แสดงภาษา  :     
    สินค้าในตะกร้า [ 0 ชิ้น ]
 
นิยายเรื่อง หัวใจรักยังไม่สิ้น
บทความ ณ. วันที่ : 9/1/2010        จำนวนคนเข้าชมเว็บ : 1365 ครั้ง   

ตอนที่ 1

     ฟ้าใสเงียบกริบเมื่อได้ยินคำแนะนำของแม่......."ไปหาพี่เขาสิฟ้า  ถึงยังไงก็พี่น้องกัน...ยายดาคงไม่ใจไม้ไส้ระกำจนเกินไปหรอกนะ"  แม่บอกด้วยสีหน้ากังวลใจ

      สดชื่นในดวงตาของแม่เหือดหายไปนานแล้ว....มีความยากจนข้นแค้นกับชีวิตแบบนี้ ความแจ่มใสเบิกบานอันเป็นสัญญาณของความสุขจะมีให้เห็นได้อีกอย่างไรกัน

     "แต่พี่ดาไม่กลับมาบ้านนานกี่ปีแล้วจ๊ะแม่....ถ้าหากเขายังแคร์พวกเราหากเขายังคิดถึงพวกเราเขาคงมาหาเราบ้าง"  ฟาริดาไม่เคยมาที่นี่นานเกือบห้าปีแล้วกระมังฟ้าใสจำได้....นับแต่หล่อนแต่งงานได้สามีร่ำรวยอยู่กรุงเทพฯ

     "แต่พี่เขาก็เคยส่งเงินมาให้นะ"  แม่บอกออกมาแต่ฟ้าใส่จำได้ว่านั่นมันเมื่อฟาริดาเพิ่งไปกรุงเทพฯ ได้ไม่นาน....หล่อนส่งเงินมาให้ที่บ้านสองหรือสามครั้งและหลังจากนั้นก็เงียบหายไป  "ฟ้า....มันเป็นทางหนึ่งที่เราพอจะทำได้ตอนนี้นะ ถ้าหากฟ้ามัวแต่คิดมากเราจะยิ่งแย่กันไปใหญ๋"  แม่บอกอย่างเกรงใจ

     "ทำไมฟ้าต้องตกงาน ทำไมคุณย่าต้องการป่วยตอนนี้....ทำไมน้องขวัญก็ต้องการเงินขึ้นมาพร้อม ๆกัน"  ฟ้าใสเผลอบอกออกมาและได้สติเมื่อมารดานิ่งงันไป    "แม่ค่ะฟ้าขอโทษ"  หญิงสาวกุมมือมารดาเอาไว้และตัดสินใจในนาทีนี้เองว่า หล่อนจะบากหน้าไปหาพี่สาวไม่ว่าจะต้องพบกับอะไรบ้างก็ตาม  เพราะไม่มีทางอื่นที่หล่อนจะทำได้ในยามนี้นอกจากหล่อนจะต้องไปขอความช่วยเลหือจากพี่สาว

     คุณย่าจำเป็นต้องมีเงินรักษาอาการโรคประจำตัวของท่านที่ทรุดลงไปในตอนนี้....หรือแม้ถ้าหากท่านต้องจากไปจริง ๆ ก็จำเป็นต้องมีเงินติดบ้านบ้าง  ที่สำคัญน้องขวัญกำลังต้องการเงินในการเรียนหนังสือที่ต่างจังหวัดทางภาคตะวันออกที่หล่อนสอบได้เรียนมหาวิทยาลัยที่นั่น ทุกอย่างล้วนแต่จำเป็นทั้งนั้น...แม้หล่นอจะไม่ตกงานลำพังเงินเดือนก็แค่พอใช้จ่ายในบ้านเท่านั้น

     แล้วนี่ยังจะมาตกงานอีก เพราะฟ้าใสทนเจ้านายชีกอไม่ไหว  เจ้านายของฟ้าใสหวังจะได้เด็กสาวอย่างฟ้าใสเป็นนางบำเรอ  ด้วยการเสนอเงินให้ก้อนหนึ่ง ความจริงหล่อนน่าจะตกลงใจรับข้อเสนอของเสี่ยสุกิจนะ เงินก้อนโตนั่นคงจะมาช่วยบรรเทาความเดือดร้อนในครอบครัวได้ ไม่หรอก....หล่อนไม่มีวันทำอย่างนั้นได้หรอกในเมื่อภรรยาของเสี่ยสุกิจก็มีแถมยังมีลูกอีกหลายคนฟ้าใสบอกตัวเองในที่สุด

    ถ้าหากเสี่ยสุกิจไม่มีลูกมีเมียค่อยว่ากันใหม่...บางทีหล่อนอาจจะเลือกทางนี้ก็ได้กระมัง  เพราะการบากหน้าไปหาพี่สาวก็เป็นเรื่องเศร้าพอ ๆ กัน....

   ฟ้าใสอยากจะพูดว่าฟาริดาใจดำทีเดียวล่ะ....ไม่เช่นั้นคงไม่

ทำราวกับไม่มีแม่มีน้องอยู่ที่นี่แบบนี้หรอก

      ฟาริดาเป็นคนหัวสูงและรักความหรูหราสะดวกสบายมาแต่

ไหน แต่ไรแล้ว...ประกอบกับแต่ก่อนนั้นครอบครัวของหล่อนพอ

มีอันจะกินด้วย จึงทำให้ฟาริดาทำเช่นนั้นได้  ฟาริดาได้เรียนถึง

เมืองนอก ได้แต่งงานกับลูกคนมีเงิน แต่น้อง ๆ กลับไม่โชคดีเห

มือนฟาริดาหรอก..เพราะเมื่อพ่อเสียชีวิตทุกอย่างก็เปลี่ยนไป

   

ฟ้าใสยังจำได้ดีว่าแม่เรียกหล่อนกับน้องขวัญไปถามเรื่องฟาริ

ดา...ว่าจะให้กลับเมืองไทยดีไหม  เพราะถ้าหากให้เรียนต่อก็

ต้องใช้เงินมากพอควร แต่ฟ้าใสกับน้องขวัญมีความเห็นตรงกัน

ว่าควรให้พี่เขาเรียนจนจบ  แต่เมื่อพี่กลับก็คล้าย ๆ กับจะปลีก

ตัวไปตามลำพังทั้ง ๆ ที่รู้ว่าครอบครัวของตัวเองกำลังลำบาก

   แต่ฟ้าใสก็พยายามอดทนไม่ปริปากเรียนจบรีบหางานทำ...พอ

จะมีรายได้เข้ามาจุนเจือครอบครัวได้บ้าง ฟ้าใสทำงานในบริษัท

ให้กับเสี่ยสุกิจและรับออกแบบเครื่องเงินเป็นรายได้พิเศษอีก

ด้วย

   หากย่าไม่เจ็บป่วยบ่อย ๆ หรือน้องขวัญต้องใช้เงินมากขึ้นก็

คงพอทน แต่นี่ทุกคนต้องใช้เงินมากขึ้นในขณะที่รายได้เท่า

เดิม  ความขาดแคลนจึงมีมากขึ้นทุกวันแม้จะประหยัดกันสุด ๆ

แล้วก็ตาม

   ก็ขอให้ฟริดาช่วยได้เถอะนะ...สุดท้ายฟ้าใสก็ได้ แต่มีความ

หวังลม ๆ แล้ง ๆ เช่นนี้  แต่เมื่อหล่อนได้มาพบพี่สาวเข้าหลัง

จากตามหาตามที่อยู่ที่มี..ฟ้าใสก็รู้ว่าหล่อนคงได้รับความช่วย

เหลือจากพี่ยากเต็มที

   “คุณผู้หญิงเธอไม่ว่างค่ะ  บอกให้รอก่อน”  ฟาริดาบอกสั่งคน

รับใช้ในบ้านเช่นนั้น เมื่อคนของหล่อนไปรายงาน 

  “ไปเรียนคุณผู้หญิงว่าน้องสาวมาหาและมีธุระร้อนนะ”

  “คุณผู้หญิงบอกให้รอค่ะ ถ้ารอไม่ได้ก็ให้กลับไปก่อน”  สีหน้า

ของสาวใช้อึกอักชอบกล

   “อ้อ...” ฟ้าใสครางในลำคอ

   “คุณผู้หญิงของเธอคงมีงานมากกระมังจ๊ะ”

  “เอ้อค่ะ” 

   “แล้วคุณผู้หญิงยังบอกอีกว่าให้ดิฉันพาคุณไปพักที่เรือนหลัง

เล็กค่ะ”

   ฟ้าใสรู้สึกขุ่นใจจนอยากจะเดินออกจากบ้านใหญ่โตราวกับ

ปราสาทราชวังนี่เสียหลายครั้ง  แต่เมื่อคิดถึงแม่หล่อนก็ต้องจำ

อดทน

   “ถึงอย่างไรหล่อนก็จะต้องพบฟาริดาให้ได้”  หญิงสาวบอก

ตัวเองมั่นคง  หล่อนเดินตามสาวใช้มาที่เรือนหลังเล็กที่ว่า..และ

พบว่ามันไม่ใช่เรือนรับรองหรอก แต่เป็นเรือนคนใช้ต่างหาก

  ขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาทันทีเมื่อรู้ตัวเองได้รับการต้อนรับจากพี่

สาวสายเลือดเดียวกันเช่นนี้  ช่างเถอะนะ..ถือว่าอดทนอีกนิด

เพื่อแม่กับย่าและน้องขวัญก็แล้วกัน

  พวกคนใช้พากันมองฟ้าใสด้วยสายตาแปลก ๆ เมื่อรู้ว่าหล่อน

เป็นน้องสาวของฟาริดา...เพราะการแต่งตัวของหล่อนก็เก่า ๆ

ปอน ๆ ธรรมดา ๆ ไม่หรูหราเหมือนพี่สาว  แถมพี่สายังทำกับว่า

ไม่ใช่น้องแท้ ๆ

  “คุณผู้หญิงจะว่างเมื่อไหร่”  ฟ้าใสถามขึ้นในเวลาต่อมาเมื่อ

เวลาผ่านไปอีกวันหนึ่ง โดยที่หล่อนไม่ได้พบหน้าพี่สาวแต่อย่าง

ใด

  “ไม่ทราบค่ะ” 

  “ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปพบคุณผู้หญิงของเธอเอง”  บอกอย่าง

เด็ดเดี่ยว

   “อย่านะคะ”  สาวใช้ห้ามเสียงหลงทีเดียว

   “ทำไมหรือไ

   “คือคุณผู้หญิงมีแขกมาพักที่ตึกใหญ่ค่ะ...แล้วก็ถ้าหากคุณขัด

คำสั่งหนูคงโดนเล่นงานแน่ คือว่าคุณผุ้หญิงเธอกำลังจะมีงาน

แล้วก็มีเพื่อนมาพักค้างด้วย”

   “รับรองว่าเขาจะไม่เล่นงานเธอหรอกนะ ฉันจะบอกเองว่าไม่

ฟังคำสั่งของเธอ”

  ฟ้าใสบอกเยาะหยัน..งและหล่นพร้อมที่จะพบกับพี่สาวไม่ว่าจะ

ไปพบกับฝ่ายนั้นในอารมณ์ใดก็ตาม  ฟ้าใสเดินมายังตึกใหญ่

โดยมีสาวใช้เดินตามมาด้วยสีหน้าวิตกกังวล

   “คุณรออยู่ในห้องนี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวดิฉันจะไปเรียนคุณผู้หญิง

ก่อน” สาวใช้รีบบอก  ฟ้าใส มองสภาพความใหญ่โตหรูหราของ

บ้านพี่สาวแล้วเต็มไปด้วยความเศร้าใจ  ฟ้าใสเคยชินกับบ้าน

ใหญ่และความหรูหรามาก่อน แต่เมื่อฐานะเปลี่ยนไปทุกอย่างก็

เปลี่ยนไปด้วย

    บ้านหลังใหญ่เก่าแก่ทรุดโทรม เพราะไม่มีเงินจะซ่อม แต่ถึง

กระนั้นมันก็เป็นสิ่งสุดท้ายที่แม่คิดจะขายมัน  ฟ้าใสเพลินมองรูป

เขียนของจิตกรมีชื่อที่แขวนไว้ข้างผนัง  หล่อนจึงไม่ทันได้เห็น

ว่า

มีใครบางคนเข้ามาในห้องนี้  จนกระทั่งได้ยินเสียงเขากระแอม

ขึ้นมาเบา ๆ ฟ้าใส่ หันหน้ามาทางเขาก็ปะทะเข้ากับดวงตาคม

กล้าของฝ่ายนั้นทันที...ดวงตาที่ทำให้ฟ้าใสเต็มไปด้วยความ

รู้สึกหลากหลาย

   “คุณเป็นแขกของที่นี่เหมือนกันหรือ”  เขาถามขึ้นก่อน..และ

ฟ้าใสก้มมองดูตัวเองแม้เสื้อผ้าของหล่อนจะรีดเรียบร้อย และอยู่

ในสภาพดี  แต่ก็ไม่ได้ดูหรูหราทันสมัยแต่อย่างใด

   “เปล่าหรอกค่ะ”  หล่อนไม่ได้เป็นแขกที่มาพักบ้านหลังนี้จริง

ๆ นี่นาในเมื่อหล่อนเป็นแค่เด็กสาวบ้านนอกเชย ๆ คนหนึ่งเท่า

นั้น

  “แต่คงไม่ใช่สาวใช้แน่” เขาบอกขึ้นยิ้ม ๆ รอยยิ้มในดวงตาเขา

ทำให้ฟ้าใส รู้สึกประหลาดชอบกล เป็นความรู้สึกที่หล่อนไม่อาจ

บรรยายได้ว่าเป็นอย่างไรกันแน่

   แต่ไม่ทันที่หญิงสาวจะบอกว่าอย่างไร เสียงของฟาริดาก็ดัง

ขึ้นก่อน  หล่อนไม่ได้ทักน้องสาวด้วยความดีใจหรือแปลกใจ

อะไรเลย...แต่ส่งเสียงทักชายหนุ่มที่ยืนอยุ่ตรงหน้าฟ้าใสต่าง

หาก

   “คุณสิทธิ์ตื่นแต่เช้าเชียวนะคะ..เมื่อคืนหลับสบายหรือเปล่า”

  “เพราะหลับสบายไงครับเลยตื่นแต่เช้า”

  “ถ้างั้นเชิญที่โต๊ะอาหารเช้าสิคะ ดาสั่งให้แม่บ้านเตรียมอาหาร

เช้าให้แล้วค่ะ”

   “อ้อครับแล้วคุณ....”

