นิยายเรื่องใหม่จ้า "อรุณสวัสดิ์ มาลีพร "
จำนวนคนเข้าชม : 4943 ครั้ง

( บทนำ )   นิยายเรื่องนี้จับเอาวัฒนธรรมที่สอดแทรกอยู่ในชาวไทยเชื้อสายจีนที่เดินทางไปอยู่ต่างประเทศมานำเสนอผนวกกับเรื่องราวของคนชื่อ "มาลี "  และ " มาลีพร " ที่ก่อให้เป็นเรื่องราววุ่น ๆ และสนุกสนานได้อย่าง...

    มาลีพร ตัวเอกของเรื่องพลั้งมือ จนคิดว่าตัวเองฆ่าคนตาย...ทำให้เธอต้องสวมรอยเป็นมาลีเดินทางไปอเมริกา และต้องตกลงแต่งงานกับ ศิลา ตามคำสัญญาเดิมของมาลี..แม้จะดูเหมือนว่าสุดท้ายแล้ว ศิลา และ มาลีพรจะรักกัน.. แต่หากความจริงที่ว่า มาลีพรไม่ใช่ มาลี.. ความรักของพวกเขาจะยังคงอยู่หรือไม่นั้น.. ต้องติดตามอ่านกันใน

                                                      " อรุณสวัสดิ์มาลีพร "

                                                        เขียนโดย  อินทุอร

   เสียงนาฬิกาปลุกดังกังวาลเมื่อมันเดินมาถึงเวลาสองทุ่มตรง

   "ไปปิดทีสิ "  เสียงแหลมแสดงความไม่พอใจดังมาจากเบื้องหลังฉากไม้ฉลุราคาแพงสั่งการ

   มาลีพร รีบกระโดดขึ้นจากพื้นห้องที่เธอนั่งพับเสื้อกองมหึมา ให้เป็นชิ้นเล็กที่สุด เท่าที่จะเล็กได้  เพื่อจะได้ยัดเยียดมันลงไปในกระเป๋าใส่เสื้อผ้าให้หมดทุกตัวได้

   กระโจนไปกดปุ่มตัดเสียงกังวาลของนาฬิกาปลุกที่หัวเตียงแล้วย้อนกลับมามองกองกระเป๋ากองเสื้อผ้ามากมายหลายชิ้นที่ยังวางอยู่เกลื่อนห้อง  ญาติผู้พี่ของเธอยังลองเสื้อตัวใหม่ที่เพิ่งได้มาเมื่อบ่ายอย่างหงุดหงิด

   "ไอ้เสื้อบ้า พอทาบกับตัวมันก็ดูดี " ผู้หญิงรูปร่างเพรียวสูงคล้ายนายแบบเดินออกมาจากฉากให้มาลีพรเห็นเต็มตา

   เธอคือ  มาลี.. ญาติผู้ร่ำรวยของมาลีพร...เป็นเรื่องตลกที่ขำไม่ค่อยออกของมาลีพรที่ชื่อของทั้งสองออกมาอย่างนี้เพราะมารดาของมาลีพรเป็นญาติผู้น้องของมารดามาลีตั้งท้องทีหลังหลายปี  เห็นมาลีตั้งแต่เกิดพอตั้งท้องแล้วคลอดลูกของตัวเองก็ตั้งชื่อลูกสาวตามอย่างลูกสาวญาติผู้พี่โดยเติมคำว่าพรต่อท้ายมาลี  สร้างความไม่พอใจอย่างมากให้แก่มารดาของมาลีแต่มารดาของมาลีพรไม่สนใจและไม่ยอมเปลี่ยนชื่อของลูกสาวตามคำสั่งแกมขอร้องด้วย  ทั้งสองโตมาด้วยกั้นด้วยความแตกต่างที่มีชื่อเหมือนกัน

