.
ตะกร้า [0]
วันที่สร้างเว็บ :17/8/2009
ปรับปรุงเว็บครั้งล่าสุดเมื่อ :20/8/2018
จำนวนคนเข้าชมเว็บนี้ :1926428
เข้าสู่เว็บ sabuyjaishop.com
เข้าสู่เว็บhttp://www.sabuyjaishop.com/shop/magic-ibeauty/default.aspx?page=product&url=magic-ibeauty&category=
ลดน้ำหนักดีไม่มีโยโย่เอฟเฟ็ค
บทความ ณ. วันที่ : 22/10/2010        จำนวนคนเข้าชมเว็บ : 2676 ครั้ง   

ลดน้ำหนักให้ดีไม่มีโยโย่เอฟเฟ็ค

" เคยไหมที่อุตส่าห์พยายามลดน้ำหนัก ลงได้แล้ว แต่พอเวลาผ่านไปไม่นานน้ำหนักที่ลดลงกลับย้อนขึ้นมาใหม่แถมยังมากกว่าก่อนทำ การลดเสียอีก การไดเอ็ตด้วยวิธีการผิดๆ นอกจากไม่ช่วยให้ผอมลงแล้วกลับจะทำให้รูปร่างเปลี่ยนไปอยู่ในรูปแบบที่อ้วน ได้ง่ายขึ้นแล้วต้องไดเอ็ตอย่างไรไม่ให้เกิดโยโย่เอฟเฟ็ค ลองทำตามคำแนะนำต่อไปนี้ดูนะค่ะ "

ความรู้เพิ่มเติมเล็กๆน้อยๆ

มี ผลการศึกษาวิจัย ของ ดร. คอลิเนีย อูริช จาก Fred Hutchinson Cancer Research Center ซึ่งร่วมมือกับทาง University of Washington ตีพิมพ์ผลในวารสารทางการแพทย์ Journal of the American Dietetic Association พบว่า โยโย แอฟเฟค มีผลในทางลบกับ ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย คือ มันจะทำให้ ความสามารถในการถล่มกับสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกายลดน้อยลง เมื่อเทียบกับ คนที่มีน้ำหนักคงที่ ไม่ค่อยลด หรือ เพิ่ม

 

พูดง่ายๆว่า คนที่เกิดอาการ โยโย แอฟเฟคนี้ โอกาสที่จะเกิดโรคภัยไข้เจ็บก็จะง่ายกว่า คนที่น้ำหนักคงที่
   

เห็นอย่างนี้ คนอ้วนหลายคนบอกว่า อย่างนี้ไม่ลดดีกว่า

 

เดี่ยวก่อนท่านทั้ง หลาย อย่าพึ่งด่วนสรุปเร็วจี๋ขนาดนั้น คนที่อ้วนก็ควรจะต้องลดกันต่อไป แต่ต้องรู้ว่า อย่าให้น้ำหนักมันกลับคืนมาอ้วนอีก

คณะกรรมการ FAO / WHO เสนอแนะให้ลดพลังงานจากอาหารลง 5% ต่อทุก 10 ปี ของอายุที่เพิ่มขึ้นจนถึึงอายุ 59 ปี เมื่ออายุ 60 - 69 ปี ให้ลดพลังงานจากอาหารลง 10% และเมื่ออายุ 70 ปีขึ้นไป ให้ลดพลังงานลงไปอีกเป็น 20% ของพลังงานที่ต้องการในวัยหนุ่ม - สาว สำหรับคนไทยกองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้แนะนำให้ลดพลังงานลงโดยเฉลี่ย 100 กิโลแคลอรีต่อทุกอายุ 10 ปีที่เพิ่มขึ้น

