.
ตะกร้า [0]
วันที่สร้างเว็บ :17/8/2009
ปรับปรุงเว็บครั้งล่าสุดเมื่อ :20/8/2018
จำนวนคนเข้าชมเว็บนี้ :1926436
เข้าสู่เว็บ sabuyjaishop.com
เข้าสู่เว็บhttp://www.sabuyjaishop.com/shop/magic-ibeauty/default.aspx?page=product&url=magic-ibeauty&category=
ผิวขาวใสด้วย ไวเทนนิ่ง
บทความ ณ. วันที่ : 22/10/2010        จำนวนคนเข้าชมเว็บ : 1802 ครั้ง   

ผิวขาวใสด้วย ไวเทนนิ่ง

ผิวขาวใสด้วย ไวเทนนิ่งปัจจุบันความนิยม ผิวขาวใส ของผู้หญิงไทยเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนล่าสุดมีผลวิจัยจากบริษัทในต่างประเทศระบุว่า ผู้หญิงไทยอายุระหว่าง 18-64 ปี มีการใช้ ผลิตภัณฑ์ไวเทนนิง เพิ่มขึ้นถึง 58% คิดเป็นค่าใช้จ่ายต่อคนเฉียด 2,000 บาทต่อเดือน

ความที่ เครื่องสำอางที่มีไวเทนนิง มีอยู่มากมายนับร้อยๆ ชนิด แล้วเราจะเลือกอย่างไรดีถึงจะได้ผลและไม่เป็นเหยื่อของการโฆษณา พญ.ณัฐินี สุทธินรเศรษฐ์ แพทย์ผิวหนังประจำคลินิกเอเพ็กซ์บิวตี้ แนะว่า ก่อนซื้อควรอ่านฉลากข้างผลิตภัณฑ์ให้ดีว่ามีส่วนผสมมาจากอะไร ในปริมาณเท่าใด

“หาก ไม่อ่านให้แน่ใจ เกิดโชคไม่ดีเครื่องสำอางที่คุณใช้อยู่อาจมีสารพิษที่เป็นอันตรายต่อผิวสวย เช่น สารปรอทและสารไฮโดรควิโนน (เป็นสารที่ควบคุมต้องสั่งโดยแพทย์เท่านั้นปริมาณการใช้ 2-5% เครื่องสำอางที่ขายทั่วไปมักไม่ใช้ส่วนผสมชนิดนี้ ยกเว้นคลินิกแพทย์ผิวหนังเพื่อให้เหมาะสมกับคนไข้แต่ละคน)

สาร ทั้ง 2 ตัวนี้เป็นที่นิยม เพราะออกฤทธิ์ขัดขวางขบวนการสร้างเม็ดสีที่อยู่ใต้ผิว แถมยังทำให้ผิวจางลง ผิวจึงขาวขึ้นได้อย่างไวเทนนิ่งรวดเร็ว แต่มีข้อเสียคืออาจทำให้เกิดอาการแพ้ นอกจากนี้หากใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสม 2 ชนิดนี้ไปนานๆ จะเกิดการสะสม ผิวหน้าที่เคยขาวเมื่อแรกใช้ ก็อาจกลับคล้ำลงกว่าก่อนใช้เสียอีก โดยส่วนผสมที่มาจากไฮโดรควิโนน จะทำให้ใบหน้าของผู้ใช้มีอาการแสบ ผิวหน้าแดง ยิ่งใช้ไปนานๆ หน้าก็จะดำขึ้น อาจมีตุ่มดำหรือจุดด่างขาวขึ้นตามใบหน้า

นอก จากสารทั้ง 2 ชนิด ดังกล่าวแล้ว ยังมีสารประเภทอื่นๆ เช่น กรดวิตามินเอ กรดวิตามินซี กรดผลไม้ (AHA, BHA ) กรดอาเซลิอิก สารเหล่านี้ช่วยให้หน้าขาวขึ้นบ้าง แต่ออกฤทธิ์ช้า บางคนอาจแพ้ ทำให้แสบหน้าได้ แต่โอกาสเกิดขึ้นน้อยมากๆ สารเหล่านี้สามารถใช้ในการรักษาฝ้า กระ ได้ ภายใต้การควบคุมของแพทย์”

พญ. ณัฐินี ให้ข้อมูลอีกว่า สารประเภทไวเทนนิง แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ

ประเภทแรกเป็นยา เช่น ยารักษาฝ้า ซึ่งอาจจะพบสารปรอทหรือไฮโดรควิโนน ที่มีผลข้างเคียงกับผิวหน้าในภายหลัง โดยปกติแล้วการรักษาฝ้าหรือการที่จะทำหน้าขาวนั้น การใช้ยาประเภทนี้จะต้องอยู่ภายใต้การสั่งยาของแพทย์ และเป็นยาที่ไม่มีการผลิตขาย ใช้เฉพาะในการรักษา