   พ่อแม่ของมาลีเป็นคหบดี  แต่พ่อแม่ของมาลีพรเป็นเพียงข้าราชการที่ซื่อสัตย์แสนจน ชีวิตคนเรามักจะพลิกผันเมื่อวัยเด็ก พ่อแม่ของมาลีพรประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เสียชีวิตพร้อมกันทั้งคู่  เธอจึงต้องมาอาศัยอยู่กับครอบครัวของมาลีในวันที่มาลีพรอายุได้สิบสี่ปีพอดี

   พ่อแม่ของมาลีรับเลี้ยงหลานกำพร้าทำให้มาลีได้สาวใช้ส่วนตัวตั้งแต่นั้นมาโดยปริยายจากฐานะที่ด้อยกว่าทุกด้านแล้วยังคงมาอาศัยใบบุญด้วย  ถ้านี่คือการตอบแทนพระคุณพ่อแม่ของมาลีที่ให้ข้าวให้น้ำเพื่อไม่ต้องไปนอนข้างถนนเธอก็ยินดี

   "แต่ทำไมพอเอากลับมาใส่อีกทีทีี่บ้านมันจึงดูโทรมลงไปได้นะ"  มาลีทำลายภวังค์ของมาลีพรให้หันกลับมาสนใจได้

   "ทิ้งไปซะดีไหมนี่ " มาลีพูดกับเงาที่สะท้อนออกจากกระจกตรงหน้า  ไม่แปลก..เพราะมาลีพรเคยเห็นญาติของเธอทิ้งเสื้อชุดใหม่เอี่ยมบ่อย ๆ ถ้าเกิดคิดว่ามันทำให้เธอสวยด้อยลงไปอย่างไม่เสียดายเงิน

   "เอาไปทิ้งดีกว่า" มาลีพูดขึ้น

   "เสื้อตัวนี้แพงนะคะพี่มาลี"  มาลีพรท้วงเสียงอ่อยด้วยความเสียดายแทน

   "เอ๊ะ...." มาลีแว้ดใส่ทันทีจนคนฟังต้องนิ่วหน้า

   "ฉันพูดตั้งหลายครั้งแล้วว่าห้ามเรียกฉันว่ามาลี.... ห้ามเรียกไม่จำเลยนะบอกให้เรียกว่าแมรี่.....แมรี่...ได้ยินไหม"

   "ค่ะพี่แมรี่"  มาลีพรรีบพูดเอาใจ  ไม่รู้ควรยินดีที่มาลีไม่ดุเธอเรื่องไปออกความเห้ฯเรื่องเสื้อผ้า่ดีไหมในเมื่อเธอหนีไม่พ้นเรื่องเรียกชื่อต้องห้ามไปได้

   "นี่ถ้าพวกเราไปถึงอเมริกาแล้ว"  มาลีชี้นิ้วใส่ด้วยแววคาดคั้น  "ขืนเธอเผลอเรียกฉันเชย ๆ อย่างนี้คนที่นั่นจะได้หัวเราะเยาะฉัน....ฉันจะเล่นงานเธอให้เจ็บแสบน่าดูเลยจำเอาไว้นะว่า  เมื่อไปถึงอเมริกาเธอคนเดียวเท่านั้นที่ชื่อมาลี่"

   มาลีพรคร้านที่จะเพียงว่าชื่อแมรี่ก็เชยเหมือนกันและคนเราไม่ควรรังเกียจชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้เราตั้งแต่เกิด  แต่ไม่กล้า เพราะบางทีการไม่ชอบชื่อมาลีอาจจะไม่ใช่แค่ไม่ถูกใจถ้าเกิดเธอมีส่วนทำให้ญาติผู้พี่คนนี้ไม่ชอบชื่อเดิมคนที่ลำบากก็คือเธอเองนั่นล่ะ  เธอจึงก้มหน้าก้มตาเก็บเสื้อทุกตัวที่มาลียืนยันว่าจะขนไปด้วยพยายามทำทุกวิถีทางที่จะยัดเยียดพวกมันใส่ลงในกระเป๋าให้ได้ไปเงียบ ๆ