  “ดาขอพูดธุระกับ...เอ้อน้องสาวหน่อยค่ะ”  บอกอย่างไม่เต็ม

ใจนัก

 “น้องสาวคุณดาหรือครับ มิน่าเล่าผมว่ามีเค้าหน้าคุณดานิด ๆ “

   “ไม่ใช่น้องสาวแท้ ๆ หรอกค่ะ แต่เป็นคนรู้จักกันน่ะค่ะ”  ฟ้า

ใสหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของพี่สาว

   ฟาริดาไม่กล้าบอกใคร ๆ ว่าหล่อนเป็นน้องสาว...หญิงสาวขบ

ริมฝีปากแน่นนทีเดียว และเพราะอย่างนี้เองกระมังหล่อนถึงไม่

ต้องการต้อนรับฟ้าใสเท่าไหร่

   “มาทางนี้ฟ้าใส”

   ฟาริดาฉุดแขนน้องสาวเข้ามาในห้อง ๆ หนึ่ง ซึ่งปิดอยู่และสี

หน้ายิ้มแย้มเปลี่ยนไปทันที

  “มาที่นี่ทำไม มีอะไรก็ว่ามา”  น้ำเสียงของหล่อนห้วนไม่พอใจ

เพราะฟ้าใสขึ้นมาหาบนตึกใหญ่นี่

  “คงไม่พ้นมาขอเงินกระมัง”  คล้าย ๆ กับมีก้อนอะไรบางอย่าง

แล่นขึ้นมาติดคอฟ้าใสทันที  พี่สาวของหล่อนไม่ได้ถามถึงแม่

ไม่ไดถามถึงน้องกับย่าว่าสุขสบายดีหรือเปล่า..และมองหล่อน

ด้วยความดูแคลน

   “ฉันคงไม่มีปัญญาให้ได้มากมายอะไรนัก เธอคงไม่รู้ว่าตอนนี้

ฉันตัวคนเดียว ฉันหย่ากับสามีแล้ว..ก็อย่าเอาอะไรมากมายนักก็

แล้วกัน ฉันคงไม่มีให้”

   “ใจคอพี่จะไม่ถามถึงใคร ๆ ที่บ้านเราเลยหรือ”  ถามออกมา

อย่างอดไม่ได้  ฟาริดาอึ้งไปนิดหนึ่ง  หล่อนบอกอย่างหมางเมิน

ว่า

   “ฉันไม่มีเวลามากนักหรอกนะ..เดี๋ยวไปรับเงินจากแม่บ้านก็

แล้วกัน”  ลำคอของฟ้าใสตีบตันขึ้นมาทันที

   “ใจคอพี่จะไม่ถามถึงทางบ้านบ้างหรือ”  มันเป็นคำถามที่ฟ้า

ใสอดรนทนไม่ได้..แต่อีกฝ่าย ไม่ทันตอบ

   “พี่คงอายมากล่ะสินะที่จะบอกใคร ๆ ว่าฟ้าเป็นน้อง”

   “ฟ้าใส...เธอคงคิดล่ะสิว่าความเป็นอยู่ที่เห็นอยู่นี่คือความสุข 

ฉันมีเรื่องต้องคิดต้องทำอีกมากไม่มีเวลามาคุยเรื่องไร้สาระกับ

เธอหรอกนะ”

   “อ้อ..แม่ก็เป็นเรื่องไร้สาระในความคิดของพี่ด้วยเหมือนกัน” 

ฟาริดาชะงักนิดหนึ่งแต่หล่อนก็หันมาบอก

   “บอกแล้วไงว่าฉันมีธุระ..เธอจะพักอยู่อีกสักวันสองวันก็ได้นี่ 

นาน ๆ มากรุงเทพฯสักที แต่ทางที่ดีเธอควรจะรีบกลับดีกว่า” 

พูดจบก็ผละจากมาทันที  ท่าทางของฟาริดาดูราวกับจะรีบผลัก

ไสไล่ส่งให้น้องสาวไปให้พ้น ๆ อย่างนั้นล่ะ  คงเพราะไม่อยาก

ให้ใครรุ้ว่าหล่อนเป้นน้องนั่นเอง

  ฟ้าใสเดินออกมาจากตึกใหญ่อย่างใจลอย หล่อนพลอยรู้สึก

เกลียดชังสังคมของที่นี่ไปด้วย  ทำไมคนเราจะต้องใส่หน้ากาก

เข้าหากัน  ทำไมจะต้องปิดบังความเป็นตัวเองด้วย...คิดอย่าง

แค้นใจ

   นี่ถ้าหากมีทางอื่นฟ้าใสจะไม่มีวันรับเศษเงินที่พี่สาวของ

หล่อนหยิบยื่นให้เป็นอันขาด  เพราะความที่เดินใจลอยหล่อนจึง

เกือบจะชมเข้ากับใครบางคนตรงมุมตึกที่หล่อนจะเลี้ยวไปยัง

เรือนหลังเล็ก

   “อุ๊ย...ขอโทษค่ะ”

   “คุณนั่นเอง...”  แววตาคมกล้าของเขามองสบตาหญิงสาว

ตรง ๆ และนั่นทำให้ฟ้าใสเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา

   “ท่าทางคุณมีเรื่องไม่สบายใจเลยนะ”  เขาบอกขึ้นและหล่อน

ย้อนถามเขาเสียงหยัน ๆ

   “คุณสนใจเรื่องของคนอย่างฉันด้วยหรือ”

   ใบหน้าคมเข้มนัยน์ตาสีเหล็กเนื้อดีที่มีแววฉลาด คมกริบมอง

สบตาฟ้าใสตรง ๆ ราวกับจะค้นคว้า

   “คนอย่างคุณกับอย่างผมมันต่างกันยังไงหรือ”  เขาย้อนถาม

ขึ้นทันควันและนั่นทำให้หญิงสาวอึ้งไป

   “ถ้าหากคุณม่เวลาเราคุยกันนิดหนึ่งได้ไหม”  เขาบอกพร้อม

กับผายมือไปยังศาลาเล็ก ๆ ที่จัดเอาไว้ในสนามเป็นระยะ ๆ

สำหรับนั่งเล่น  และความคิดที่จะประชดประชันพี่สาวทำให้ฟ้า

ใสยอมเดินไปนั่นที่นั่น  แต่เมื่อมานั่งที่แคบ ๆ ทำให้หล่อนกัเขา

ต้องเผชิญหน้ากันในระยะใกล้ชิด ทำให้ฟ้าใสอดที่จะรู้สึกเสียไม่

ได้ว่าหล่อนคิดผิดหรือถูกันแน่ที่จะมานั่งคุยกับเขา

  “ผมขอแนะนำตัวเองก่อนดีกว่า” เขาบอกด้วยน้ำเสียงเป็นกัน

เอง

   “ผมธนสิทธิ์ เรียกผมว่าสิทธิ์สั้น ๆ ก็ได้”  นี่ฟ้าใสกำลังนั่งทำ

อะไรอยู่ที่นี่กัน..หญิงสาวอดที่จะถามตัวเองเสียไม่ได้ เมื่อมอง

เห็นความผึ่งผายภูมิฐานของเขา  อีกทั้งเขายังเป็นผุ้ชายที่พี่สาว

ของหล่อนให้ความสำคัญ

   บางทีงานเลี้ยงที่พี่สาวของหล่อนจัดขึ้นคงเพื่อต้องการ

กระชับสัมพันธไมตรีกับเพื่อนชายคนนี้ก็ได้ ในเมื่อหล่อนหย่า

จากสามีแล้ว

  “คุณจะไม่แนะนำตัวเองให้ผมรู้จักบ้างหรือ”

   “คุณรู้จัดฉันไปทำไมกันค่ะ”  หล่อนถามออกมาด้วยสีหน้า

เรียบเฉย

    “อ้าว...อย่างนี่ก็ไม่ยุติธรรมน่ะสิ...ในเมื่อผมแนะนำตัวเองกับ

คุณแล้วนี่”  เขาต่อว่าทันที

   “บางทีอาจจะเสียเวลาคุณเปล่าที่จะมานั่งคุยกับคนอย่างฉัน” 

อีกครั้งหนึ่งที่ฟ้าใสพูดถึงตัวเองทำนองน้อยใจในความต่ำต้อย

   “คุณพูดราวกับว่าตัวเองต่ำต้อยจนไม่มีใครยอมรับ”  เขาบอก

เรียบ ๆ

   “ใช่สิ...ขนาดพี่สาวแท้ ๆ ของฉันยังไม่ยอมรับว่าฉันเป็นน้อง

สาว”  หล่อนได้แต่บอกในใจ

   “ความจริงมันเป็นเช่นนั้น” บอกสั้น ๆ

   “ฉันไม่รบกวนเวลาคุณดีกว่า” ท้ายที่สุดหญิงสาวบอกออกมา

พร้อมกับขยับ จะลุกขึ้น

   “เดี๋ยวก่อนฟ้าใส”  เขาบอกพร้อมกับแตะหลังมือเป็นเชิงให้

หล่อนนั่งลง แม้เพียงสัมผัสสุภาพ แต่ทำให้หญิงสาวรู้สึกวาบ

ไหวขึ้นมาง่ายดาย  หล่อนมองสบตาเขาราวกับจะถามว่าเขารู้จัก

หล่อนได้อย่างไร 

   “ผมไม่ใช่คนที่จะจัดอันดับคนว่าคนนั้นต้องอยุ่ระดับนั้นคนนี้

ต้องอยุ่ระดับนี้หรอกนะ”  เขาบอกหนักแน่น

“ฉันคงไม่เชื่อง่าย ๆ หรอกนะว่าใจจริงคุณจะคิดอย่างนั้น”  บอกทันควัน เพราะพี่สาวแท้ ๆ ของหล่อนยังเป็นไปได้...แล้วทำไมกับคนอื่น...อีกทั้งคนที่คบหากันย่อมมีอะไร ๆ เหมือน ๆ กัน

“ทำไมล่ะ” นัยน์ตาของเขามีแววยิ้มนิด ๆ

ตอนที่ 2

“ทำไมคุณคิดแบบนั้น”  ฟ้าใสไม่ตอบ

“คุณจะให้ผมทำยังไงคุณถึงจะเชื่อว่าผมเป้นเพื่อนกับคุณได้”  ประโยคนี้ของเขาทำให้หญิงสาวหันขวับมาจ้องหน้าเขาทันที

“คุณต้องการอะไรกันแน่” หล่อนมองหน้าเขาไม่ไว้ใจ

“ต้องการเป็นเพื่อนกับคุณ”  แม้มีรอยยิ้มในดวงตา แต่มันเป็นประกายกล้าที่ก่อให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นไม่ใช่มีเลศนัยแต่อย่างใด แววตาของเขาไม่เหมือนแววตาของเสี่ยสุกิจเมื่อยามบอกหล่อนว่า

“หนูฟ้ามีอะไรให้เสี่ยช่วยก็บอกมาได้เลยนะ  เสี่ยยินดีช่วยเหลืออย่างเต็มใจทีเดียวล่ะ”  แววตาของเสี่ยสุกิจทำให้หล่อนรู้สึกขยะแขยง เพราะอ่านเจตนาที่แฝงมาในคำพูดนั้นได้  แต่กับธนสิทธิ์ หล่อนกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น

“คุณแน่ใจหรือที่พูดออกมานี่”  หล่อนถามเย้ยหยัน

“คุณคงไม่รู้จักฉันดี”

“รู้สิ....คุณเป็นญาติกับฟาริดาไม่ใช่หรือ”

“แค่คนบ้านเดียวกันเท่านั้นเองมั้ง”  หล่อนตอบไม่มองหน้าเขา  เพราะพี่สาวของหล่อนแท้ ๆ ทำให้หญิงสาวเกิดความขมขื่นใจเพียงนี้

“ฉันไม่มีอะไรเหมือนคุณฟาริดาหรอกนะ....คุณอย่าเข้าใจผิด”  หล่อนบอกออกมาอีก

“ผมไม่ได้คิดว่าคุณจะต้องเหมือนใครหรอกนะ”

“แต่ฉันก็ยังจะขอยืนยันว่าฉันแค่ชาวบ้านธรรมดา ๆ คนหนึ่งไม่ใช่ญาติวงศืพงษากับผุ้ดีมีตระกูลอะไรหรอกนะ”

“ผมก็ขอยืนยันด้วยเหมือนกันว่าผมจะขอเห็นเพื่อนกับคุณ ไม่คุณจะเป็นใครมาจากไหน”  เขาบอกหนักแน่น

ฟ้าใสมองสบตาเขาก็พบประกายตาอบอุ่น  แต่หล่อนจะเชื่อความรู้สึกตัวเองได้ล่ะหรือ...ในเมื่อหล่อนกับเขาเพิ่งรู้จักกันเมื่อครู่นี้เอง

“คุณพร้อมที่จะพิสูจน์อย่างนั้นหรือว่าจะเป็นเพื่อนกับฉัน” ความคิดในใจของหญิงสาววาบเข้ามาทันที

“แน่นอน”

“ถ้างั้นคืนนี้คุณกล้าพาฉันเข้าไปในงานเลี้ยงหรือเปล่า” หล่อนมองสบตาเขาท้าทาย

“ตกลงผมจะพาคุณไปงานเลี้ยงสังสรรค์ที่โรงแรมด้วย...งานที่คุณฟาริดากับเพื่อน ๆร่วมกันจัด”  เขาบอกหนักแน่น...ในขณะที่หญิงสาวมองสบตาเขานิ่งงันไปชั่วขณะ...อยากเห็นหน้าพี่สาวของหล่อนจังว่าเวลาที่เขาเห็นฟ้าใสเดินเข้าไปในงานกับธนสิทธิ์ หล่อนจะทำอย่างไร

ฟ้าใสเดินกลับมาที่เรือนหลังเล็ก...พบว่าที่เรือนว่างเปล่า  พวกคนในบ้านคงกำลังทำงานอยู่บนตึกใหญ่นั่นเอง  หล่อนทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ใกล้ ๆ พร้อมกับครุ่นคิดถึงเรื่องราวต่าง ๆ

“หนูฟ้าใสค่ะ”  เสียงใครบางคนเรียกขึ้น  ฟ้าใสเงยหน้าขึ้นก็พบว่าคุณแม่บ้านยืนอยู่ใกล้ ๆ

“คุณผุ้หญิงให้ดิฉันนำซองนี่มาให้ค่ะ...แล้วก็ให้ถามด้วยว่าคุณจะกลับเมื่อไหร่”

“อ้อ”  ฟ้าใสรับซองสีขาวนั้นมาเปิดแง้มออกดู

“คุณแม่บ้านช่วยไปเรียนคุณผู้หญิงด้วยนะฉันจะกลับพรุ่งนี้”

“ค่ะ”

“แล้วก็ฝากซองนี่ไปคืนเธอด้วย”  ฟ้าใสส่งซองนั้นคืนให้คุณแม่บ้าน  แววตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความแปลกใจ แต่ก็ไม่มีคำถาม เพราะความที่ได้รับากรอบรมมาเป็นอย่างดีนั่นเอง  ขี้ข้า ก็ส่วนขี้ข้าไม่ควรยุ่งเรื่องของเจ้านาย

“คุณแน่ใจนะคะ”  ไม่วายถามออกมา เพราะความรู้สึกถูกชะตาแม่หนูฟ้าใสคนนี้  แม้ไม่รู้ว่าเป็นน้องสาวแท้ ๆ แต่รู้ว่าเป็นญาติ ๆ กันคุณแม่บ้านก็รู้สึกว่าคุณผู้หญิงช่างใจจืด ที่ให้ญาติที่มาจากหัวเมืองมาพักเรือนคนใช้ แต่เพื่อนฝูงกลับต้อนรับอย่างดีราวกับผุ้วิเศษ

“ดิฉันขอโทษค่ะ หากทำให้คุณไม่พอใจ”  คุณแม่บ้านบอกออกมาเมื่อเห้นสีหน้าอีกฝ่ายเคร่งเครียด

“เปล่า...คุณผู้หญิงของป้าคงบอกล่ะสิว่าฉันเป็นญาติมาขอเงิน  มาขอความช่วยเหลือน่ะ”

ฟ้าใสถามเสียงเรียบ ๆ และนั่นทำให้คุณแม่บ้านต้องยอมรับ เพราะฟาริดาบ่นแกมบอกเล่าก่อนที่จะให้ซองนี้มา

“อุตส่าห์ไม่ยุ่งกับใครแล้วเชียว ยังมีคนมากกวนใจจนได้...แต่ก็นั่นล่ะนะคนบ้านเดียวกันก็ต้องช่วย ๆ กันไป ไม่ใช่ญาติก้เหมือนญาตินั่นล่ะ...เดี๋ยวจะหาว่าใจจืดใจดำ...”