การไดเอ็ตแบบงดอาหาร อาจทำให้รูปร่างอ้วนได้

การลดน้ำหนักหมายถึง การทำให้พลังงานรับที่ได้จากการทานอาหารต่ำกว่าพลังงานใช้เพื่อการดำรงชีวิตประจำวันหรือการออกกำลังกายต่างๆ แต่หากลดพลังงานรับโดยวิธีจำกัดอาหารไปนานๆ เข้า ร่างกายก็จะปรับตัวด้วยการใช้พลังงานให้น้อยลงตามไปด้วย
เมื่อร่างกายเริ่มชินกับการใช้พลังงานที่น้อยลงแล้ว แม้การทานอาหารปริมาณเท่าเดิมก็ไม่สามารถเผาผลาญได้เหมือนเดิม และหากมีพลังงานเหลือร่างกายก็จะรีบเปลี่ยนให้อยู่ในรูปของไขมันเก็บไว้ใช้ในยามที่พลังงานรับของร่างกายไม่เพียงพอ ด้วยเหตุนี้การลดน้ำหนัก โดยวิธีการงดอาหารเพียงอย่างเดียวนานๆ จึงเป็นสาเหตุให้ร่างกายสะสมไขมัน เปลี่ยนลักษณะทางกายภาพให้กลายเป็นรูปร่างที่อ้วนได้ง่ายขึ้น

ปรับกระบวนการเมตาบอลิซึ่มของร่างกาย วิธีเพิ่มปริมาณการเผาผลาญพลังงานแบบง่ายๆ

แทนที่จะลดพลังงานรับลองเปลี่ยนไปเพิ่มพลังงานใช้ โดยการเพิ่มอัตราเผาผลาญพลังงานในร่างกายให้มากขึ้น เช่น เพิ่มการเคลื่อนไหวร่างกายแต่ไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายหักโหม หลักสำคัญอยู่ที่การเสริมสร้างกล้ามเนื้ออย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการเพิ่มอัตราเมตาบอลิซึ่มพื้นฐานมากกว่า
เมตาบอลิซึ่มพื้นฐานหมายถึง พลังงานขั้นพื้นฐานที่ร่างกายจำเป็นต้องใช้ในการดำรงชีวิต เช่น การหายใจ การรักษาอุณหภูมิในร่างกาย การเต้นของหัวใจ โดยพลังงานขั้นพื้นฐานนี้ถือเป็น 60 - 70 % ของพลังงานทั้งหมดที่ใช้ ซึ่งเป็นปริมาณที่สูงกว่าพลังงานที่ใช้เพื่อการออกกำลังกายหรือเคลือนไหว ร่างกายอยู่มาก แต่เมตาบอลิซึ่มพื้นฐานนี้จะสูงสุดในช่วงอายุ 20 ปี จากนั้นจะค่อยๆ ลดลงสวนทางกับอายุที่เพิ่มขึ้น สาเหตุที่คนสูงอายุอ้วนได้ง่ายกว่าคนหนุ่มสาวก็ด้วยเหตุนี้นั่นเอง