   "เราเอามันไปหมดทุกตัวนะฉันจะได้ไม่ต้องไปหาที่นั่น" มาลีสั่งอีก "กระเป๋าเธอเต็มรึยัง"  มาลีพรอยากจะบอกว่ากระป๋าใบกรจิริดของเธอใส่เสื้อผ้าไม่กี่ชุดก็เต็มแล้ว  แต่ได้ยินเสียงตนเองเสนอว่า

   "เอากระเป๋าไปเพิ่มอีกใบสิคะ  เพราะอย่างไรน้ำหนักที่นั่งของหนูก็ไม่ถึงอยู่แล้ว"

   "แหม...ฉันเอาเธอไปด้วยก็มีประโยชน์ตรงนี้นี่เอง"  มาลีอุทานด้วยความพึงพอใจก่อนจะเดินไปลากกระเป๋าเดินทางอีกใบลงมาให้

   ทำให้มาลีพรอยากจะหัวเราะทั้งที่ไม่รู้สึกขำเลย  เพราะมาลีไม่ได้เป็นคนออกเงินค่าตั๋วเครื่องบินให้กับเธอสักแดงเดียว  แต่ฝั่งเจ้าบ่าวครอบครัวว่าที่สามีของมาลีต้องการให้มาลีพา คนติดตามไปด้วยเพื่อช่วยเตรียมตัวเรื่องการแต่งงานต่างหาก  มาลีก็รู้สึกพอใจกับความคิดนี้มันทำให้เธอดูกร่างที่มีคนติดตามคล้ายสาวใช้ไปด้วย

   การแต่งงาน...มาลีพรคิดด้วยความขมขื่น  แม่ของมาลีตายไปเมื่อสองปีที่มาลีพรจะเรียนจบมหาวิทยาลัยพอเธอรับปริญญาบิดาของมาลีก็เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจเฉียบพลัน  แผนการที่วาดว่าจะหนีไปจากกรงเล็บของครอบครัวนี้อยู่แค่เอื้อมมีอันชะงักไป

   มาลีดูเสียใจโวยวายและไม่เป็นอันทำอะไร  เธอจึงต้องเข้ามาช่วยจัดการทั้งหมดทำงานศพของบิดามาลีด้วยความเต็มใจชะลอแผนการของตัวเองออกไปอีกสักหน่อย ก็เธอไม่ใช่คนอกกตัญญูใครนี่นา... พอกำลังจะหาโอกาสที่จะพูดขอแยกตัวไปจากมาลีก็ได้รับแจ้งว่า

   "ฉันจะแต่งงาน"

   "อ้อ..ยินดีด้วยค่ะ"  มาลีพรเห็นหนทางสว่างของตนเองแล้วว่าจะมีคนมาดูแลต่อจากเธอแล้ว

   "เพื่อนเก่าแก่ของพ่อที่อเมริกา  ติดต่อมาหาฉันเมื่อรู้ว่าพ่อตายแล้ว"  มาลีเล่าเสียงชื่นชมซึ่งไม่ทำให้เข้าใจว่าเกี่ยวข้องอะไรกับการแต่งงานของมาลีที่ตรงไหน

   "พวกเขาอยากมางานศพหรือก็เราทำเสร็จแล้วนี่น่า"

   "ไม่ใช่ย่ะยัยโง่" มาลีกระชากเสีียงใส่  มาลีพรจึงเงียบตามความเคยชินเพื่อจะได้ไม่ทะเลาะกันว่าเธอไม่โง่ตามคำกล่าวหาสักหน่อย

   "พวกเขาชวนฉันไปอยู่ที่อเมริกาด้วย"    "จริงหรือ"  มาลีพรถามด้วยตาประกายยินดี  "แหมดีจัง" ประโยคท้ายเป็นความจริงใจที่สุด

   "ไม่แค่นั้นเขาถามว่าฉันสนใจที่จะเป็นเจ้าสาวของลูกชายคนเล็กของพวกเขาไหม"  มาลีพรหุบปากที่อ้าค้างกลืนน้ำลายก่อนถามขึ้นอย่างลืมตัว