“แล้วทำไมหนูไม่เก็บเงินนี่ไปล่ะค่ะ”  คุณแม่บ้านถามขึ้น

“เพราะไม่อยากกวนคุณผู้หญิงของคุณแม่บ้านน่ะสิ”

“แต่เงินเพียงแค่นี้คงไม่เป็นไรหรอกค่ะ  คุณไม่ได้ทำให้คุณผู้หญิงเดือดร้อนอะไร” คุณแม่บ้านบอกพาซื่อ

“แปลว่าคุณผุ้หญิงคงรวยมาก”  บอกด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

“ป้าก็ไม่ทราบหรอกนะคะ  แต่ป้ารู้ว่าคุณวริชญ์น่ะเธอรวยมาก เมื่อหย่ากันคุณผุ้หญิงก็ต้องได้รับทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของสามี...เธอก็ต้องมีเงินมากด้วยล่ะค่ะ”  คำบอกเล่านี้ทำให้ฟ้าใสเงียบงันไป

“คุณแม่บ้านรู้จักคุณวริชญ์ดีหรือค่ะ”  ถามอย่างสนใจ เพราะฟ้าใสก็อยากรู้เหมือนกันว่าเหตุใดพี่สาวจึงต้องหย่า

“ก็”  คุณแม่บ้านคล้ายกับรุ้สึกตัวว่าพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด

“คุณแม่บ้านค่ะ รับรองว่าฉันไม่ทำให้คุณแม่บ้านเดือดร้อนหรอกค่ะ เพียงแต่อยากทราบว่าคุณฟาริดาทำไมต้องหย่า”

“อย่าให้ป้าพูดอะไรเลยค่ะ”  คุณแม่บ้านทำท่าจะปิดปากเงียบ

“แล้วนี่คุณผู้หญิงเขาอยู่หรือเปล่าค่ะ”

“ไม่อยู่หรอกค่ะไปทำผม....อ้อไม่ใช่ทำผมอย่างเดียวหรอกค่ะ..ก็ทำทุกอย่างนั่นล่ะค่ะคงกลับเย็น ๆ “

“อ้อจ้า” ฟ้าใสคุยเรื่องอื่น ๆ อยู่ครุ่หนึ่งคุณแม่บ้านก็ขอตัวไปบนตึกใหญ่  แต่ก็ทำให้ฟ้าใสได้รู้ว่าหล่อนจะทำให้ตัวเองดูดีขึ้นได้จากร้านเสริมสวยใกล้ ๆ กันนี้..และมีเสื้อผ้าที่พอดูดีเอามารีดเตรียมเอาไว้สำหรับคืนนี้

ฟ้าใส ออกไปร้านทำผม หล่อนเสียเงินสระผมที่ร้านเพื่อที่จะให้ช่างเกล้าผมให้ด้วย  ก็เกล้าทรงเรียบ ๆ แต่เก๋ ๆ เปิดต้นคอระหง  มองดุตัวเองเมื่อแต่งตัวเสร็จแล้ว ฟ้าใสก็นึกขอบใจตัวเองที่หล่อนหยิบชุดนี้มาด้วย  แต่ก่อนนั้นเมื่อพ่อยังอยู่ ลุก ๆ ทุกคนได้สิ่งที่ควรจะได้และอยากได้ในบางโอกาส เสื้อผ้าดี ๆ หลายชุดพ่อซื้อมาฝากจากต่างประเทศ

เพราะการที่เนื้อผ้าดีตัดเย็บประณีตและแบบเรียบเก๋จึงยังไม่ล้าสมัยแม้จะซื้อมาหลายปีแล้วก็ตาม  และรูปร่างของฟ้าใสก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงทำให้หล่อนสวมชุดนี้ได้อย่างเหมาะเจาะ...เพราะอะไรฟ้าใสจึงหยิบชุดนี้ติดมาน่ะหรือ  หญิงสาวตอบตัวเองอย่างขมขื่น 

เพราะหล่อนวาดภาพว่าพี่สาวคงดีใจที่น้องสาวมาหา และคงพาออกงานหรือไปเลี้ยงต้อนรับตามร้านอาหารหรู ๆ  แต่มันเป็นเพียงความฝันที่ถูกทำลายในพริบตาเมื่อหล่อนได้พบหน้าพี่สาว

มันคงไม่แปลกหรอกนะที่หล่อนจะพาตัวเองเข้าไปเสนอหน้าในงานนั้นด้วย ในเมื่อหล่อนมีคนเชิญ แล้วตอนนี้หล่อนก็ดูสวยพอที่จะออกงานได้แล้วสินะ  หญิงสาวยิ้มให้กับตัวเองเมื่อหยิบต่างหุคู่งามขึ้นมาสวม

ต่างหูเพชรแท้เม็ดเล็ก ๆ ที่เป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่หล่อนยังคงเก็บรักษาไว้  เพราะรักมันมากและอยากเก็บเอาไว้เพื่อระลึกถึงพ่อ  มันจึงไม่ถูกเปลี่ยนเป็นเงินเหมือนกับชิ้นอื่น ๆ ที่มีอยู่และถูกเปลี่ยนมือไป

มันทำให้ฟ้าใสมั่นใจในตัวเองมากขึ้น  อย่างน้อยก็ทำให้หล่อนมั่นใจว่าหล่อนไม่ได้ยากไร้จนเกินไปนักหรอก  เงาที่สะท้อนออกมานั้นบอกออกมาได้ดีว่าผุ้หญิงตรงหน้าฟ้าใสสะสวยสง่างามเพียงไหน

ฟ้าใสแอบออกมาจากเรือนหลังเล็กง่ายดาย เพราะคนใช้ยังอยู่ทำงานบนตึกใหญ่ เพราะมีเพื่อน ๆ ของฟาริดามาพักกันหลายคน จึงต้องวิ่งวุ่นรับใช้

แต่หล่อนจะออกไปทางประตูเล็กด้านหลังตามที่นักกับธนสิทธิ์เอาไว้  และทันทีที่เขาเห็นฟ้าใส  ดวงตาคมกล้าของเขาเผยความพึงพอใจอย่างแจ่มจ้าทีเดียวล่ะ

“นั่นคุณสิทธิ์ควรใครเข้ามาในนี้”  เสียงของยุรฉัตรเอ่ยถามขึ้นทันทีที่เห็นธนสิทธิ์กับหญิงสาวสวยเก๋คนนั้น

“ฟ้าใส” ฟาริดาครางออกมาอย่างตื่นตะลึง นึงไม่ถึงและไม่อยากเชื่อสายตาว่าฟ้าใสจะมากับธนสิทธิ์ได้

“ดารู้จักผุ้หญิงคนนั้นด้วยหรือ”

“เปล่า ๆ ไม่รู้จักหรอก”  ในกลุ่มเพื่อนนี้ไม่มีใครรุ้ว่าฟาริดามีน้องสาว  หรืออันที่จริงหล่อนไม่เคยพูดถึงเรื่องครอบครัวตัวเองให้ใครฟัง  แม้เมื่อฟ้าใสมาที่บ้านหล่อนก็ไม่ได้บอกกล่าวหรือแนะนำให้รู้จักเพื่อน ๆ แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น  ฟ้าใสจึงเดินควงมากับธนสิทฺธิ์

“หรือว่าเป็นญาติเขากันนะ” ใครบางคนเอ่ยขึ้น  แท้จริงแล้วฟาริดาก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใครมาจากไหนอย่างละเอียดนัก นอกจากรู้ว่าเขาเป็นทายาทของเศรษฐีทางใต้  และไปเรียนเมืองนอกเพิ่งกลับมาเมืองไทยเท่านั้นเอง

“จริงด้วยบางทีอาจเป็นญาติเขาก็ได้” ไม่ใช่หรอกไม่ใช่แน่นอน...ฟาริดาอยากจะตะโกนออกมาให้มันดังแสนดัง  แต่ทำได้คือปิดปากตัวเองเงียบเอาไว้

“นั่นสิ  ก็รู้อยู่นี่นาว่าดาสนใจเขา....เขาจะกล้าพาใครมาควงในงานนี้เชียวหรือ”  ยุรฉัตร บอกขึ้นราวกับจะปลอบใจ

“เขามีสิทธิ์นี่”  ฟาริดาบอกไม่เต็มเสียง

“แค่คนรู้จักกันไม่มีอะไรกันสักหน่อย”

“แต่เขาเป็นแขกของดา”  สาวิตรีเอ่ยขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย

“เถอะน่าเราอย่าเพิ่งพูดอะไรกันตอนนี้ดีกว่า  นั่นไงเขาพาผู้หญิงคนนั้นมาทางพวกเราแล้วล่ะ”  ฟาริดานั่งคอแข็งทีเดียวเมื่อฟ้าใสเดินคู่มากับธนสิทธิ์  หล่อนคิดอะไรไม่ออกพูดอะไรไม่ได้ทีเดียวล่ะกับเหตุการณ์นี้ เพราะมีแต่ความโกรธเคืองเป็นที่สุด

แม่น้องสาวของหล่อนร้ายกาจเพียงนี้เชียวหรือ  ฟาริดาแสร้งปั้นสีหน้าทำเป็นยิ้มแย้มแต่ในใจของหล่อนอยากจะกรีดร้องจนกระทั่งตอนหนึ่งหล่อนมีโอกาสเข้ามาหาฟ้าใส

“เธอคิด่ากำลังทำอะไรอยู่น่ะฟ้าใส”

“พี่ว่าฟ้าทำอะไรดีล่ะค่ะ” ฟ้าใสถามอย่างสะใจที่พี่สาวทำหน้าปั้นยากเมื่อธนสิทธิ์แนะนำหล่อนกับคนอื่น ๆว่าฟ้าใสเป็นเพื่อน

“เธอคิดจะจับเขาใช่ไหม” พี่สาวของหล่อนกล่าวหาทันที

“เออ...จริงด้วยสิ ความจริงฟ้าน่าจะได้คิดในข้อนี้”

“ยายฟ้า...แก...ไม่น่าเล่าถึงไม่ยอมรับเงินที่ฉันให้มันน้อยไปใช่ไหม”

“ก็แล้วแต่พี่จะคิด”

“คุณธนสิทธิ์ไม่มีวันเลือกผู้หญิงอย่างแก”

“มันก็ไม่แน่หรอกนะคะ”  บอกทันทีอย่างไม่แคร์

“หมายความว่ายังไง”  ฟาริดาเสียงแหวขึ้นมาทันที

“บางทีฟ้าอาจจะทำแบบพี่บ้างก็ได้”  ย้อนหน้าตาเฉย

“แกว่าฉันทำอะไร”

“ก็วางแผนจับผุ้ชายรวย ๆ ไงค่ะ”

“แกนังฟ้า”

“อย่างดังไปค่ะ  แล้วก็อย่าทำหน้าแบบนั้นเดี๋ยวใคร ๆ ก็รู้กันหมดหรอกว่าอะไรเป็นอะไร”

“แกร้ายมากนะฟ้าใส”

“หรือค่ะ”

“ฉันจะไม่ให้แกเข้าบ้านฉันอีก ฉันไม่ต้อนรับแกเป็นอันขาด” ฟาริดาประกาศอย่างไม่เหลือเยื่อใยระหว่างพี่น้องอีกแล้ว หล่อนเดินผละจากมาทิ้งให้ฟ้าใสนิ่งอึ้งไปเหมือนกัน

ความรู้สึกที่หล่อนมีในยามนี้ช่างเต็มไปด้วยความคับแค้นใจน้อยใจและเสียใจ หญิงสาวเดินเลี่ยงออกมานอกห้องนั้นอยากจะอยู่คนเดียวเงียบ ๆ สักครู่  ฟ้าใสรู้สึกเคว้งคว้างทีเดียวเมื่อรู้ว่าหล่อนจะต้องนำความผิดหวังไปบอกแม่ และยิ่งไปกว่านั้นก็คือฟ้าใสเสียพี่สาวของหล่อนไปแล้วอย่างสิ้นเชิง

ตอนที่ 3

“ฟ้าใส” เสียงเรียกดังขึ้น ขณะที่ฟ้าใสนั่งอยุ่ที่เก้าอี้ริมสระน้ำของโรงแรม  หล่อนแทบไม่ต้องหันมาดูก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นเขา

“ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้  ไม่สนุกล่ะสิ”  เขาถามพร้อมกับหยุ่นตัวลงนั่งใกล้ ๆ หญิงสาว

“คุณควรจะเข้าไปในงานนะคะหากไม่ต้องการให้ใคร ๆ ในนั้นหาตัวคุณ”

“ผมไม่ได้สำคัญอะไรเพียงนั้นหรอก”

“แต่คุณก็สำคัญสำหรับใครบางคน”  ฟ้าใสไม่กล้าเอ่ยถึงพี่สาวอีก

“ช่างเถอะนะ แต่ผมอยากให้ความสำคัญกับเพื่อนผมมากกว่า”

“เพื่อน”

“ก็ใช่...ผมบอกแล้วไงว่าคุณเป็นเพื่อนผม”  ฟ้าใสอึ้งไปทีเดียว

“คุณไม่กลัวบ้างหรือกับการที่จะมาคบฉันเป็นเพื่อน”

“ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัว” นัยน์ตาเขาพราวรอยยิ้ม

“คุณไม่กลัวว่าแนคิดจะจับคุณหรือ”  ถามเขาตรง ๆ

“ไม่รู้สิ  ผมไม่ได้รู้สึกแบบนั้นกับคุณเลยนะ”

“คุณมองฉันในแง่ดีเกินไป” ฟ้าใสประชด  เพราะพี่สาวของหล่อนเองยังไม่มองหล่อนในแง่ดีเหมือนเขาเลย

“อ้าว แปลว่าคุณไม่ได้คิดว่าตัวเองดีหรือ”  เขาถามทีเล่นทีจริง

“เปล่า...ฉันไม่ใช่คนดีอะไรเลย”

“ยิ่งดีใหญ่หากคุณบอกออกมาอย่างนี้” เขาบอกเรียบ ๆ แต่ฟ้าใสมองหน้าเขานัยน์ตาโตแปลกใจ

“คนเรานะมีแต่เขาโฆษณาตัวเองว่าดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ พยายามให้คนอื่นมองตัวเองในแง่ดีกันทั้งนั้นนี่ แต่ถ้าหากคุณยอมรับว่าตัวเองไม่ได้ดีก็หมายความว่าคุณเป็นคนจริงใจ”

“เปล่า...คุณอย่ามองฉันเลิศเลอแบบนั้น”

“ถ้างั้นคุณเป็นคนยังไงบอกผมหน่อยได้ไหม”เขาถามยิ้ม ๆ

“ฉันไม่มีอะไรจะบอกคุณหรอกนะ” ฟ้าใสตัดบทเมื่อคิดว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่หล่อนจะพูดกับเขา  ไม่มีประโยชน์ที่หล่อนจะระบายความคับแค้นใจกับคนอื่น

“ฉันจะกลับดีกว่า”

“อ้าว...ทำไมอย่างนั้นล่ะ”

“เซ็งน่ะ”

“เอางี้ผมไปส่งคุณดีไหม”

“อย่าดีกว่าค่ะ” บอกพร้อมกับเดินก้าวยาว ๆ ออกมาจากเขาทันที

“ฟ้าใสคุณมากับผมก็ควรจะกลับกับผมสิ” เขาบอกเสียงเข้ม

“คุณอย่าเสียเวลากับฉ้นดีกว่านะ”  หญิงสาวบอกโดยไม่ได้มองหน้าเขา หล่อนก้าวยาว ๆ ออกมาจากที่นั่นทันที ต่อนี้ไปหล่อนกับเขาก็จะไม่ได้พบกันอีกแล้ว

“ฟ้าใสขึ้นมาสิ”  เขาตามมาทันหล่อนจนได้  ฟ้าใสมองเขาอย่างชั่งใจก่อนจะก้าวเข้ามาในรถเขา  อย่างน้อยเขาก็เป็นคนเดียวที่บอกว่าจะเป็นเพื่อนกับหล่อน

“คุณมีเรื่องไม่สบายใจล่ะสิ”  เขาถามเรียบ ๆ

“มีมากด้วย...แต่เรื่องของฉันมันคงทำให้คนฟังรกสมองทีเดียวล่ะ”

“เอางี้ผมว่าเราไปนั่งฟังเพลงหรือหาอะไรทานก่อนดีกว่า”  เขาบอกขึ้น

“อย่าดีกว่าค่ะ”

“ทำไมล่ะ”

“ฉันไม่อยากให้คุณเสียเวลากับฉัน”