ประเภทที่สอง เวชสำอาง ส่วนมากมีส่วนผสมของกรดผลไม้ ซึ่งเป็นสารสกัดจากผลไม้ต่างๆ “เช่น จากอ้อย (ไกโครลิก) ส้ม (ซิทริกแอสิด) หรือพรรณพืชต่างๆ นอกจากนี้ยังมีเคมีที่ไม่ได้อยู่ในตระกูล AHA ตัวอื่นๆ อาทิ เรตินอล (อนุพันธ์ของวิตามินเอ) กรดวิตามินซี ซึ่งเป็นสารกันบูดในตัว โคจิกแอสิด สารฮาบูติน สารสกัดจากชะเอม) หรือชาเขียว-ชาขาว ซึ่งสารสกัดนี้ก็มีการคิดค้นขึ้นมาใหม่ทุกๆ ปี ส่วนการผสมนั้นจะผสมอะไรกับอะไร ปริมาณเท่าไหร่ ก็ขึ้นอยู่กับสูตรลับของแต่ละบริษัท เจ้ากรดเอเอชเอนี้มีฤทธิ์ในการลอกผิวหน้าและลดการสร้างเม็ดสีในระดับหนึ่ง”

ประเภท ที่สาม คือ ประเภทที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มยาและเวชสำอาง ซึ่งมีสารฟีนอล ปรอท ที่เป็นสารอันตราย เพราะจะทำลายเซลล์สร้างเม็ดสี ทำให้หน้าลอกและมีผลต่อระบบทางเดินหายใจ ถือเป็นเครื่องสำอางประเภทผิดกฎหมาย
สำหรับ การเลือกใช้ให้เหมาะ พญ.ณัฐินี แนะนำว่า ถ้ามีผิวแห้งก็ไม่ควรใช้ไวเทนนิงที่มีส่วนผสมจากกรดผลไม้ เพราะจะทำให้หน้าแห้งยิ่งขึ้น และอาจเกิดอาการแพ้ สวนคนผิวมันก็ไม่ควรใช้ไวเทนนิงที่มีส่วนผสมของน้ำมัน

 

ทางที่ดี ควรใช้ควบคู่กับครีมกันแดด (ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นมากกว่า ไวเทนนิง เสียอีก) โดยครีมกันแดดที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน นอกจากช่วยป้องกันรังสียูวีเอและยูวีบี ซึ่งอาจก่อมะเร็งผิวหนังแล้ว ยังช่วยไม่ให้ผิวคล้ำลง

ข้อควรระวังในแต่ละครั้งของการบำรุงผิว คือไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์มากเกิน 5 ชนิด เนื่องจากเมื่อเกิดแพ้แล้ว ยากจะทราบแน่ชัดว่าแพ้เครื่องสำอางตัวใด

คุณหมอผิวหนังทิ้งท้ายว่า โดยธรรมชาติคนไทย พื้นฐานของผิวหน้าและผิวพรรณนั้นเป็นสีดำแดง ผิวสองสี และบ้านเราแดดแรง แตกต่างจากเมืองจีนหรือเกาหลี การใช้เครื่องสำอางต่างๆ ต้องระมัดระวังให้ดี เพราะสารเคมีย่อมมีผลข้างเคียง ไม่ว่า ไวเทนนิง นั้นจะอยู่ในระดับมาตรฐานใด

“แม้ผิวไม่ขาว หากดูสะอาดสะอ้านกลิ่นกายหอม นิสัยดีก็ดูดีแล้วละค่ะ”

อันตรายจากสารห้ามใช้

สารปรอท สารปรอทออกฤทธิ์ยับยั้งการผลิตเอนไซม์ที่ร่างกายใช้เพื่อสร้างเม็ดสีทำให้ ผิวขาวขึ้น แต่ อาจทำให้เกิดการแพ้ ผื่นแดง ผิวหน้าดำ ผิวบางลง เกิดพิษสะสมของสารปรอท ทำให้ทางเดินปัสสาวะและไตอักเสบ และการได้รับสารปรอทจำนวนมากอย่างต่อเนื่องจะทำให้ระบบประสาทส่วนกลางถูก ทำลาย และอาจทำให้สมองและไตถูกทำลายไปด้วย

กรดวิตามินเอ อาจทำให้เกิดอาการหน้าแดงแสบร้อนรุนแรง เกิดการอักเสบ ผิวหน้าลอกอย่างรุนแรงและอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์

ขอขอบคุณบทความจาก : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
 
 
 

สนับสนุนบทความดี ..ดี www.magic-ibeauty.com