   "แล้วพี่ตอบเขาว่ายังไง"  มาลียิ้มมีเลศนัยที่ดวงตา

   "ฉันก็ตอบตกลงน่ะสิ"

   "ฮ้า...พี่ทำอย่างนั้นได้ยังไงกัน"

   "ทำไมฉันจะทำไม่ได้ตอนนี้พ่อแม่ตายหมดแล้ว  ฉันไม่ต้องขอความเห็นใครอีกแม้แต่เธอด้วย"  มาลีกระชากเสียงตอบ

   "แต่พี่มีแฟนแล้วคุณเกษมจะว่ายังไง"

   "ช่างหัวเขาปะไรผู้ชายอย่างนั้น...รู้ไหมคนที่มาขอฉันไปเป็นเจ้าสาวให้ลูกชายเขาน่ะเป็นใคร"

   "ไม่รู้ค่ะ"  มาลีพรส่ายหน้าจนปัญญาตอบ

   "เขาเป็นเจ้าของภัตตาคารห้าดาวในนิวยอร์คห้าแห่งปั้มน้ำมันอีกสามแห่งและยังมีกิจการอีกเยอะแยะในไชน่าทาวน์โซโห"

   นั่นรวยแหง ๆ อยู่แล้ว..มิน่าจึงไม่สนใจนายเกษมเซลส์แมนขายน้ำมันเครื่องรถ  มนุษย์กิจเงินเดือนอ้อ..แถมค่าคอมมิสชั่นอีกนิดหน่อยที่อนาคตไม่ก้าวหน้าเลย  นั่นก็ดีแล้วเธอจะได้ไม่ต้องมารับใช้คนเจ้าอารมณ์อย่างมาลีอีก

   แต่เดี๋ยว  มาลีพูดอะไรบางอย่างที่ชัดเจนกว่านั้นใส่เธอ

   "เขาออกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปเป็นเจ้าสาวของลูกชายของเขาทั้งหมดฉันจะเอาเธอไปด้วย"

   "พี่ว่ายังไงนะ"  เธอไม่อยากเชื่อหูตัวเองที่ได้ยิน  แล้วแผนการเป็นอิสระของเธอเล่า  มาลีนิ่วหน้าใส่เธอด้วยความเคร่งเครียดบอกแผนการของตนเองออกมา

   "ฉันไปแต่งงานฉันต้องมีคนไปดูแลเรื่องการแต่งงาน ฉันจะเอาเธอไปด้วยให้ช่วยเรื่องเสื้อผ้าเครื่องของใช้"

   "คิดว่าที่นั่นคงมีคนจัดการให้ี่ได้ดีกว่าฉัน"  เธอพยายามหาทางหนีเอาตัวรอด

   "แต่ฉันต้องการให้เธอไปด้วยฉันไม่ไว้ใจใครว่าจะทำได้ดีเท่าเธอ"  มาลีแผดเสียงลั่นจนฝาบ้านสะเทือน

   "แต่ว่า..."  มาลีพรพยายามคิดว่าจะเสนอชื่อใครขึ้นมาแทนเธอ

   "คนอกกตัญญู"  มาลีเช่นเชี้ยว   "อะไรนะ"

   "พ่อแม่ฉันตายหมดแล้วเธอก็เลยคิดว่าบุญคุณคนที่ชุบเลี้ยงเธอก็ไม่ต้องทดแทนแล้วล่ะสิ"  มาลีพรพยายามกล่ำกลืนความโกรธและไำม่เอื้อมมือออกไปบีบคอของญาติผู้พี่ที่แสนน่าเกลียดของเธอคนนี้

   "ฉันไม่อกกตัญญู"  มาลีพรขบฟันพูด  "งั้นก็ไปอเมริกากับฉัน"  มาลีพรไม่มีทางเลือกนอกจากรับปาก