“ผมบอกแล้วไงว่าคุณคือเพื่อน”  น้ำเสียงเขาจริงจังจนหล่อนอึ้งไป  น้ำตาพาลจะไหลเมื่อคิดถึงคำที่พี่สาวของหล่อนไล่ให้ออกจากบ้าน

“คุณจะยังเป้นเพื่อนฉันอยู่อีกไหมค่ะ หากรู้ว่าฉันไม่รู้จะซุกหัวนอนที่ไหนดีคืนนี้”  เขาเงียบงันไป

“คุณทะเลาะกับฟาริดาหรือ”  ฟ้าใสเงียบ

“พี่น้องกันก็แบบนี้ล่ะ ทะเลาะกันเถียงกันเดี๋ยวก็ดีกัน”

“ฉันไม่ใช่...เอ้อเขาไม่ใช่พี่ฉัน”  ฟ้าใสบอกอย่างฉุน ๆ

“หมายความว่าคุณโกรธเขา”

“เขาโกรธฉันต่างหาก”

“แล้วคุณมีญาติที่อื่นอีกหรือเปล่า”  หญิงสาวส่ายหน้าแทนคำตอบ  แต่ในใจนั้นหล่อนกำลังถามตัวเองว่าจะไปไหนดี มันดึกเกินกว่าจะหารถกลับบ้านที่ต่างจังหวัด

“ฟ้าใส...หากคุณไว้ใจให้เกียรติผม ผมมีที่พักที่ปลอดภัยให้คุณ”  เขาบอกเรียบ ๆ

ฟ้าใสหันมามองสบตาเขา  แววอบอุ่นจริงใจฉายแสงอยุ่ในดวงตาคู่นั้น หล่อนคงไม่มีทางเลือกกระมัง  อย่างน้อยผู้ชายคนนี้ก็มีน้ำใจและไม่รังเกียจฟ้าใส เช่นที่พี่สาวแท้ ๆ ของหล่อนสดงต่อหล่อน

“คุณสิทธิ์หายตัวไปไหนกันนะ” ยุรฉัตรถามขึ้นเมื่อมองหาเขาไม่เห้น ส่วนฟาริดาเงียบกริบเมื่อเพื่อนออกความเห็นว่า

“ออกไปกับเด็กคนนั้นหรือเปล่า”

“นั่นสิ  เขาบอกว่าเพื่อนแต่แหมเราว่าเด็กนั่นหน้าตาอ่อนวัยกว่ามากเลยนะ หากเป็นเพื่อนคุณสิทธิ์จริง ๆ”

“ผู้ชายก็แบบนี้ ร้อยทั้งร้อยก็ชอบอะไรแบบนี้ล่ะ” สาวิตรีว่า

“อะไรแบบนี้ที่เธอว่ามันอะไรกันล่ะจ๊ะ”

“ก็ชอบความสวยสดของเด็กสาวน่ะสิ  ชนิดที่ใคร ๆ เข่าบอกว่าวัวแก่ชอบกินหญ้าอ่อนน่ะสิ”

“แต่คุณสิทธิ์เขายังไม่แก่สักหน่อย เต็มสามสิบหรือยังก็ไม่รู้”

“ก็นั่นล่ะ...เขาก็อ่อนกว่าพวกเรา” คราวนี้ฟาริดาหน้าร้อนขึ้นมาทันที  สาวิตรีและมยุรฉัรเป็นสาวสังคมที่รักอิสระร่ำรวยและรักสนุก ส่วนหล่อนไม่ใช่สาวอย่างสองคนนั่น  ที่ฟาริดาคบหาสอบคนนี้ได้ก็เพราะสองคนนี้ไม่แข่งขันเรื่องเดียวกันกับหล่อน ฟาริดาชอบธนสิทธิ์หรือผู้ชายหลาย ๆ คนที่สะดุดตาและมีคุณสมบัติน่าประทับใจซึ่งหล่อนก็จะหาวิธีที่จะสานไมตรีกับเขาให้แน่นแฟ้น  แต่รายแรกหล่อนก็ทำท่าจะสูญเปล่าเสียแล้ว

เพราะธนสิทธิ์ไม่ได้สนใจอะไรหล่อนเป็นพิเศษเลย ไม่เช่นนั้นงานคืนนี้เขาก็คงไม่ปล่อยให้หล่อนสนุกกับคนอื่น ๆ โดยไม่มีเขาแม้แต่เงาแบบนี้หรอก เพราะฟ้าใสทีเดียวล่ะ...และในที่สุดฟาริดายกความผิดให้น้องสาว

“ว่าไงล่ะดา”  สองสาววัยสามสิบเศษ  หันมาถามสาวที่เพิ่งผ่านการาหย่าจากสามีได้ไม่ถึงปีอย่างเห็นใจ

“ก็ไม่ว่าไงนี่”  ฟาริดาทำหน้าเรียบเฉยแม้ในใจจะกรุ่นไปด้วยโทสะเพียงไรก็ตาม และเมื่อกลับมาถึงบ้านเด็กรายงานว่าฟ้าใสออกจากบ้างไปด้วยแล้ว ยิ่งทำให้หล่อนมั่นใจว่าฟ้าใสออกไปกับธนสิทธิ์แน่นอน

หล่อนหมุนไปหาเขาที่โรงแรมที่รุ้ว่าเขาพักอยู่ แต่ทางนั้นบอกว่าเขาเช็คออกจากโรงแรมไปแล้ว นี่มันอะไรกันนะ  หมายความว่าธนสิทธิ์คิดอะไร ๆ กับฟ้าใสจริง ๆ หรือ สองคนนั่นต้องไปด้วยกันแน่ เพราะหล่อนรู้ว่าฟ้าใสไม่มีเพื่อไม่มีญาติในกรุงเทพฯมาก่อน

ฟาริดาไม่มีเวลาได้ทบทวนตัวเองรหอกว่าหล่อนใจร้ายใจดำกับน้องสาว แต่กลับโกรธและโทษน้องสาวมากมายทีเดียว  เพราะโกรธที่หล่อนติดต่อกับธนสิทธิ์ไม่ได้นั่นเอง

ขณะเดียวกันฟ้าใสก็มองหน้าเขาแปลกใจเมื่อเขาพาหล่อนมายังบ้านนอกเมืองหลังหนึ่ง ซึ่งก็ขับรถออกมาไม่ไกลนัก

“บ้านใครค่ะ”

“บ้านผมเอง ลงมาก่อนสิฮะ” บ้านริมน้ำหลังย่อมตกอยุ่ในความเงียบสงัด เพราะเขาพารถเลี้ยงขับเข้ามาตามทางเล็ก ๆ ก่อนจะถึงที่นี่ มีแสงไฟเปิดสว่างอยุ่ทั้งบ้านแปลว่ามคนอยู่ และนั่นทำให้หญิงสาวใจชื้น เพราะเมื่อถึงเวลาจริง ๆ หล่อนก็รู้สึกกลัว ๆ ขึ้นมาเหมือนกัน กับการที่หล่อนจะต้องมาพักค้างที่บ้านคนอื่นแบบนี้

และเมื่อลงมาถึงบ้านฟ้าใสก็ได้รู้ว่าคนที่อยู่ในบ้านหลังนี้เป็นแค่คนเฝ้าบ้านเท่านั้น  ลุงปานกับเมียของแกชื่อเนย  บ้านหลังนี้ซ้อนความหรูหราทันสมัยเอาไว้ภายใน เพราะเมื่อมองจากภายนอกก็มองเห็นแค่ว่าเป็นบ้านไม้หลังใหญ่  มีระเบียงยื่นออกมาโดยรอบ  แต่ภายในกลับไม่ใช่แค่นั้น

“ป้าพาคุณผู้หญิงไปห้องพักด้วยนะ ตามสบายนะฮะฟ้าใส”  เขาบอกคนในบ้านให้เรียกฟ้าใสว่าคุณผู้หญิง และนั่นทำให้หล่อนไม่ชอบใจ

“ไทไมให้เขาเรียกแบบนี้”  ถามทันทีเมื่อหล่อนอาบน้ำเปี่ยนเสื้อผ้าใหม่และออกมาหาน้ำดื่มสักแก้วและเขายังไม่นอน

“เรียกยังไง”

“ก็คุณผู้หญิง”

“ผมเพียงแต่ไม่ต้องการให้คุณเสียหาย”

“หมายความว่ายังไง”

“คุณเป็นผู้หญิงแล้วมาพักค้างกับผม จะให้ผมบอกคนในบ้านว่าคุณเป็นแค่เพื่อนหรือ”  เขาให้เหตุผล

“แต่คุณไม่ต้องคิดมากหรอกนะ  เพราะคนที่นี่เป็นคนเก่าแก่ที่เคยดูแลบ้านนี้ ผมเพิ่งซื้อเอาไว้...เขาไม่รุ้หรอกว่าเราเป็นอะไร ๆ กัน”  เขาบอกยิ้ม ๆ แต่หญิงสาวแย้งทันที

“เราไม่ได้เป็นอะไรกันนะ”

“ก็เป็นเพื่อนกันไง...คุณจะอื่มอะไรหรือจะทานอะไรดี คุณคงยังไม่ได้ทานมา” 

“ขอนมสดสักแก้วก็พอค่ะ”  ฟ้าใสมองเรือนหลังนี้แล้วอดที่จะคิดถึงบ้านเสียไม่ได้ บ้านของฟ้าใสเป็นบ้านไม้เก่าแก่สวยงามแต่ทว่าทรุดโทรมไปหน่อยเท่านั้นเอง

“ดีขึ้นบ้างหรือยังฮะ”  เขาถามขึ้นเมื่อหญิงสาวดื่มนมหมดแก้ว

“ถ้าหากถามถึงความรู้สึกคงไม่ดีนักหรอกค่ะ”  บอกตรง ๆ

“คุณพอจะเล่าอะไรเกี่ยวกับตัวเองให้ผมฟังบ้างได้ไหม”  น้ำเสียงของเขาทำให้หญิงสาวต้องมองหน้าเขาทันที

“ผมไม่ได้มีความคิดอะร้าย ๆ หรอกนะ  เพียงแค่อยากทำให้คุณสบายใจขึ้นมาบ้างเท่านั้น”  ฟ้าใสเงียบไป  หล่อนก้มมองมือตัวเองที่คลึงแก้เล่นไปมา

“คุณเป็นคนอื่น ๆ แท้ ๆๆ “ครางออกมาจนได้

“คนอื่นที่ไหนกันเล่า เราเป็นเพื่อนกันนะ”  บอกด้วยน้ำเสียงมั่นคง

“เราเป้นเพื่อนกันได้หรือค่ะ” ฟ้าใสย้อนถามทันทีด้วยรอยยิ้มประชดประชัน

“ในเมื่อมีคนบอกว่าฉันกำลังคิดจะจับคุณ”  น้ำเสียงของหล่อนขมขื่น  คนอื่นมองฟ้าใสในแง่ดี ๆ แต่พี่สาวของฟ้าใสสิกลับไม่มีความรู้สึกอะไรแบบนั้นสักนิด...อะไรกันนะที่เปลี่ยนพี่สาวของฟ้าใสมากมายแบบนี้  ความรักความผูกพันไม่มีเหลือให้คนในครอบครัวบ้างเลยหรือ

“อ๋อ.....แล้วคุณคิดยังไง”  เขาถามพร้อมกับมองตาหล่อนด้วยสายตาคมกล้า

“ถ้าหากผู้ชายรวย ๆ สักคนเข้ามาให้ฉันจับง่าย ๆ เหมือนปูเหมือนปลา ฉันก็อจจะทำก็ได้” เสียงของฟ้าใสแสนขื่น

“หมายความว่าคุณมีความคิดนั้นในใจเหมือนกัน” เขาถามเสียงเรียบและฟ้าใสไม่ได้มองสบตาเขาหรอก..หล่อนจึงไม่ทันเห็นว่าเขากำลังมองหล่อนด้วยแววตาพินิจทีเดียว แท้จริงแล้วฟ้าใสก็ไม่ต่างอะไรกับพี่สาวของหล่อนอย่างนั้นหรือ

“มีความคิดไหน” ย้อนถามทันที

“ก็อยากจับผู้ชายรวย ๆ ไง”

“เปล่าเลย...ฉันไม่เคยคิดจะจับผู้ชายอะไรอย่างคุณว่าหรอกนะ แต่ฉันต้องการเพียงแค่ว่าอยากมีเงินสักก้อนหนึ่งเท่านั้นเอง” เผลอบอกออกมาและรีบกลบเกลื่อนทันที

“คนจน ๆ ก็มีความคิดนี้กันทุกคนแหละนะ  ถ้าหากเป็นคนบางคนก็อาจจะเล่นหวยไง  แล้วก็รอลุ้นว่าจะได้รางวัลหรือเปล่า” หญิงสาวบอกเสียงปร่า

“แต่ฉันแย่กว่าคนพวกนั้นเสียอีก เพราะไมเคยคิดจะลงทุนแต่ฉันบากหน้ามาขอ...คงไม่ผิดอะไรกับขอทานนักหรอก”

“คุณมาขอความช่วยเหลือจากฟาริดา”  ฟ้าใสเหลือบมองหน้าจริงจังของเขาแล้วตอบสั้น ๆ

“ก็ทำนองนั้น”

“มันเป็นเรื่องน่าละอายใช่ไหมล่ะ ที่คนเราต้องบากหน้าทำในสิ่งที่ไม่ยากทำ ..ทำในสิ่งที่จะได้รับสายตาดูแคลนจากคน ๆ นั้น”

“ฟ้าใส...คุณต้องการความช่วยเหลือ”  เขาถามจริงจัง

“คุณจะถามทำไมกันนะ หรือว่าคุณจะช่วย” หล่อนบอกหัวเราะ ๆ

“อย่าดีกว่านะ มันเป็นเรื่องที่คุณอาจจะบอกว่าถูกหลอก เรื่องของคนจนน่ะนนะมันเหมือนกันหมดเลยคุณเป็นนิยายน้ำเน่ามั้ง...ญาติเจ็บน้องต้องเรียนอะไรทำนองนั้น”  หญิงสาวบอกเสียงขื่น

“แต่ผมต้องการช่วยคุณ”  เขาบอกจริงจัง  ฟ้าใสมองหน้าเขาอย่างแปลกใจไม่แน่ใจระคนกัน

“คุณต้องการอะไร”  ถามออกมาทันที

“ฉันหมายถึงว่าคุณต้องการอะไรตอบแทนอย่างนั้นหรือ”  นัยน์ตาที่ฟ้าใสมองเขาเต็มไปด้วยความแคลงใจ

“คุณคิดว่าคุณจะให้อะไรตอบแทนผมได้เล่าไ  กลับย้อนถามหน้าตาเฉย และทำให้ฟ้าใสหน้าแดงซ่านขึ้นมาทันที

“ฉันไม่มีอะไรจะตอบแทนคุณหรอกนะ”

“มีสิฟ้าใส”  เขาบอกหนักแน่นพร้อมกับชะโงกหน้าเข้ามาใกล้

“เว้นแต่ว่าคุณไม่ต้องการตอบแทน”  ฟ้าใสหันมามองสบตาเขาทันที

“อย่าบอกนะว่าคุณต้องการตัวฉัน”

“แล้วถ้าหากผมบอกว่าใช่ล่ะ”  คำตอบเรียบ ๆ ของเขาทำให้หญิงสาวหน้าแดงด้วยความโกรธ  แท้จริงแล้วเขาก็ไม่ต่างไปจากผู้ชายคนอื่นเลยสักนิดเดียว

“คุณ....คุณก็เหมือนคนอื่น ๆ นั่นล่ะ”  ฟ้าใสบอกเสียงเครือ

“คุณมองผู้หญิงเป็นเหยื่อความต้องการ เป็นเครื่องปรนเปรอความใคร่ให้คุณ”  ฟ้าใสชี้หน้าว่าเขาอย่างโกรธจัด

“ฟ้าใส...ผมไม่ใช่คนดีอะไรนัก”  บอกเสียงเรียบ

“แต่ผมจะบอกคุณอย่างหนึ่งนะ  ว่าผมมีความจริงใจให้คุณ”

“ความจริงใจอย่างนั้นหรือ”  ฟ้าใสมองหน้าเขานัยน์ตาขุ่น

“ผู้ชายทุกคนที่ต้องการผุ้หญิงคงบอกอย่างนี้เหมือนกันหมด”

“แต่ผมไม่เคยบอกใครเลยนะว่าต้องการ”  เขาบอกเสียงกร้าว

“ผมไม่เคยบอกใครว่าต้องการแม้แต่ฟาริดาก็เถอะ” หญิงสาวนิ่งงันราวกับถูกสะกดจิตไปชั่วขณะหนึ่ง

“จะให้ฉันดีใจอย่างนั้นหรือว่าคุณให้เกียรติฉันน่ะ”  บอกออกมาในที่สุด

ตอนที่ 4

“ฟ้าใส...ผมต้องการให้ความช่วยเหลือกับคุณและต้องการผลตอบแทนจากคุณ ผมต้องการคุณมันเป็นสิ่งที่ผมจะแสร้งทำเป็นอื่นไปไม่ได้”  ฟ้าใสหน้าแดงซ่านด้วยความรู้สึกหลากหลายทีเดียวล่ะ 

เขาไม่เหมือนคนอื่นที่ตรงประกาสออกมาตรง ๆ นี่ล่ะ.....

