในทีมสุขภาพ เพื่อจะได้ระมัดระวังในการใช้ยารักษา ถ้าคุณขาดเอนซัยด์ G6PD จะเป็นอย่างไร? ปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นคือ ภาวะโลหิตจางและภาวะเหลืองในทารกแรกเกิด ซึ่งมีสาเหตุจากการขาดสาร nicotinamide dinucleotide phosphaste (NADPH) ซึ่งต้องอาศัยเอนซัยด์ G6PD เป็นตัวกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงทางเคมี ในเซลปกติ NADPH จะทำหน้าที่ในการกำจัดสาร อ๊อกซิแดนซ์ที่จะทำลายเซลต่างๆ ของ
www.moringaherb.com
|