มาเสริมสร้างกล้ามเนื้ออย่างมีประสิทธิภาพกันดีกว่า

เมตาบอลิซึ่มพื้นฐานเกิดบริเวณกล้ามเนื้อมากที่สุด หากร่างกายมีปริมาณกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นแม้ไม่ได้เคลื่อนไหว พลังงานก็ยังถูกเผาผลาญได้มากขึ้น โดยออกกำลังกายแบบ Anarobic Exercise กระตุ้นให้เกิดแรงกระทำ ณ บริเวณนั้นๆ ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการออกกำลังกายแบบหนักหน่วงเหมือนพวกนักกีฬา แค่เพียงออกกำลังกายให้มีแรงกระตุ้นเบาๆ ที่กล้ามเนื้อก็เพียงพอแล้ว อย่างเช่น การยกดัมเบลสามารถเพิ่มกล้ามเนื้อหน้าท้อง กล้ามเนื้อแขนได้ การทำท่า Squats ย่อตัวลงช้าๆ จากท่ายืนนลงมาอยู่ในท่าเกือบนั่งแล้วยืนกลับขึ้นใหม่ ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของสะโพก กล้ามเนื้อต้นขา กล้ามเนื้อก้น เหมาะแก่การเพิ่มเมตาบอลิซึ่มพิ้นฐานได้เป็นอย่างดี
เราสามารถเสริมการเผาผลาญพลังงานเข้ากับการใช้ชีวิตประจำวันได้ง่ายๆ อย่างเช่น ลงจากรถโดยสารก่อนถึงสถานที่จริงประมาณหนึ่งป้ายเพื่อเดินต่อ หรือใช้บันไดแทนการใช้ลิฟท์ นอกจากนี้การออกกำลังกายโดยคำนึงถึงกล้ามเนื้อที่ต้องการใช้ก็สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการเผาผลาญได้ งานบ้านที่ต้องทำเป็นประจำทุกวัน หากมีการเน้นในแต่ละจุึดก็จัดว่าเป็นการออกกำลังกายที่ช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อได้อย่างดีทีเดียว
แม้ว่าปริมาณกล้ามเนื้อจะลดน้อยลงไปเมื่ออายุมากขึ้นแต่การฝีกฝนร่าง กายอย่างพอดีเป็นประจำก็สมารถเพิ่มกล้ามเนื้อโดยไม่เกี่ยวเนื่่องกับอายุได้ เหมือนกัน นอกจากนี้ร่างกายของผู้หญิงซึ่งจัดว่ามีกล้ามเนื้ออยู่ไม่มากนัก หากเพิ่มการออกกำลังกายเสริมเข้าไปเพียงเล็กน้อย กลับจะเสริมสร้างกล้ามเนื้อได้ง่ายกว่าผู้ชายด้วยซ้ำไป การทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ช่วยกระตุ้นเมตาบอลิซึ่มพิ้นฐานของร่างกายและ ออกกำลังกายไปพร้อมๆ กัน จะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การออกกำลังกายจะเห็นผลได้จากการทำต่อเนื่่องทุกๆ วัน เราจึงควรทำอย่างสนุกสนานเพื่อให้ได้มาซึ่งรูปร่างอันฟิตกระชับ และไม่เกิดปฏิกิริยาโยโย่เอฟเฟ็คตามมาดีกว่านะคะ

เน้นการบริหารกล้ามเนื้อในจุดสำคัญ การทำงานบ้านก็กลายเป็นลดน้ำหนัก ได้

  • ตากผ้าบนราวที่แขวนไว้สูงกว่าปกติ โดยต้องยกมือให้สูงกว่าหัวไหล่ขณะตาก
  • และหากเขย่งเท้าไปด้วยก็จะช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อลำตัวช่วงล่างและกล้ามเนื้อหัวไหล่ไปพร้อมๆ กันได้
  • ตากผ้าโดยวางตะกร้าไว้ที่พิ้นย่อตัวลงหยิบผ้าทีละชิ้น
  • ขณะพับผ้าให้แยกไว้เป็นกองๆ ซ้าย - ขวา หน้า - หลังรอบตัว เอี้ยวตัวช้าๆเพื่อวางผ้าแต่ละกอง เป็นการกระตุ้นกล้ามเนื้อลำตัวด้านข้าง
  • ขณะยืนล้างจานให้เขย่งส้นเท้าขึ้น - ลง ช้าๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นกล้ามเนื้อน่อง
  • ขณะดูดฝุ่นทำความสะอาดพิ้น ยกขาข้างที่ก้าวไปข้างหน้าขึ้น - ลงตามจังหวะเพลงที่เปิดคลอกันไป เป็นการกระตุ้นกล้ามเนื้อต้นขาและกล้ามเนื้อก้น
  • เดินเร็วๆ ไปจ่ายตลาด ยืดหลังตรงผ่อนแรงที่หัวไหล่ แกว่งมือตั้งฉากไปมาหน้า - หลัง ก้าวเท้าให้กว้างกว่าปกติ จะช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อต้นขา สะโพก น่อง ลำตัวช่วงล่างได้ทั้งหมด
  •  

    ขอบคุณบทความดี จาก เครื่องสำอาง DHC www.dhc.com

    ลงบทความโดย www.magic-ibeauty.com