“นี่แนควรจะภูมิใจกระมังว่าฉันมีอะไร ๆ ทำให้คุณสะดุดใจถึงเพียงนั้น”  หญิงสาวบอกเย้ยหยัน

“ฟ้าใส....คุณต้องการเงินก้อนหนึ่งสำหรับค่าใช้จ่ายผมจะให้คุณทันทีพรุ่งนี้เช้า”

“แต่คืนนี้ฉันต้องนอนกับคุณอย่างนั้นสินะ”  บอกออกมาทันทีอย่างโกรธ ๆ

“ยังหรอกนะ  ผมไม่ใช่คนบ้าตัณหาเพียงนั้นหรอกฟ้าใส” รอยยิ้มในดวงตาเขาวาบขึ้นมา

“ถ้าหากผมต้องการใวครนั่นก็หมายความว่าผมจะต้องได้ทั้งร่างกาย หัวใจแล้วก็จิตวิญญาณของคน  ๆ นั้น” เขาประกาศกร้าว

“แต่ฉันไม่เคยคิดจะขายหัวใจ”ตอบออกไปทันที

“แต่แค่ร่างกายน่ำก็ไม่แน่”

“ก็ เพราะอย่างนี้ล่ะ...ผมจึงบอกให้คุณสบายใจได้ว่าผมจะช่วยเหลือคุณเท่าที่คุณต้องการ แต่สิ่งที่ผมต้องการน่ะผมจะรอจนกว่าคุณพร้อมจะให้”

 ฟ้าใสได้แต่เงียบงันไปทีเดียว ฟ้าใสไม่อาจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่บ้านพี่สาวให้แม่ฟังได้

“พี่ดาเขาเป็นยังไงบ้างลูก สบายดีหรือเปล่า”

“แม่ค่ะ...คือฟ้าไม่ได้พบพี่ดาเลยค่ะ” ฟ้าใสจำเป็นต้องพูดปด

“แล้วฟ้าไม่ได้อยู่รอพบ”

“แล้วลูกเอาเงินที่ไหนมาก้อนใหญ่เลยน่ะ” แม่ถามด้วยสีหน้าห่วงใย

“แม่คิดว่าพี่ตาเขาให้เงินมา”

“คือว่าลูกได้เงินมาจากเพื่อนค่ะ” หากฟ้าใสบอกแม่ไปตามความจริงแม่อาจหัวแตกสลายก็ได้กระมัง...ฟาริดาให้คุณแม่บ้านนำเงินใส่ซองมาให้เพียงสองพันบาทเท่านั้น

หากแม่รู้ว่าฟาริดาไม่ได้มีเยื่อใยไมตรีกับพี่น้องเลยแม้จะว่าอย่างไรได้นอกจากเสียงใจเท่านั้น แล้วถ้าหากแม่รู้ความจริงที่หล่อนได้เงินมาจากธนสิทธิ์...แม่ก็คงเสียใจเช่นกัน

“คืออย่างนี้ค่ะแม่  เพื่อฟ้าคนนี้เขาต้องการให้ฟ้าไปช่วยออกแบบเครื่องเงินสำหรับส่งออกให้เขา เขามีโรงงานค่ะ  แล้วเขาก็รู้ว่าฟ้าเดือดร้อนเรื่องเงิน ก็เลยให้ฟ้านำเงินมาใช้ก่อน”

“แล้วนี่ลูกคงต้องลำบากใจกระมังเรื่องเงินนี่ เอาของเขามาก่อนแบบนี้” แม่บอกอย่างเป็นห่วง

“ไม่หรอกค่ะแม่ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฟ้าทำได้อยู่แล้ว แต่บางทีฟ้าอาจต้องลงไปกรุงเทพฯบ้าง”

“เพื่อนหนูเขาอยู่กรุงเทพฯหรือ”

“ใช่ค่ะ”  ตอบโดยมองไปทางอื่น

“ลูกต้องเหนื่อยแย่เลย...เอาอย่างนี้สิลูกบางทีถ้าหากลูกติดต่อกับพี่ดาเขาได้ ลูกก็ไปอยู่กับเขาไปพักกับเขาทางโน้นจะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมา มันเหนื่อยนะลูก” แม่บอกจริงจัง

“แม่คะคือว่า”

“ฟ้าไม่ต้องห่วงทางนี้หรอกลูก แค่ฟ้าหาเงินมาให้แม่ให้น้องได้ก็ดีแล้ว แม่ภูมิใจในตัวลูกมากรู้ไหมที่ลูกไม่เบื่อหน่ายครอบครัว”  ฟ้าใสนิ่งอึ้งไป

“คือว่าลูกไม่อยากไปพักบ้านพี่ดาหรอกค่ะ”  บอกออกมาในที่สุด

“ทำไมล่ะลูก หรือว่าเกรงใจพี่เขย” ฟ้าใสนิ่งอีกเมื่อแม่เดาไปเช่นนั้น

“แล้วถ้างั้นลูกจะไปอยู่ยังไงล่ะลูก  หรือว่าจะไปพักกับเพื่อน”

“ก็คงทำนองนั้นล่ะค่ะ” ฟ้าใสโล่ใจที่แม่ไม่ได้สงสัยอะไรเลย เพราะฟ้าใสไม่เคยทำตัวเหลวไหลในสายตาของแม่เลยนั่นเอง

ฟ้าใสเป็นเพื่อนแม่เป็นหัวหน้าครอบครัวเสมอมาเรื่องดูแลครอบครัว แม่ไม่มีวันคิดว่าหล่อนจะทำตัวเหลวไหลแน่

“ฟ้าไม่ต้องห่วงทางบ้านนะหากจะต้องไปทำงานแม่จะอยู่ดูแลทางนี้เอง...แล้วน้องขวัญก็คงสบายใจที่มีเงินค่าใช้จ่าย”

“ค่ะแม่..ฟ้าจะรีบโอนเงินไปให้น้อง”

“เมื่อวันก่อนน้องขวัญก็เขียนจดหมายมา บอกว่าจะพยายามใช้เงินให้ประหยัดที่สุด เพราะรู้ว่าเราลำบากเรื่องการเงิน”

“น้องขวัญเป็นเด็กดีเสมอ”

“ลูกเองก็เป็นคนดี  เป็นลูกที่ดีของแม่นะ”  ฟ้าใสกอดแม่ไว้อยากจะขอโทษที่ต้องพูดปดแต่หล่อนไม่มีทางเลือก

“ผมต้องการคุณ ทั้งร่างกายหัวใจและจิตวิญญาณ..”มันเป็นสิ่งที่ทำให้ฟ้าใสเผ้าแต่ครุ่นคิด มันเป็นไปได้หรือที่เขามีความจริงใจกับฟ้าใสในเมื่อหล่อนกับเขาเพิ่งรู้จักกันแท้ ๆ  แล้วฟาริดาเล่าเขารู้สึกอย่างไรกันแน่

วริชญ์มองหน้าผู้เป็นน้องชายอย่างแปลกใจ

“ตัดสินใจไปทำงานที่กรุงเทพฯ แน่แล้วใช่ไหม”

“ผมดูชนิดศึกษารายละเอียดแล้วฮะ  ว่าเราจะทำให้บริษัทนี้ฟื้นตัวขึ้นมาได้”

“สิทธิ์...พี่มั่นใจในตัวน้องนะ คนอย่างนายมีความสามารถทำอะไรก็ทำได้เสมอ”  บอกจริงจัง  แต่ไหนแต่ไรมาแล้วที่ญาติผู้น้องของเขามักทำให้เขาชื่นชมได้เสมอ..ไม่ว่าเรื่องอะไร....เขาเป็นคนมีความสามารถและหากตั้งใจจะทำอะไรให้สำเร็จแล้วละก็ มักจะทำได้อย่างดีเยี่ยมทีเดียว

“แต่คนบางคนก็มีความสามารถเหมือนกันเพียงแต่ยอมแพ้กับอะไร ๆ ง่าย ๆ”  น้องชายบอกเรียบ ๆ แต่วริชญ์รู้ดีว่าหมายถึงอะไร

“ถ้าคนบางคนหมายถึงพี่ล่ะก็ พี่ขอบอกว่าแพ้เป็นพระชนะเป็นมารนะ” วริชญ์บอกอย่างไม่เดือดร้อน บัดนี้เขาทำใจได้แล้วในเรื่องของตัวเอง เรื่องที่ต้องหย่าและแบ่งทรัพย์สินให้ภรรยาทั้ง ๆ ที่หล่อนเป็นฝ่ายผิด

“นั่นสิฮะ   บางคนน่ะได้พระเอาไว้ในชีวิตแต่ไม่รู้คุณค่า”

“สิทธิ์พี่อโหสิให้เขาแล้วนะ แล้วพี่ก็ไม่อยากให้นายโกรธแทนพี่หรือเก็บเรื่องนี้เอาไว้ให้รกสมองอีก” บอกอย่างสงบ

“พี่เป็นคนใจดีเสมอ”

“มันอาจจะเป็นเวรกรรมที่เราเคยทำกับเขาเมื่อชาติก่อน พอชาตินี้กรรมนั้นจึงย้อนมาสนองเราก็ได้” วริชญ์บอกปลง ๆ กับการที่ภรรยาของเขามีผู้ชายคนใหม่  แต่หล่อนหาเรื่องให้เขาหย่าให้หล่อน

“คิดได้อย่างนี้มันก็ดีนะครับ เพียงแต่ว่า...”

“มีอะไรหรือ”

“คนบางคนก็ควรได้รับบทเรียนให้สาสมกับความเป็นคนมีจิตใจร้าย ๆ ไม่ใช่หรือฮะ”

“พี่คิดว่าคนเราทำอะไรกับใครไว้ก็ย่อมได้เช่นนั้นตอบแทนนะ”

“ผมอยากรู้จักครอบครัวของคดีตภรรยาพี่จัง” วริชญ์มองหน้าญาติหนุ่มอย่างแปลกใจ

“ผมไม่ได้ไปติดใจความสวยของฟาริดาหรอกนะฮะ”

“แล้วนายจะรู้จักครอบครัวเขาไปทำไมกัน”

“เขามีน้องสาว”

“หมายความว่ายังไง” วริชญ์ถามแปลกใจ

“หมายความว่านายรุ้จักน้องสาว เอ้อฟ้าใสอย่างนั้นหรือ”

“ครับ” เขาตอบสั้น ๆ ไม่อธิบายว่ารุ้จักอย่างไร

“ฟ้าใสน่ะเป็นเด็กดีพอสมควรทีเดียวล่ะ เท่าที่พี่รู้จัก”

“แล้วเรื่องอื่น ๆ ล่ะฮะ” วริชญ์เล่าเรื่องของครอบครัวฟาริดาเท่าที่รู้....ซึ่งเขาเองก็เคยบอกกับฟาริดาเสียด้วยซ้ำไป เรื่องที่หล่อนไม่เคยติดต่อหรือกลับไปให้ความช่วยเหลือทางบ้านเลย

“ครอบครัวเขามีฐานะดีในอดีตนะ ฟาริดาได้เรียนต่อโทเมืองนอก แต่ตอนหลังพ่อเขาเสียชีวิต ครอบครัวก็เริ่มแย่ เพราะลูก ๆ ยังเรียนไม่จบสักคนหนึ่ง”

“ถ้างั้นเขาก็พูดจริง” ธนสิทธิ์เผลอบอกออกมา

“ใครพุดอะไร”

“ฟ้าใสบอกว่าบ้านเธอจน...จนมาก”

“ครอบครัวเธอคงลำบากทีเดียวล่ะ เพราะมีทั้งแม่และย่าแล้วก็น้องต้องเรียน มีฟ้าใสคนเดียวที่ถ้าหากเรียนจบแล้วก็คงมีงานทำ”วริชญ์บอกเรียบ ๆ

“นายพอจะบอกได้ไหมว่าอะไรเป็นอะไร เรื่องฟ้าใส”

“ยังไม่มีอะไรจะบอกหรอกครับตอนนี้ แต่พี่ไม่ต้องห่วงหรอกนะฮะ”

“พี่ไม่ห่วงคนอย่างนายหรอกนะ”

“แล้วนี่เรื่องคุณวันวิสาไปถึงไหนฮะ”

“พี่ไม่อยากรีบร้อน แต่วิสาเขาเป็นคนน่ารัก”

“ดีครับถ้าหากพี่เห็นความน่ารักของเขา  ผมก็คงมีพี่สะใภ้คนใหม่เร็ว ๆ นี้” ธนสิทธิ์บอกอย่างโล่งใจ เขากลับมากรุงเทพฯ  อีกครั้งหนึ่งเพื่อรีบดำเนินงานเกี่ยวกับธุรกิจที่เขารับซื้อเอาไว้จากพี่ชาย....ซึ่งวริชญ์แทบจะยกให้เขาฟรี ๆ   เขาโทรฯ ถึงฟ้าใสในคืนวันหนึ่ง เสียงของหล่อนขาดหายไปเมื่อรู้ว่าเป็นเขา

“ผมจะไปรับคุณมาช่วยทำงานได้ไหน”

“ฉัน....ฉันไปเองดีกว่า”

“ถ้าอย่างนั้นคุณจะมาเมื่อไหร่”

“อีกสามวัน” ฟ้าใสบอกเขาและวางหูไปในที่สุด แต่เมื่อรุ่งขึ้นตอนสายก็พบว่าเขากำลังคุยอยู่กับคุณแม่

“ลูกฟ้า คุณธนสิทธิ์มารอลูกแน่ะ”

“เอ้อค่ะ”

“เดี๋ยวแม่จะไปเตรียมอาหารนะ จะได้ทานข้าวด้วยกันเสียที่นี่นะคุณนะ”

“ขอบคุณครับคุณน้า”

“คุณมาทำไม”  ฟ้าใสถามเสียงห้วน

“มารับคุณ”

“บอกแล้วว่าจะไปเอง”

“กลัวคุณไม่ไปมั้ง” นัยน์ตาของเขาพราวแสง และนั่นทำให้หญิงสาวรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วดวงหน้าทีเดียว

“คุณบอกอะไรคุณแม่บ้าง” ถามกังวลใจ

“จะให้บอกว่ายังไงล่ะ” เขามองร่างระหงที่อยุ่ในชุดอยู่กับบ้านง่าย ๆผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดสีอ่อนตัดแบบเรียบเก๋ เผยให้เห็นเรือนร่างสมส่วนสวยงามที่ไม่มีไขมันส่วนเกิน  ดวงหน้าสวยละมุมสะอาดสะอ้านอยู่ในกรอบผมยาวประบ่า  หล่อนทำให้เขารู้สึกว่ามองหล่อนได้ไม่รู้เบื่อทีเดียว

“เอ๊ะคุณ”

