การเก็บมะรุม..มาทำสมุนไพร
" มะรุม" มีการนำส่วนต่างๆมาใช้ประโยชนืได้มากมาย ทั้งเปลือกของลำต้น , ดอก ,ใบ และรากมาทำเป็นสมุนไพร ด้วยเหตุนี้เองการเลือกส่วนที่จะเอามาใช้ประโยชน์จึงมีความสำคัญมากเช่นเดียวกัน จึงจะต้องมีวิธีการที่ถูกต้อง เพื่อให้คุณค่าทางยาไม่เสียหาย และอีกประการที่สำคัญคืออช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเก็บ "มะรุม”
การเก็บส่วนต่างๆของมะรุมเอามาทำเป็นสมุนไพรนั้น ถ้าเก็บในระยะเวลาที่ไม่เหมาะสมก็มีผลต่อการออกฤทธิ์ในการรักษาโรคของสมุนไพรได้ นอกจากจะต้องคำนึงถึงเรื่องช่วงเวลาในการเก็บเป็นสำคัญแล้ว ยังจะต้องคำนึงถึงว่าการเก็บแต่ละส่วนนั้นถูกต้องหรือไม่ ส่วนไหนของมะรุมใช้เป็นยา ดินที่ปลูกอากาศ เป็นอย่างไร การเลือกเก็บส่วนต่างๆของมะรุม ที่เป็นยาอย่างถูกวิธีการนั้น จะมีผลอย่างมากต่อประสิทธิภาพของฤทธิ์ยาที่จะนำมารักษาโรค หากปัจจัยต่างๆ ดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไป ปริมาณตัวยาที่มีอยู่ในสมุนไพรนั้นๆ ก็จะเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ทำให้สมุนไพรมะรุม ที่ได้มานั้นไม่เกิดผลดีในการบำบัดรักษาโรคได้เท่าที่ควร
หลักการโดยทั่วไปในการเก็บส่วนของมะรุมสมุนไพร แบ่งออกได้ดังนี้
ราก: สมควรเก็บในช่วงเวลาที่พืชหยุดการเจริญเติบโต ใบ ดอก ร่วงหมดแล้ว หรือในช่วงต้นฤดูหนาวถึงปลายฤดูร้อน เพราะเหตุว่าในช่วงเวลานี้ราก มีการสะสมปริมาณตัวยาเอาไว้ค่อนข้างสูง วิธีการเก็บก็จะต้องใช้วิธีขุดด้วยความระมัดระวังให้มาก อย่าให้รากเกิดการเสียหาย แตกช้ำ หักขาดขึ้น
ใบ :ควรจะเก็บใบที่เจริญเติบโตมากที่สุด เก็บใบไม่อ่อนหรือไม่แก่เกินไป เก็บช่วงดอกหรือบาน หรือช่วงเวลาที่ดอกบาน เป็นต้น การกำหนดช่วงเวลาที่เก็บใบ เพราะช่วงเวลานั้นในใบมีตัวยามากที่สุด วิธีการเก็บก็ใช้วิธีเด็ด
เปลือกต้นหรือเปลือกราก : เปลือกต้นโดยมากเก็บช่วงฤดูร้อนต่อกับช่วงฤดูฝน ปริมาณยาในพืชสมุนไพรมีสูง และลอกออกได้ง่าย สะดวก ในการลอกเปลือกต้นนั้น อย่าลอกเปลือกออกทั้งรอบต้น เพราจะกระทบกระเทือนในการส่งลำเลียงอาหารของพืช จะทำให้ตายได้ ทางที่ดีควรลอกเปลือกกิ่งหรือส่วนที่เป็นแขนงย่อย ไม่ควรลอกออกจากล้าต้นใหญ่ของต้นไ หรือจะใช้วิธีลอกออกในลักษณะครึ่งวงกลม
ดอก : โดยทั่วไปเก็บในช่วงดอกเริ่มบาน
เมล็ด: เมล็ดมะรุม เก็บเมื่อฝักแก่เต็มที่แล้ว จนกระทั้งฝักแตกตัวอ้าออก เมล็ดจึงจะแห้งสนิดดี สมารถนำมาสกัดนำมันได้
คุณภาพของมะรุมสมุนไพรที่จะใช้รักษาโรคได้ดีหรือไม่นั้น สำคัญอยู่ที่ช่วงเวลาการเก็บและวิธีการเก็บ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่จะต้องคำนึงถึงอีกอย่างก็คือ พื้นดินที่ปลูกต้นมะรุมต้องปลูกในที่ดินกว้าง สภาพแวดล้อมที่ดีและภูมิอากาศถ่ายเทและโปรง มีแสงแดดส่องได้ถั่วถึง หากปลูกในที่ดินทราย ปริมาณน้ำน้อย จะทำให้มะรุมเป็นโรคได้ง่ายและใบเล็กแห้ง มีสีเหลืองเป็นจุด
www.moringaherb.com
www.moringaherb.com |