สารช่วยชะลอหรือลดรอยเหี่ยวย่น
หลัง จากที่เราทราบสาเหตุของการเกิดรอยเหี่ยวย่นแล้ว เราคงอยากทราบถึงวิธีที่จะชะลอหรือลดรอยเหี่ยวย่นโดยเฉพาะที่ปรากฏอยู่บนใน หน้า ซึ่งปัจจุบันก็มีหลายวิธีขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละคนเช่น อายุ ความลึกและสาเหตุของริ้วรอย ค่าใช้จ่าย ความสะดวก เป็นต้น ทั้ง การรับประทานในรูปวิตามินและอาหารเสริม การใช้ครีมบำรุงและลบรอยย่น หรือการทำศัลยกรรมโดยเฉพาะการใช้เลเซอร์ชนิดต่างๆซึ่งขึ้นกับการพิจารณาของ แพทย์ผู้ชำนาญเฉพาะ
แต่ หากท่านสนใจที่จะใช้วิธีการรับประทานอาหารเสริมหรือเลือกใช้ครีมบำรุง เพื่อลดรอยเหี่ยวย่น เราขอแนะนำให้ท่านศึกษารายละเอียดของสรรพคุณหรือข้อควรระวังของสารต่างที่ ใช้ในผลิตภัณฑ์ต่างๆทั้งในรูปของอาหารเสริม หรือสารผสมในเครื่องสำอางค์ เพื่อเป็นข้อมูลก่อนการตัดสินใจ
1) คอลลาเจน และอิลาสติน
ปกติผิวหนังของคนเราในชั้นหนังแท้ จะประกอบด้วยคอลลาเจน(Collagen) และอิลาสติน(Elastin)เป็น ส่วนประกอบที่สำคัญ โดยคอลลาเจนมีหน้าที่ให้ความแข็งแรง ในขณะที่อิลาสตินจะทำหน้าที่ให้ความยืดหยุ่นกับผิวหนัง ในช่วงวัยเด็กหรือวัยรุ่น คอลลาเจน และอิลาสตินจะมีความแข็งแรงและมีปริมาณมาก จึงทำให้ผิวหนังเต่งตึงกระชับ เมื่อมีรอยย่นก็จะฟื้นตัวกลับมาปกติได้เร็ว ขณะเดียวกัน แม้จะถูกทำลายด้วยสาเหตุใดก็ตาม ก็จะมีการสร้างเส้นใยใหม่ขึ้นมาทดแทนในปริมาณที่เพียงพอ แต่เมื่อเราอายุมากขึ้น อัตราการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินจะลดลงและถูกทำลายได้มากขึ้น จากภาวะหลายอย่าง เช่น แสงแดด ความชรา การสูบบุหรี่ ความเครียด ฯลฯ ทำให้ผิวหนังไม่แข็งแรงและบางลง ขาดความยืดหยุ่นเกิดริ้วรอยย่นได้ง่ายและลึก
สาร คอลลาเจนและอิลาสตินสามารถสกัดได้จากธรรมชาติเพื่อนำมาผสมในครีมลดรอยย่น โดยควรเลือกใช้ชนิดที่มีน้ำหนักโมเลกุลต่ำซึ่งจะถูกดูดซึมเข้าชั้นหนังแท้ ได้ดี ปัจจุบันสารสกัดจากปลาทะเล (Marine Matrix) กำลังเป็นที่นิยมในรูปผลิตภัณฑ์อาหารเสริม โปรตีนคอลลาเจนจากปลาทะเลมีคุณภาพดี ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อใช้เสริมสร้างคอลลาเจน และอิลาสตินของผิวให้แข็งแรง ยืดหยุ่น กระชับ และป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว
2) สารต้านอนุมูลอิสระ
ช่วย ป้องกันการทำลายผนังของเซลล์ทำให้เซลล์แข็งแรง ป้องกันการสูญเสียความชื้นจากผิว นอกจากนี้สารต้านอนุมูลอิสระยังช่วยป้องกันการสลายตัวของคอลลาเจนและอิลาสติ นในชั้นหนังแท้ โดยการไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ คอลลาจีเนส และอิลาสเตส ทำให้ผิวหนังคงความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นได้
วิตามินซี (Vitamin C) ทำหน้าที่ในการกำจัดอนุมูลอิสระ และเป็นองค์ประกอบร่วมของเอนไซม์ต่างๆที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน ร่างกายต้องการวิตามินซีประมาณวันละ 60 มก. พบได้บ่อยในผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวและผักใบเขียว แต่ในการใช้ผสมในครีมบำรุงผิว ยังไม่มีการศึกษาที่ยืนยันได้ชัดเจนว่าจะป้องกันผิวหนังหย่อนยานได้ นอกจากจะช่วยทำให้ผิวหน้าขาวขึ้น
วิตามินอี (Vitamin E) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินอีในรูปalpha-tocopherol เป็นชนิดที่ active ที่ สุด โดยช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์ผิวหนังเสื่อมสภาพก่อนวัยอันควร ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิว วิตามินอี เป็นวิตามินที่ละลายในไขมันจึงอาจเกิดการสะสมในร่างกายได้ การรับประทานเพื่อหวังผลในการชะลอริ้วรอยแนะนำในปริมาณที่ไม่เกิน400 IU ต่อวัน มีการผสมวิตามินอีในปริมาณที่เหมาะสมในครีมบำรุงผิวหรือลดริ้วรอย แต่การใช้วิตามินอีเข้มข้น ทาบริเวณผิวหน้า อาจเกิดอาการแพ้ เกิดสิวได้