ฟ้าใสรู้สึกว่านัยน์ตาเขาทำให้หล่อนร้อนผ่าวไปทั้งตัวได้อย่างประหลาด  เขามองหล่อนเฉย ๆ แท้ ๆ แต่หล่อนรู้สึกราวกับถูกเขาแตะต้องสัมผัส

“ทำไมหรือ”

“คุณจะบอกอะไรกับคุณแม่ไม่ได้”

“แต่บอกไปแล้วนี่”

“บอกว่าไง”

“บอกว่าคุณเป็นเพื่อนร่วมงานของผม” ฟ้าใสค่อย ๆ ถอยหายใจโล่งอกและเมื่อได้เห็นมารดาต้อนรับเขาอย่างกระตือรือร้นเต็มใจด้วยแล้ว หล่อนก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจเท่าไหร่

“นี่ถ้าหากแม่รู้ว่าเขาคือเจ้าของเงินและหล่อนพูดไม่จริง แม่จะว่าอย่างไรบ้างนะ”  หญิงสาวได้แต่ถามตัวเอง

“น้าฝากฟ้าด้วยนะคุณ”  ได้ยินเสียงแม่บอกเมื่อตอนหล่อนจะมากับเขา

“ครับคุณน้า...คุณน้าไม่ต้องห่วงเลยฮะ ผมรับรองจะดูแลฟ้าใสให้เหมือนน้องสาวคนหนึ่ง”

ฟ้าใสมองสบตาเขาก็สบกระแสความรุ้สึกอบอุ่นในดวงตาคู่นั้น มันเป็นสิ่งที่หล่อนบอกไม่ได้เหมือนกันว่าเหตุใดจึงรุ้สึกเช่นนี้ อบอุ่นไว้วางใจไม่ได้หวาดหวั่นแต่อย่างใดทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเส้นทางข้างหน้ายังมืดมนต์นัก หล่อนยังไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องมาอยู่กับเขาในฐานะใดเลยด้วยซ้ำไป

“ท่าทางคุณแม่คุณรักคุณมากนะ”  เขาเอ่ยขึ้นขณะนั่งรถกลับมาด้วยกัน

“พ่อแม่รักลูกทุกคนอยู่แล้วล่ะค่ะ”

“แต่ลุกกลับไม่ได้รักพ่อแม่เหมือนกันทุกคนนะ” เขาบอกขึ้นลอย ๆ และฟ้าใสก็เงียบงันไป  คิดถึงพี่สาวที่ไม่เคยเหลียวแลกลับมาทางครอบครัวเก่าเลยทั้ง ๆ ที่รู้ว่าทางนี้ลำบาก  แต่หล่อนก็ไม่ได้ปริปาก

“คุณคงเป็นลูกที่ดีของแม่นะ”  เขาเอ่ยขึ้นอีก

“แม่รักฉันนี่ค่ะ...สิ่งที่ฉันทำยังไม่ได้ครึ่งหนึ่งที่แม่ทำให้ลูกเลย”  บอกจริงใจ

“แค่นี้ก็เรียกว่าคุณเป็นลูกที่ดีเป็นคนดีแล้วล่ะ เพราะคุณสมบัติของความเป็นคนดีอย่างหนึ่งคือ ต้องมีความกตัญญู”

“ขอบคุณค่ะที่ชม” บอกตัดบท ฟ้าใสไม่รู้หรอกว่าเขาสนใจหล่อนมากแค่ไหนหรือรู้อะไรเกี่ยวกับตัวหล่อนบ้าง

“เพราะอย่างนี้ล่ะที่ทำให้ผมอยากได้คุณ” คราวนี้ฟ้าใสหันมามองหน้าเขาโกรธ ๆ แต่คนพูดกลับทำเหมือนทองไม่รู้ร้อน

“เพราะคนจะทำงานด้วยกันก็ต้องมีคุณสมบัติดี ๆ ให้ชื่นชมศรัทธากันได้บ้าง”

“อ้อ...ฉันคิดว่าคุณมารับฉัน เพราะกลัววว่าจะสูญเงินเสียอีก”  ฟ้าใสประชด

“ผมไม่ได้ร่ำรวยมากมายหรอกนะ แต่เงินแค่นี้ผมจะให้ใครก็ได้ถ้าหากผมเต็มใจ”

“พูดกับคนมีเงินก็แบบนี้ล่ะ”  หญิงสาวไม่วายประชด

“ผมเพียงแต่อยากจะบอกคุณว่าที่ไปรับคุณมานี้ก็ เพราะผมต้องการให้คุณมาอยู่กับผม”

“พูดให้ดี ๆ หน่อยนะคุณ” ฟ้าใสท้วงทันที

“อ้อ...ต้องพูดว่าให้คุณมาช่วยทำงาน”  ฟ้าใสเงียบ

“คำพูดของคนเรามันส่อถึงจิตใจคนพูดได้นะคุณ”

“หรือ...ถ้างั้นก็ดีสิ เพราะผมอยากให้คุณรู้สึกอย่างที่ผมพูนั่นล่ะ” เขาบอกหน้าตาเฉย

“ฉันไม่พูดกับคุณดีกว่า”  ฟ้าใสตัดบท เพราะรู้สึกว่าเขาจะคอยวกหาเรื่องเสียจริง ๆ

“ถ้างั้นก็หลับสิ...หลับได้นะรับรองพาถึงที่พักด้วยความปลอดภัย”

ตอนที่ 5

“คุณขับรถคนเดียวเดี๋ยวก็ง่วงสิคะ”

“คุณห่วง” เขาบอกหน้ายิ้มกระจ่างทีเดียว

“ฉันห่วงตัวเองด้วยต่างหาก”

“รับรองน่าว่าผมจะพยายามระมัดระวังตัวเองให้ดีที่สุด”  ฟ้าใสมองสองข้างทางที่หล่อนคุ้นเคยได้ยินเสียงเขาเปิดเพลงบรรเลงเบา ๆ เป็นเพลงที่หล่อนเองก็ชอบฟังเหมือนกัน

“ชอบหรือเปล่าเพลงที่เปิด”  เสียงเขาถามขึ้น

“ชอบค่ะ”

“ก็ดีนะ  ที่เรมีรสนิยมเดียวกันเรื่องเพลง” เขาบอกเรียบ ๆ

“ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับคุณ”

“มันก็ต้องเกี่ยวกันเข้าสักวันหรอกน่ะ” เขาบอกจริงจังและทำให้ฟ้าใสเงียบงันไป เขาพูดให้หล่อนรู้สึกว่าฟ้าใสมีความสำคัญกับเขา แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน แค่ที่เขามารับหล่อนนี่ก็คง เพราะเขาเสียดายเงินที่ให้มาก็ได้นี่นา  เพราะบางทีเขาอาจจะกลัวว่าหล่อนจะหนีหน้าจากเขาก็ได้ เขาถึงได้ลงทุนมาหาฟ้าใสที่บ้านแม่ได้ทั้ง ๆ ที่รู้คร่าว ๆ จากหล่อนก่อนที่หล่อนจะกลับไปหาแม่เท่านั้นเอง

“ทำไมเงียบไป”

“คุณให้ฉันหลับไม่ใช่หรือ”

“ถ้าอยากคุยก็ได้นะ”

“ไม่มีเรื่องจะคุยกับคุณหรอก”

“แต่ผมมีเยอะเลย”

“ถ้างั้นก็คุยไปสิฉันจะฟัง”

“พูดกับผมให้มันน่าฟังกว่านี้ได้ไหม”

“ฉันพูดไม่น่าฟังตรงไหน”

“ก็ตรงที่แทนตัวเองว่าฉันอย่างนั้นอย่างนี้ไง”

“มันเป็นสิทธิ์ของฉันจะพูดยังไงก็ได้”

“ใช่ แต่ฟมขอร้องเอ้า..อยากฟังคุณพูดกับผมด้วยสรรพนามที่แทนตัวเองอย่างสนิทสนมสักหน่อย” ฟ้าใสเงียบไม่ตอบ

“ถ้าหากไม่ตอบแปลว่าตกลง” ฟ้าใสไม่ว่าอะไรอีก แต่อดที่จะรู้สึกเสียไม่ได้ว่าหากหล่อนไม่ได้ใกล้ชิดกับเขา คงไม่รู้ว่าเขาอารมณ์ดีขี้เล่น ชายหนุ่มเองก็มีความรู้สึกเดียวกับฟ้าใสนั่นแหละ ยิ่งได้ใกล้ความรู้สึกที่เขามีต่อหญิงสาวผู้นี้ยิ่งรุนแรงมันเป็นความรักใคร่ที่เขาไม่เคยมีให้กับใครมาก่อน

ฟ้าใสหลับไปในที่สุด เมื่อเกือบถึงบ้าน ดังนั้นหล่อนจึงไม่รู้ว่าเขาพารถมาจอดหน้าบ้านเมื่อไหร่  มารู้สึกตัวอีกครั้งก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่หล่อนรู้สึกราวกับตกอยุ่ในความฝัน มันอ่อนหวานหวามไหวอย่างไรชอบกล  เมื่อลืมตาขึ้นมาจึงพบว่าสิ่งที่หล่อนรู้สึกเหมือนตกอยู่ในความฝันอันอ่อนหวาน แท้จริงแล้วคือการที่เขาขโมยจูบ

“เอ๊ยคุณทำแบบนี้ได้ยังไง” หล่อนบอกเสียงขุ่น แต่ความรู้สึกภายในไม่ได้โกรธหรอก แต่เป็นอะไรบางอย่างที่หล่อนไม่เคยรู้มาก่อน

“ก็อยากจูบคุณแต่คุณไม่ตื่นให้ผมขออนุญาตนี่นา” บอกหน้าตาเฉย

“ถึงบ้านแล้วลงกันเถอะ” เขาบอกขึ้นและฟ้าใสก็รีบลงมาทันที การอยู่ใกล้ ๆ กับเขาในที่ ๆ แคบ ๆ ทำให้หล่อนรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง เขาช่วยขนเสื้อผ้ามาเก็บให้หล่อนแต่เมื่อจะกลับก็ต้องเปลี่ยนใจ

“ผมลืมเอากุญแจห้องพักมา คงต้องค้างคืนที่นี่เสียล่ะ” ฟ้าใสมองหน้าเขาอย่างไม่ชอบใจนัก

“คุณแกล้งลืมหรือเปล่า”

“ก็ทำนองนั้น”  เขาตอบรับหน้าตาเฉย  ทำเอาหญิงสาวระแวงอยุ่เหมือนกัน

เขาบอกให้หล่อนอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วพักผ่อนได้เลย เพราะดึกมากแล้ว เขาเองก็จะพักผ่อนเหมือนกัน  ฟ้าใสมองห้องที่เขาจัดเอาไว้ให้พักเมื่อคราวก่อนอย่างโล่งใจ หล่อนอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วแต่กลับไม่รู้สึกง่วงทั้ง ๆ ที่ดึกมากแล้ว  ฟ้าใสออกมาข้างนอกก็พบว่าเขายังไม่เข้านอนเช่นกัน

“ผมกำลังจะชงเครื่องดื่มทานอยุ่พอดี ทานด้วยกันนะ”

ฟ้าใสไม่รู้สึกหิวหรอกแต่เมื่อเขาเอ่ยปากชวนอย่างมีไมตรีหล่อนก็ตอบรับ

“ทานข้าวเย็นที่บ้านคุณก็ตั้งมากนะ  แต่ถึงบ้านแล้วยังหิวจนนอนไม่หลับ”

“เพราะคุณใช้พลังงานไปกระมังคะ ขับรถมาตั้งไกล”

“นั่นสิ”  เขาแอบมองดวงหน้าสวยสะอาดอย่างเผลอ ๆ ความสวยผุดผาดของหญิงสาวตรงหน้าไม่ได้มากมายอะไรนัก หล่อนสวยน้อยกว่าผู้หญิงบางคนที่เขาเคยรุ้จักแต่เหตุไฉนหนอความสวยของฟ้าใสจึงรัดรึงหัวใจของเขาได้มากมายเพียงนี้

“เข้านอนเถอะครับ”  เขาบอกเมื่อดื่มโกโก้ร้อน ๆ คนละถ้วยแล้ว

“ผมจะไปส่งที่ห้อง”

“ไม่ต้องก็ได้ค่ะ”  บอกออกมาทันที

“กลัวว่าผมจะ...จูบราตรีสวัสดิ์ก่อนส่งเข้าห้องหรือไง”หญิงสาวหน้าแดงซ๋านขึ้นมาทันที

“ถึงคุณจะไม่ให้ไปส่งหน้าห้องแต่ผมก็อยากทำอย่างว่าอยู่ดี”  ฟ้าใสได้แต่นิ่งงันทีเดียว เมื่อร่างสูงใหญ่ของเขาเข้ามายืนตรงหน้า กลิ่นหอมสะอาด ๆ กรุ่นเข้ามาจนหล่อนรู้สึกอบอวลในใจ

“คุณจะทำอะไร”  ถามเสียงสั่น

“จูบฟ้าใส”

“อย่านะ”  หญิงสาวยังไม่ทันได้ปริปาก จุมพิตเขาก็ประทับลงมาบนหน้าผากกลมกลึงอ่อนโยน อ่อนหวาน.... มันเป็นความรู้สึกที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกราวกับตกอยู่ในมนต์อำนาจบางอย่างที่หล่อนไม่อาจพาตัวเองออกไปได้ง่าย ๆ

ดังนั้นอ้อมแขนเขาจึงโอบรัดร่างอรชรเข้ามาแนบอกกว้างได้ง่าย และดวงหน้าของหล่อนตกอยุ่ในสัมผัสหวามหวานดื่มด่ำจากจุมพิตเขา เรียวปากอิ่มเต็มถูกเขาครอบครองด้วยจุมพิตหนักหน่วงรุมเร้า ด้วยแรงอารมณ์ปรารถนาอันแรงกล้า แรงจุมพิตจากเขาเข้มขึ้นมาทุกทีพร้อม ๆ กับที่อ้อมแขนเขารัดร้อยแน่นหนาราวกับต้องการสัมผัสเรือนกายนุ่มนิ่มเต็มตรึงแนบชิด

“ฟ้าใส”  เขากระซิบริมหูเมื่อใบหน้าร้อนผ่าวเคล้าเคลียไปทั่วดวงหน้าของหญิงสาว อารมณ์รักใคร่ของเขาผ่าวร้อน

“คุณกำลังจะทำอะไรฟ้ากันค่ะ ก็ไหนว่าจะไม่”  หญิงสาวพาตัวเองออกมาจากความหวานชื่นนั้นได้ในที่สุด

“ผมรู้ฮะ” เขาดึงใบหน้าหญิงสาวเข้ามาจูบที่ปากอีกครั้งจูบด้วยความหวานชื่นดื่มด่ำอย่างเต็มความหวานเต็มหัวใจ

“แค่นี้นะฮะ...ฟ้าไปนอนเถอะ” เขากระซิบบอกเมื่อกอดหล่อนเอาไว้นิ่ง ๆ และค่อย ๆ คลายอ้อมแขนออก  ฟ้าใสมองหน้าเขางง ๆ และมีรอยยิ้มขอบคุณคลี่กระจายอยู่บนสีหน้าแววตาของหญิงสาว เขาทำให้ฟ้าใสอดที่จะรู้สึกเสียไม่ได้ว่า สิ่งที่เขามีให้หล่อนคือความจริงใจ เขาไม่ได้ฉวยโอกาสทำตามความปรารถนา เพราะถ้าหากทำเช่นนั้นหล่อนก็คงไม่มีวันขัดขืนเขาได้

เพราะความต้องการของเขาทำให้หล่อนคล้อยตามเขาได้ง่ายดาย ในเมื่อหล่อนมีความรุ้สึกที่ดีให้เขาอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้ทำให้ฟ้าใสรู้สึกถึงความรู้สึกพิเศษที่มีให้เขาอีกมากมายทีเดียว หลังจากรีบผละจากเขามาเข้าห้องนอนในที่สุด