   "เธอจะดีใจที่ฉันเอาเธอไปด้วย อเมริกาน่ะไกลนะ ผู้คนตั้งเท่าไรใฝ่ฝันจะไปที่นั่น  แม้จะแค่เหยียบเล่น ๆ วันเดียวพวกเขาก็ยอมขายทุกสิ่งเพื่อมัน  แต่เธอจะได้ไปอยู่กับฉันจนกว่าจะแต่งงานเสร็จเรียบร้อยเขามีตั๋วเครื่องบินขากลับให้เธอด้วยนะ"  สาวใช้ชั่วคราวเท่านั้นเอง...มาลีพรคิดด้วยความอ่อนใจ ไม่ใช่ความหวังดีหรืออยากให้เธอช่วยเหลืออันใดหรอก

   คนอย่างมาลีทำอะไรเองได้ทุกอย่างร้อยแปดสารพัด ไม่มีเธอไปอเมริกาด้วยก็ไม่เดือดร้อน  ไม่ใช่ว่าคิดอกุศลกับลูกของผู้มีพระคุณ  มาลีพรแน่ใจเลยว่าสาเหตุที่เธอถูกรางวัลที่หนึ่งหลังงานศพบิดาของมาลีก็เพราะมาลีอยากจะยึดเธอเอาไว้ด้วยอำนาจสุดท้ายที่ยังพอมีเหลืออยู่  จะด้วยเหตุผลอะไรก็ช่าง..... ถ้าเพื่อเธอจะไม่เป็นหนี้อะไรมาลีอีกเธอก็จะทำให้กับมาลี

   มาลีพรนั่งทับบนฝากระเป๋าเสื้อผ้าที่ปากอ้าค้างปิดไม่ลงให้สลักมาลงไปเกยกันแล้วกดล็อกฉับ

   "เสร็จเสียทีคิดว่าไม่ทันแล้วซะอีก"  มาลีพูดด้วยความโล่งอก ที่ในที่สุดมาลีพรก็ทำตามคำสั่งขนเสื้อผ้าเกือบร้อยชุดของเธอไปได้สำเร็จ  แล้วก็เดินจากำปอีกห้องเพื่อเก็บเครื่องสำอางอีกรอบ

   มาลีพรเกือบถอนใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่าย ที่เธอตั้งนาฬิกาปลุกบอกว่ามีเวลาเหลืออีกไม่ถึงสี่ชั่วโมงที่เครื่องจะออกจากประเทศไทยไปสหรัฐอเมริกา  ความจริงกระเป๋าเดินทางถูกจัดเสร็จตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว

   แต่วันนี้มาลีไปช้อปปิ้งเสื้อผ้ามาเพิ่มจึงต้องรื้อและจัดกันใหม่อีกรอบเวลาที่ตั้งเอาไว้จึงไม่มีความหมายอะไรเลย  ใช่ว่ามาลีพรอยากไปอเมริกาจนตัวลั่นจึงกังวลแต่  เพราะไม่มีทางมาลีจะยอมรับความผิดของตนต้องโทษว่าเธอไม่มีความสามารถทำให้ต้องตกเครื่องต่างหาก  พวกเธอคงไปถึงสนามบินแบบเฉียดฉิวไม่ต้องสงสัย

   มาลีพรขยับตัวลุกขึ้นจากกระเป๋า เมื่อได้ยินเสียงกดกริ่งไฟฟ้าหน้าห้องคอนโดมิเนียมราคาแพงของมาลี  มันดังถี่ ๆ แสนหยาบคายเหมือนคนกดต้องการพังเครื่องมือเรียกชนิดนี้

   มาลีพรรีบกระโจนไปที่ประตูด้วยอารมณ์เสียขึ้นมาเหมือนกัน

   "มาแล้ว.....มาแล้ว... เลิกกดแบบนี้ซะที"  พอกระชากประตูห้องเปิดออกก็อ้าปากหวอสบตากับสายตาถมึงทึงของอีกฝ่ายที่ตะคอกใส่เธอ  เพราะไม่สบอารมณ์ที่เห็ฯเธอเป็นคนเปิดประตูให้เขา