เบต้าแคโรทีน (Beta carotene) เป็น สารตั้งต้นในการสร้างวิตามินเอ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอย่างหนึ่งเช่นกัน หากขาดวิตามินเอ จะทำให้ผิวหนังแห้งแตก และรูขุมขนแข็งได้ นอกจากนี้เบต้าแคโรทีนยังสามารถยับยั้งและป้องกันการเกิด มะเร็งผิวหนังด้วย อย่างไรก็ตามแนะนำว่าควรกินผักและผลไม้ให้มาก แทนการรับประทานสารเบต้าแคโรทีนแบบเดี่ยว ทั้งนี้เพื่อให้ได้สารแคโรทีนอื่นๆด้วย เนื่องจากจะออกฤทธิ์เสริมกัน เช่น เบต้าแคโรทีนในแครอต ไลโคปีนในมะเขือเทศ และซีซานทีนในผักโขมเป็นต้น
โคเอนไซม์ คิวเท็น(Coenzyme Q10 ) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ค้นพบมานานแล้ว โดยพบมากที่อวัยวะที่มีการ metabolism สูง เช่น หัวใจ ไต และตับ โดยทำหน้าที่ถ่ายทอดพลังงาน สำหรับบริเวณผิวหนัง CoQ10 จะ พบมากในชั้นหนังกำพร้ามากกว่าชั้นหนังแท้ มีสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ จึงเชื่อว่า สามารถลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ ปัจจุบันได้นำสารนี้มาทำเป็นครีมทาเฉพาะที่ เพื่อลดริ้วรอย โดยเฉพาะริ้วรอยรอบดวงตา
3) กรดวิตามินเอ (Tretinoin)
เป็น อนุพันธ์ของวิตามินเอ โดยสารตัวนี้จะเข้าไปกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนขึ้นใหม่ที่ชั้นผิวหนัง แท้ ทำให้ริ้วรอยอันมีสาเหตุมาจากแสงแดดลดลง และยังมีคุณสมบัติช่วยผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวได้ดีเช่นเดียวกับ AHA ทำ ให้ใช้รักษาสิว และฝ้าได้ด้วย ในช่วงแรกของการทายาตัวนี้อาจจะมีการระคายเคืองเป็นผื่นแดง โดยเฉพาะคนที่ผิวแห้ง ดังนั้นต้องเริ่มจากความเข้มข้นให้สูงขึ้น เพื่อให้ผิวปรับสภาพก่อน และควรใช้ครีมกันแดดร่วมด้วย ห้ามทายาตัวนี้ในเวลากลางวันเด็ดขาด เพราะอาจทำให้เกิดเป็นผื่นแพ้แดงได้ ต้องทาก่อนนอนเท่านั้น และที่สำคัญสารตัวนี้ถือว่าเป็นยา ไม่มีผสมในเครื่องสำอางตามท้องตลาดทั่วไป
4) กรดผลไม้ (AHA)
เป็น กรดที่สกัดจากผลไม้และอื่นๆเช่น แอปเปิ้ล มะนาว มะขาม และนม เป็นต้น สารนี้ช่วยกระตุ้นให้เซลล์ผิวหนังมีการผลัดเปลี่ยนเซลล์เร็วขึ้น ทำให้ได้ผิวใหม่ที่เรียบ นุ่มนวลกว่า และยังเพิ่มการสร้างคอลลาเจนและกรดไฮยาลูโรนิคในชั้นหนังแท้ ทำให้ผิวอุ้มน้ำและยืดหยุ่นดีจึงลดรอยเหี่ยวย่นได้ การใช้สารนี้ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้ เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคืองได้
5) กรดไขมันจำเป็น( Essential Fatty Acid)
กรดไขมันจำเป็นในกลุ่ม Omega 6 เช่น กรดไลโนเลอิค (ALA), กรดไลโนเลนิค (GLA) และ กรดอราชิโดนิค (Arachidonic) ส่วนมากสกัดได้จากเมล็ดพืชและถั่วต่างๆ ในโครงสร้างของผนังเซลล์และเซอราไมด์ (Ceramides) ของชั้นหนังกำพร้าจะพบกรดไขมันจำเป็นดังกล่าว โดยทำหน้าที่ในการสกัดกั้นการระเหยของน้ำจากผิวหนัง ทำให้ผิวชุ่มชื้น นุ่มนวล
น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส (Evening Primrose Oil, EPO) ช่วยให้ผิวหนังสามารถโอบอุ้มน้ำได้ดี จึงช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น ไม่หยาบกร้าน มักแนะนำให้รับประทานประมาณ วันละ 1,300 มก.พร้อมอาหาร ต่อวัน ใน 3 เดือนแรก และลดลงเหลือ ปริมาณ 500 มก.ต่อวัน ในระยะเวลาต่อมา นอกจากนี้ยังใช้ EPO ผสมในครีมทาผิวเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว
น้ำมันโบราจ (Borage oil) มีสรรพคุณเช่นเดียวกับ EPO แนะนำให้รับประทานประมาณ วันละ 1,000 มก. พร้อมอาหา
|