ฟาริดาโกรธแทบคล่างทีเดียวเมื่อวันหนึ่งหล่อนสืบรู้มาว่าฟ้าใสเดินเคียงข้างอยุ่กับธนสิทธิ์

“คงจะเป็นเลขาฯ หรือผุ้ช่วยอะไรนี่ล่ะ”  เพื่อของหล่อนบอกมา ฟ้าใสนี่เองที่ทำให้ธนสิทธิ์เปลี่ยนไป  เขาเคยทำท่าว่าสนใจหล่อนแต่แล้วกลับหมางเมินไป

“แล้วตัวจะทำยังไงต่อไปดา”  ฟาริดาพูดไม่ออกบอกใครไม่ได้ว่าผู้หญิงคนนั้นคือน้องสาวของหล่อนเอง ดังนั้นหล่อนจึงต้องเก็บความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้เพื่อหาทางจัดการกับฟ้าใส

ฟ้าใสเองก็ไม่คาดคิดหรอกว่าจะต้องเผชิญหน้ากับพี่สาวเข้าในวันหนึ่ง ฟาริดาตามสะกดรอยมาถึงบ้านพักที่ธนสิทธิ์ให้ฟ้าใสอยุ่ที่นี่

“ฉันไม่คิดเลยนะว่าแกจะทำตัวเลวได้ขนาดนี้” ฟาริดาว่าอย่างโกรธจัด หล่อนคิดว่าฟ้าใสทรยศรู้ก็ทั้งรู้ว่าธนสิทธิ์เป็นผู้ชายที่ฟาริดาสนใจยังแย่งได้ลงคอ

“รู้จักเขาไม่ทันเท่าไหร่ก็หอบผ้ามาอยู่กับเขาเสียแล้วหรือนี่”  ฟ้าใสสะกดกลื้นความรู้สึกเสียใจน้อยใจเอาไว้

“ฉันไม่คิดเลยว่าจะมีน้องสาวเลว ๆ แบบนี้”

“มีอะไรจะพูดอีกหรือเปล่าค่ะ  ถ้าไม่มีฟ้าขอตัว” ฟ้าใสบอกอย่างสงบ หล่อนรู้สึกเหน็ดเหนื่อยท้อแท้ที่จะอธิบายอะไรกับพี่สาว  และถึงจะพูดไปฟาริดาก็คงไม่สนใจหรอก

“แก...แกยอมรับทั้งหมดอย่างนั้นหรือ”

“ฟ้าไม่มีอะไรจะแก้ตัว”

“แก...แกมันเลวจริง ๆ “

“ถ้าหากต้องการจะด่าอย่างเดียวล่ะก็ ขอโทษค่ะฟ้าไม่มีเวลาจะฟัง”  หญิงสาวบอกพร้อมกับผละจากมาทันที ไม่สนใจว่าพี่สาวจะเต้นเร่าอยู่ตรงนั้น มันเป้นความเสียใจที่หล่อนไม่อาจบรรยายออกมาได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น ทุกวันนี้ฟ้าใสรุ้สึกสบายใจอยุ่บ้าง เพราะธนสิทธิ์ไม่ได้มีท่าทีจะพูดเรื่องที่หล่อนกลัวแต่อย่างใด

เขาให้ฟ้าใสทำงานที่บริษัทและโชคดีที่เป็นงานที่หล่อนมีความสามารถทำได้  และนั่นทำให้หล่อนรู้สึกว่าตัวเองมีค่าขึ้น

ฟ้าใสทุ่มเทให้กับการทำงานเต็มที่ และหล่อนมีความศรัทธาให้ชายหนุ่มอย่างธนสิทธิ์มากมาอย่างไม่รู้ตัว เพราะหัวใจของหล่อนซึมซับเอาความเอื้ออาทรและความเป็นเขามาไว้เต็มหัวใจนั่นเอง

ธนสิทธิ์ไม่ใช่ผู้ชายอย่างที่ฟ้าใสกลัวว่าจะเป็นหรอก เพราะเมื่อหล่อนทำงานกับเขา ความสัมพันธ์ที่มีต่อกันคือเพื่อนร่วมงาน และวันเวลาผ่านไปรวดเร็ว เพราะวันหนึ่งเขายื่นซองเงินมาให้

“เงินเดือนของคุณ”  ฟ้าใสมองหน้าเขาแปลกใจ

“ฟ้ามีเงินเดือนด้วยหรือค่ะ”

“คนทำงานก็ต้องมีเงินเดือนสิ เห้นผมเป็นคนยังไงถึงจะใช้คุณฟรี ๆ น่ะ”  เขาทำหน้าขรึม

“คือฟ้าคิดว่าคุณจะหักจากเงินที่ให้ฟ้า”  บอกเสียงเบา

“นั่นมันคนละเรื่องกันนะ” ฟ้าใสมองหน้าเขานัยน์ตาโต

“หมายความว่ายังไงค่ะ”

“นั่นมันเงินก้อนคุณให้ผมหักเงินเดือนทีละเล็กน้อยแบบนี้หรือ” ฟ้าใสอึ้งไปทีเดียว เมื่อสีหน้าแววตาเขาไม่ได้บอกว่าพูดเล่นเลย หล่อนหน้เจื่อนไปทีเดียว

“ไหนหันหน้ามาทางนี้สิฮะ”  เสียงเขาอ่อนโยนขึ้นและเมื่อหันมาทางเขา กระแสความรู้สึกจากดวงตาคมกล้าของเขาทำให้หญิงสาวนิ่งงันไป ตามองสบตาและราวกับว่าตกอยู่ในความรู้สึกของกันและกัน

“ผมล้อเล่นหรอกนะ”

“แปลว่าคุณยอมให้หักเงินเดือนหรือค่ะ”  เสียงยินดี

“แปลว่าคุณกลัวผม”  เขาถามจริงจัง

“กลัวเรื่องอะไร”

“ก็....กลัวว่าผมจะทวงเงินด้วยวิธีอื่น”  เขาบอกเย้า ๆ และฟ้าใสคอแข็งขึ้นมาทันที

“คุณเป็นเจ้าของเงินคุณมีสิทธิ์ที่จะทำอย่างไรก็ได้รีดเลือดจากปูก็ย่อมได้”

“แต่ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่ชอบบังคับใจใคร”  ฟ้าใสอึ้งไป  ในบ้านหลังนี้มีเขากับหล่อนสองคนเท่านั้น เมื่อป้าแม่บ้านไม่อยู่ และหล่อนก็รู้สึกประหลาดล้ำในใจทุกคราวเมื่อต้องอยู่ใกล้ชิดเขา และเป็นมากขึ้นเมื่อสบตาพราวแสงแรงกล้าที่ทอประกายจากดวงตาเขา

“ไม่รู้ว่าตอนนี้คุณมีความรู้สึกดี ๆ กับผมบ้างหรือยัง เขาถามราวกับอารมณ์ดี

“คุณทานข้าวเย็นมาแล้วหรือยังค่ะ”  ฟ้าใสเปลี่ยนเรื่อง

“ผมไม่ได้พูดถึงเรื่องหิวหรือไม่หิวหรือว่าเรื่องอาหารสักหน่อย”

“แต่ฟ้ายังไม่ได้ทานนี่ค่ะ ถ้าหากคุณจะทานด้วยฟ้าจะจัดเผื่อ”

“ตกลงครับ”  ฟ้าใสรุ้สึกตัวว่าหล่อนมีความสุขมากเหลือเกินขณะเมื่ออยู่กับเขา ได้พูดคุยเรื่องราวทั่ว ๆ ไป และเพลิดเพลินไปกับการดูหนังจากเทปดี ๆ ที่เขามีเอาไว้

“ผมคงต้องกลับเสียที รบกวนเวลาพักผ่อนของฟ้านานแล้ว”  เขาบอกขึ้นตอนสองทุ่มกว่า

“คุณช่วยทำให้ฟ้าหายเหงาต่างหาก” เผลอบอกออกมาอย่างที่รู้สึก และเขาหันมามองสบตาหล่อนตรง ๆ

“คุณจะดื่มกาแฟไหมค่ะ” ฟ้าใสถามทันทีเมื่อรู้สึกว่าหล่อนตกอยู่ในอำนาจกระแสความรู้สึกที่ทำให้หล่อนขาดความเป็นตัวของตัวเอง

“ก็ดีเหมือนกันนะ”  เขาบอกอย่างรู้ทัน

“เดี๋ยวผมจัดการเองดีก่า ฟ้าจะอื่มอะไรดีผมจะทำมาเผื่อ”

“ขอกาแฟก็ได้ค่ะ”  ฟ้าใสรีบบอกทันที

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นและฟ้าใสเดินไปรับโทรศัพท์เสียงของแม่ทำให้ฟ้าใสตกใจ เพราะคิดว่าย่าอาจะไม่สบายมาก แต่แล้วฟ้าใสก็ต้องนิ่งอึ้งไป เพราะได้ยินแม่บอกว่า

“พี่เขาโทรฯ กลับมาที่บ้านไ  ฟาริดาลงทุนถึงกับโทรฯ ไปบอกแม่เรื่องของหล่อนทีเดียวหรือ

“ฟ้าความจริงมันเป็นยังไงกันแน่ แม่ไม่สบายใจเลย”

“พี่ดาบอกแม่ว่ายังไงหรือค่ะ”

“บอกว่า...เอ้อฟ้าขายตัว” เสียงแม่เงียบไป

“พี่ดาแย่มากจริง ๆ”  หญิงสาวอุทานออกมา เพราะนอกจากจะไม่ช่วยฟ้าใสแล้วเขายังเห็นแก่ตัวด้วยการนำเรื่องนี้ไปฟ้องแม่ไม่คิดเลยสักนิด่าแม่จะต้องไม่สบายใจ

“แม่ค่ะ...แม่สบายใจได้ค่ะ ฟ้าไม่ได้ทำตัวเหลวไหลอะไรเลย” ฟ้าใสก็ไม่รู้จะบอกอย่างไรดีเหมือนกัน

“แล้วเรื่องจริงมันเป็นยังไงกันแน่ลูก”

“แม่ค่ะ ฟ้าไม่ได้ขายตัวค่ะ...แม่ไม่ต้องคิดมากคุณธนสิทธิ์เขา”  ฟ้าใสชะงักเมื่อมองมาพบว่าชายหนุ่มยืนอยู่ใกล้ ๆ เขาคงได้ยินที่ฟ้าใสพูดกระมัง

“ผมเรียนท่านเอง” เขายื่นมือมารับกระบอกโทรศัพท์จากหญิงสาว ฟ้าใสนิ่งงันไปเมื่อได้ยินเขาพูดกับแม่ มันเป็นสิ่งที่ทำให้หล่อนรู้สึกว่าแย่ลงไปอีกหรือดีขึ้นกันแน่นะ

“ผมช่วยฟ้าใสด้วยความจริงใจ แต่ถ้าคุณน้าไม่สบายใจผมยินดีที่จะทำทุกอย่าง ผมจะจัดการทุกยอ่างตามประเพณีอย่างรวดเร็ว”

“ทำไมคุณต้องบอกแม่อย่างนั้น”  ฟ้าใสถามทันที

“ผมว่ามันเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้คุณแม่ของคุณท่านสบายใจ”

“แต่ว่า”

“ฟาริดาคงพูดถึงคุณในแง่ไม่ดีนัก คุณแม่คุณถึงได้ร้อนใจมาก”  ฟ้าใสเงียบไป เพราะรู้ว่าฟาริดาโกรธหล่อนมากเมื่อวันก่อน และแม่ก็ไม่ใช่คนใจร้อนแต่อย่างใด หากเป็นเรื่องเล็กน้อยแม่คงไม่ถึงกับต้องโทรฯมา  ฟ้าใสเงียบงันไปและรับรู้ถึงกระแสความอบอุ่นง่ายดายเมื่อร่างสูงของเขาเดินเข้ามาใกล้

“ฟ้าใส อย่าคิดอะไรมากเลยนะ ผมทำทุกอย่างด้วยความจริงใจเสมอ”  ฟ้าใสเงยหน้าขึ้นมองสบตาเขา  เขาช่างไม่รู้เลยหรือไงว่าฟ้าใสรู้สึกอย่างไร ไม่ใช่ไม่รักไม่ศรัทธา แต่หล่อนเจียมตัวเจียมใจตัวเองต่างหาก

“คุณทานกาแฟเถอะค่ะ” บอกออกมาในที่สุด

“คุณเก่งในทางเลี่ยงหนีความจริงนะ” เขาบอกล้อ ๆ และหันมาจัดการกับกาแฟ เขาทำให้ฟ้าใสรู้สึกอบอุ่นสบายใจมากจริง ๆ เมื่อรู้ว่าเขาไม่ใช่ผุ้ชายอย่างที่หล่อนกลัวสักนิด เขามีความเป็นสุภาพบุรุษจริง ๆ

ตอนที่ 6

มีแขกมาหาธนสิทธิ์ในบ่ายวันหนึ่งและฟ้าใสเป็นคนต้อนรับผู้หญิงคนนี้เอง

“คุณธนสิทธิ์จะเข้ามาตอนเย็นค่ะ”

“คุณเป็นเลขาหรือค่ะ”  หญิงสาวผู้นั้นถามอย่างมีอัธยาศัยดี

“เอ้อค่ะ ดิฉันทำงานทั่ว ๆ ไปค่ะ”

“ถ้างั้นคุณก็คงมีความสำคัญกับที่นี่มากเลย”  น้ำเสียงใส ๆ นั้นบอกความแจ่มใส

“ฉันชื่อวันวิสาค่ะเป็นเพื่อน...เอ้อสนิทกับธนสิทธิ์มาก ขึ้นมาจากรุงเทพฯ เลยแวะมาหาเขา”

“เอ้อค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”  ฟ้าใสพยายามที่จะไม่คิดมากเรื่องที่วันวิสาบอกว่าสนิทสนมกันมาก ความสนิทสนมนั้นจะมีมากมายเพียงไรก็เป็นสิทธิ์ของเขาอยู่แล้ว  ธนสิทธิ์โทรฯ เข้ามาตอนบ่ายและหล่อนก็บอกเรื่องวันวิสา

“เขารออยู่แถวนั้นหรือเปล่า  ผมขอคุยด้วยหน่อยฮะ”  ฟ้าใสกลับมาทำงานต่อ ขณะที่เขากำลังคุยโทรศัพท์กับวันวิสานานทีเดียว

“เดี๋ยวคุณสิทธิ์เข้ามาค่ะ”  วันวิสาเดินมาบอก  ฟ้าใสเริ่มเชื่อแล้วล่ะว่าเขามีความสนิทสนมกันมากแค่ไหน ไม่อย่างนั้นคงไม่คุยกันเป็นนานทั้ง ๆ ที่เขาก็กำลังจะเข้ามาหรอก

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อธนสิทธิ์เข้ามาทั้งสองก็ทักทายกันอย่างสนิทสนม ทำเอาฟ้าใสได้แต่นิ่งงันไป  ถ้าหากเขาไม่เป็นฝ่ายบอกฟ้าใสว่าเขาต้องการหล่อน  ความรู้สึกเจ็บแปลบแบบนี้จะมีไหมนะ  หญิงสาวได้แต่ถามตัวเองในใจ

“คุณสิทธิ์จะพาไปทานข้าว คุณฟ้าใสไปด้วยกันไหมค่ะ”  วันวิสาเดินเข้ามาชวน

“ขอบคุณค่ะ ดิฉันขอตัว”  ฟ้าใสบอกตัวเองว่าหล่อนคงแสดงละครได้ไม่เก่งนักหรอก ดังนั้นหล่อนจึงไม่ได้ยิ้มแย้มกับใคร เพราะความจริงแล้วฟ้าใสอยากร้องไห้เสียมากกว่า

หล่อนอยากร้องไห้ให้สาสมกับความเจ็บปวดในใจ  แท้จริงแล้วฟ้าใสก็เป็นแค่วัตถุอย่างหนึ่งสำหรับเขาเท่านั้นกระมัง วัตถุที่เขาหมายใจเอาไว้เชยชมอย่างไรเล่า

ฟ้าใสกลับถึงที่พักทานอาหารเย็นของแม่บ้านที่ทำเตรียมไว้แล้วก็เข้าห้องน้ำเป้นพักใหญ่  เพราะอยากทำให้ร่างกายสะอาดสดชื่นเผื่อว่าอารมณ์หม่นหมองจะดีขึ้นบ้าง  แต่สิ่งภายนอกมันช่วยอะไรไม่ได้มากนัก ในเมื่อความรู้สึกในใจต่างหากคือสิ่งที่ทำให้ทุกข์หรือสุข

ฟ้าใสเคยลำบากเคยทุกข์กายมากกว่านี้ แต่เมื่อหัวถึงหมอนหล่อนก็หลับสบาย แต่นี่ไม่ได้ทุกข์อะไรเลย แต่กลับนอนไม่หลับ สามทุ่มกว่าฟ้าใสหาหนังสือมาอ่านเพื่อไม่ต้องอยู่กับความคิดฟุ้งซ่าน และเวลาผ่านไปพักหนึ่ง หล่อนได้ยินเสียงรถของธนสิทธิ์

ฟ้าใสมองสบตาเขาและพยายามทำใจให้สงบมากที่สุด

“มีอะไรหรือค่ะ”

“ผ่ามาก็เลยแวะมาดู”  เขามาดูว่าฟ้าใสเป้นอย่างไรบ้าง เจ็บปวดทุกข์ทรมาน เพราะเขาหรือเปล่ากระมัง ฟ้าใสบอกตัวเองทันที

“ฟ้าก็สบายดีนี่ค่ะ ไม่ได้เป็นอะไร  ขอบคุณที่กรุณาแวะมาดู”  บอกประชด

“ผมว่าเราคงต้องคุยกันเรื่องของเรา”  เขาบอกขึ้นอีก

“เรื่องของเรา..” หญิงสาวทวนคำเย้ยหยัน

“ยังมีเรื่องของเราอีกหรือค่ะ”

“ทำไมล่ะฟ้า”  เขาทำหน้าไม่รู้ว่าฟ้าใสโกรธ

“ฟ้าไม่มีอะไรจะพูดหรอกค่ะ”

“ไม่มีได้ยังไงในเมื่อเราต้องตกลงกันเรื่องที่เรารับปากกับแม่เอาไว้ เอ้อ...แม่ของฟ้าน่ะ”

“คุณธนสิทธิ์ค่ะ  ฟ้าขอบคุณค่ะที่คุณช่วยเหลือฟ้าแต่เรื่องนี้คุณไม่จำเป็นต้องช่วยแล้วค่ะ  ฟ้าจะเรียนคุรแม่ไปตามตรง”

“เรียนว่าไงล่ะฮะ”  เขาถามจริงจัง

คราวนี้ฟ้าใสนิ่งอึ้งไป...หล่อนจะบอกแม่ว่าอย่างไรดี  บอกว่าเขาให้ความช่วยเหลือโดยไม่มีอะไรต่อกัน เขาให้ด้วยความจริงใจไม่ได้หวังผลตอบแทนจากฟ้าใสอย่างนั้นหรือ

“ฟ้าใส...คุณมีอะไร ๆๆ ในใจหรือเปล่า”  เขาถามพร้อมกับจ้องหน้าหล่อนอย่างค้นคว้า

“คุณโกรธอะไรผมหรือเปล่า”

“เปล่านี่ค่ะทำไมจะต้องไปโกรธคุณด้วย”

“ผมคิดว่าฟ้าหึงผมเสียอีก”  เขาบอกตรง ๆ

ฟ้าใสมองหน้าเขานัยน์ตาขุ่น แต่หน้าตัวเองก็แดงซ่านด้วยเหมือนกัน

“เรื่องอะไรจะต้องทำอย่างนั้น”

“เรื่องอะไรหรือ”  เขาเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าหญิงสาว

“ฟ้าใส ผมว่านะเราคือ ผมกับคุณน่ะควรจะพูดกันอย่างตรงไปตรงมา”  เขาไม่ได้พูดเปล่าแต่จับต้นแขนหญิงสาวให้หันหน้ามาเผชิญกับเขา

ฟ้าใสมองสบตาเขาก็พบแววตาอบอุ่นจริงใจส่องประกายกล้าอยู่ในนั้น

“ผมกับวันวิสาไม่ได้มีอะไรกัน”

“เรื่องอะไรต้องมาบอก” หญิงสาวพยายามที่จะแกะมือเขาออกไป

“ต้องบอกสิ เดี๋ยวฟ้าเข้าใจผิด”

“มันเป็นสิทธิ์ของคุณอยู่แล้ว”

“ใช่  มันเป็นสิทธิ์ของผมหากจะมีใครรักใครสักคนหนึ่ง”  ฟ้าใสมองสบตาเขาทันที

“แล้วผมก็เลือกที่จะรักผู้หญิงคนนี้”  เขาแตะปลายนิ้วแข็งแรงกับแก้มนุ่มเนียนของหญิงสาวแผ่วเบา

ฟ้าใสมองหน้าเขานิ่งงันราวกับต้องมนต์  คำว่ารักจากเขามันช่างยิ่งใหญ่กับฟ้าใสเหลือเกิน

“คุณแน่ใจหรือค่ะที่พูดออกมานั่น”  ฟ้าใสบอกเสียงเบา

“ผมแน่ใจตั้งแต่เจอฟ้าครั้งแรกแล้วล่ะ”

“ทั้ง ๆ ที่คุณสนใจพี่ดา  เอ้อคุณฟาริดาอยู่อย่างนั้นหรือค่ะ”

“ผมสนใจพี่สาวของคุณผมยอมรับ”

“คุณว่ายังไงนะค่ะ”

“คุณฟาริดาเป็นพี่สาวคุณ”

“ทำไมคุณทราบ”

“เพราะผมสนใจเขาไง”

“หมายความว่ายังไง”  หญิงสาวถามเสียงห้วนไม่รู้ตัว

“สนใจไม่ได้หมายความว่าชอบนี่”  เขาบอกยิ้ม ๆ

“ผมสนใจ เพราะอยากรู้จักเขาให้ดีเท่านั้นเอง”  ฟ้าใสมองหน้าเขานิ่งเงียบ

“เหตุผลหรือฮะ เพราะผมเป็นญาติกับพี่วริชญ์”

“พี่วริชญ์”หญิงสาวครางในใจ

“หมายความว่าคุณมีจุดหมาย”

“มันก็นิดหน่อยนะ ผมอยากรู้ว่าทำไมฟาริดาจึงหย่ากับญาติของผมทั้ง ๆ ที่พี่วริชญ์เป็นคนดี”  เขาเงียบและฟ้าใสก็เงียบ

“แต่ผมไม่สนใจเรื่องนี้อีกแล้วนะ เพราะผมเกิดรักน้องสาวของฟาริดาขึ้นมา อีกอย่างหนึ่งพี่ชายผมก็กำลังจะแต่งงานใหม่เหมือนกัน”

ฟ้าใสมองสบตาเขาอย่างโล่งใจ

“ผมจึงอยากลองใจดูว่าฟ้าใสรุ้สึกอย่างไรกับผมกันแน่”

“แล้วไงค่ะ”  หญิงสาวถามไม่มองหน้าเขา

“ผมก็รู้ว่าฟ้าหึงผมเหมือนกัน”

“ฟ้าไม่ได้หึง”

“ผมว่าฟ้าไม่พูดความจริง”

“คุณสิทธิ์ค่ะฟ้ายอมรับความจริงเสมอ ฟ้าไม่ได้เท่าเทียมกับคุณถ้าหากคิดเรื่องจะแต่งงาน ดังนั้นหากคุณมีใครที่เหมาะสม ฟ้าก็ควรดีใจด้วย” ฟ้าใสบอกจริงจัง

“เพราะอะไรล่ะที่ทำให้ฟ้ารู้สึกกับผมแบบนี้” เขาถามจริงจัง

“เพราะฟ้ารักผมใช่ไหม”  ฟ้าใสไม่จำเป็นต้องตอบเพราะเขามั่นใจต่างคนต่างนิ่งงันไปกับความรุ้สึกมากมายที่มีให้กัน

“ผมรักคุณนะฟ้าใส”  เขาบอกขึ้นอีกเมื่อยกมือนุ่มของหญิงสาวขึ้นมาจุมพิตอ่อนโยน

“แล้วฟ้ามีอะไรจะบอกผมหรือเปล่า”

“คุณเป็นเจ้าของฟ้าค่ะ...ทั้งหมดทั้งร่างกายและหัวใจฟ้ามองให้คุณ”  ชายหนุ่มค่อย ๆ ดึงตัวหล่อนเข้ามาหาช้า ๆ จุมพิตอ่อนโยนถูกประทับลงบนดวงหน้าของหญิงสาวอย่างรักใคร่

เรียวปากอิ่มเต็มคลี่ออกรับจุมพิตอ่อนหวานของเขาเต็มใจ  ฟ้าใสอยากบอกเขาว่ามีความสุขมากเหลือเกิน เช่นเดียวกับที่ชายหนุ่มเองก็เต็มไปด้วยความรักใคร่อบอุ่นเต็มหัวใจ

ข่าวการแต่งงานของฟ้าใสกับธนสิทธิ์ถึงฟาริดาจนได้

“ที่แท้ก็เป็นญาติกับวริชญ์นี่เอง”  ฟาริดาดูรูปถ่ายในหนังสือพิมพ์

“แต่งพร้อมกันสองคู่เลยนี่”  เพื่อของหล่อนบอกขึ้นอีก

“รู้แล้วไม่ต้องย้ำ”

“แฟนใหม่คุณวริชญ์สวยดีเหมือนกันนี่ เออดาตัวเสียดายคุณวริชญ์บ้างไหมนะถามจริง ๆ “

“ดาเขาไม่เสียดายอดีตสามีหรอก แต่คงจะเสียดายคนนี้มากกว่า”  เพื่อนอีกคนหนึ่งเย้าขึ้น  ฟาริดาไม่ตอบโต้ใด ๆ ทั้งสิ้น มีความรุ้สึกราวกับเสียหน้าและเสียใจขึ้นมาเมื่อคิดว่าฟ้าใสได้สามีดี ๆ อย่างธนสิทธิ์

“แต่อย่างดานิ่งคนหาดี ๆ เจ๋ง ๆ มาควงได้ไม่ยากหรอก”

“ดาไม่อยากมีแค่คู่ควงสักหน่อย” หล่อนบอกออกมา และเพ่อนสาวก็มองหน้าหล่อนนัยน์ตาเดียวกัน

“แปลว่าดาต้องการมีครอบครัว”

“ก็ทำนองนั้น”

“แล้วตัวหย่าคุณวริชญ์ทำไม”

“ถามทำไมล่ะยุรฉัตร อยากรู้หรือว่าอยากหัวเราะเยาะกันแน่”

“อ้าว โกรธหรือนี่”

“ไม่ได้โกรธหรอก แต่ไม่อยากฟังเรื่องนี้บ่อย ๆ ที่เราหย่าคุณวริชญ์ก็เพราะเบื่อ ไม่มีอะไรน่าสนใจ ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่อยากมีครอบครัวที่มีความสุขหรอกนะ”

“คนเราน่ะนะ  ไม่มีใครได้อะไรทั้งหมดหรอกหรือไม่มีใครสมหวังไปเสียทุกอย่างหรอกนะ”  เพื่อนของฟาริดาบอกเรียบ ๆ

ฟาริดาไม่ตอบได้แต่บอกตัวเองว่าทำไมหล่อนไม่โชคดีอย่างฟ้าใสบ้าง คนอย่างธนสิทธิ์น่าสนใจกว่าวริชญ์มากมาย ฟาริดาไม่รู้ตัวหรอกว่าหล่อนไม่มีทางมีความสุขไปได้ เพราะไม่เคยพอใจในสิ่งที่ตัวเองได้หรือมีอยู่  แต่หล่อนต้องการสิ่งที่ยังไม่ได้และมองเห็นว่าสิ่งนั้นคือยอดปรารถนาต่างหาก แม้แต่เพื่อนกลุ่มนี้ฟาริดาก็ไขว่คว้าที่จะมาเข้ากลุ่มด้วย เพราะหล่อนอยากเป็นหนึ่งในสังคมไฮโซฯ อย่างพวกเขา

แต่เมื่อได้เข้ากลุ่มจริง ๆหล่อนกลับไม่ชอบใจเท่าไหร่ และสิ่งที่หล่อนติดใจกลับไม่ใช่เพื่อนกลุ่มนี้ แต่เป็นการใช้ชีวิตหรูหราฟุ้งเฟ้อ ไม่ต้องทำงานแต่ใช้เงินทองไปวัน ๆ  หล่อนไม่อยากคิดว่าเงินทองที่มีอยู่มันมีมันหมดได้ และวันหนึ่งหล่อนก็ต้องพบว่าตัวเองต้องขายบ้าน

“พี่ดาถึงกับขายบ้านเชียวหรือค่ะ”  ฟ้าใสถามสามีอย่างไม่สบายใจเลยเมื่อคิดถึงพี่สาว

“เธอเอาแต่ใช้เงินแต่ไม่ทำและไม่รู้จักวิธีอยู่อย่างสบาย ๆ ถูก ๆ บ้างเลย ที่สำคัญเธอติดการพนัน ถึงจะไม่ได้เสียหรือได้คราวละมาก ๆ แต่เมื่อนานวันเข้าการเล่นเพื่อสนุก ๆ ไปวัน ๆ ก็ทำให้เธอหมดตัว”  ฟ้าใสหน้าเศร้าทีเดียวเมื่อรับรู้

“เขาคงไม่ลำบากหรอกน่ะฟ้า  ถ้าหากเขาปรับตัวได้ เพราะขายบ้านใหญ่สามารถซื้อบ้านเล็กได้ เขาคงอยู่ได้สบาย ๆ กับบ้านหลังเล็กกว่า”

“แล้วคุณจะซื้อบ้านหลังนั้นหรือค่ะ”

“ครับ เพราะมันเป็นทรัพย์สินของตระกูลเราอีกอย่างหนี่งบ้านหลังนั้นทำเลดีผมอยากซื้อเอาไว้สำหรับภรรยาผม ตั้งแต่แต่งงานกันมายังไม่ได้ให้ของขวัญอะไรกับเธอเลย”  เขามองหล่อนนัยน์ตาพราวยิ้ม

“คุณสิทธิ์ค่ะ  เพียงแค่ที่ฟ้าได้ทุกวันนี้ฟ้าก็พอใจแล้วค่ะ ฟ้าต้องการความรักความอบอุ่นจากคุณนะค่ะ”

“แล้วถ้าหากผมจะให้ทุกอย่างที่มีกับฟ้าล่ะ”  เขาบอกอ่อนโยน

“ฟ้าคงบอกได้แต่ฟ้าโชคดีที่สุดที่ได้เป็นคู่ชีวิตของคุณ”

“ผมก็เหมือนกันฮะ”

ทั้งสองโอบกอดกันไว้อย่างอบอุ่น และมีความสุขและเขารู้ว่าสิ่งที่เขาได้รับนี้คือสิ่งที่เขาจะต้องสร้างมันขึ้นมาด้วยความอดทน เข้าใจและเชื่อมั่นในกันและกัน มันเป็นรางวัลที่เขาทั้งสองได้รับจากทั้งหมดที่เขาทุ่มเทให้ไปทั้งใจของกันและกัน

                           จบบริบูรณ์

 

 






 
   
เว็บไซต์นี้ เป็นเว็บร้านค้าสมาชิกของ SABUYJAISHOP ผู้ให้บริการทางการตลาดออนไลน์ สำหรับร้านค้าหรือผู้ประกอบการ ที่ต้องการนำเสนอสินค้า โฆษณา ประชาสัมพันธ์ร้านค้า หรือสินค้าในร้าน

©2008-2009 SABUYJAISHOP All Rights Reserved