   "มาลีอยู่ไหน"  นายเกษมแผดเสียงดังก้องสะท้อนทางเดินหน้าห้อง

ตอนที่ 2

   เกษมไม่รอคำตอบมาลีพร เขาบุกเข้ามาในห้องโดยใช้แขนปาดร่างเธอไปให้พ้นทาง

   "หลีกไป"  เขาก้าวไปถึงกลางห้องรับแขกในสามก้าว  พอหายตกตะลึงเธอก้วิ่งตามเขา

   "คุณเกษม"  มาลีพรพยายามเรียกสติเขาที่ดูจะยาก  เพราะเกษมมีทีท่าคล้ายคนคลั่ง

   "มาลีอยู่ไหน"  เกษมแผดเสียงอีกครั้ง

   มาลีพรตามมาไล่เขา  "ออกไปนะคุณเข้ามาไม่ได้นะ"  เกษมถลึงตาใส่เธอจนตาโปนน่าเกลียดทำให้เธอผงะไปข้างหลังก้าวหนึ่ง

   "ไม่ต้องมายุ่งบอกมาว่ามาลีอยู่ไหน"

   "ฉันอยู่นี่"  น้ำเสียงเย่อหยิ่งของมาลีดังขึ้นที่ประตูอีกฟาก

   เกษมหันขวับกลับไปยังที่มาของเสียง  ท่าทีที่ไม่สะทกสะท้านไหวหวั่นสร้างความโกรธให้กับเขาเหลือล้นและสร้างความพรั่นพรึงให้กับมาลีพรจนแทบเป็นลมด้วยความกลัว ตลอดชีวิตของมาลีพรไม่เคยมีความรุนแรงและไม่เคยทะเลาะกับใครแม้จะถูกเอาเปรียบมากแค่ไหนก็ตามถ้าทั้งสองมาเช่นฆ่ากันที่นี่เธอไม่มีปัญญาห้ามหรอกนะ

   "หาฉันมีธุระอะไรมิทราบ"  มาลีถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา

   "เดี๋ยวนี้ผมมาหาคุณต้องมีธุระงั้นรึ" เกษมตะคอก  สีหน้าเขาโกรธแค้นขุ่นเคืองและเมา

   มาลีพรแน่ใจเลยว่าใบหน้าที่แดงก่ำของเกษมไม่ใช่ความโกรธอย่างเดียว  แต่เลือดที่แล่น  อยู่ใต้ผิวหนังของเขา  คงผสมด้วยแอลกอฮอล์จำนวนมากจึงสามารถทำให้ผู้ชายที่เคยกลัวมาลีหงอเหมือนหนูกลัวแมวกล้าขึ้นเสียงได้ขนาดนี้

   มาลียักไหล่เดินไปนั่งไขว่ห้างท่าทางโก้เก๋ที่ชุดโซฟา

   "ยุ่งหรือรีบกันแน่นังผู้หญิงแพศยา"  เกษมเดินตามเข้าไปยืนค้ำหัวตะคอกเสียงสั่น ๆ พริ้วด้วยอารมณ์หึงหวง

   "เอ๊ะ.." มาลีร้องด้วยความโกรธ  "ไอ้บ้ากล้าดียังไงมาเรียกฉันอย่างนี้...."  มาลีพรยืนบิดตัวละล้าละลัง เคยเห็นสองคนนี้ทะเลาะกันก็บ่อยครั้ง  แต่คราวนี้ไม่เหมือนทุกครั้งเกษมไม่ยอมและมาลีไม่แคร์จะให้เธอเดินหนีไปที่อื่น ไม่แน่ใจว่าเธออาจจะพลาดอะไรไปถ้าสองคนนี้ไม่ยอมลามือให้กัน

   เธอจะไม่อาจเป็นพยานให้ตำรวจฟังว่าใครทำร้ายใครก่อน  ความจริงเธอห่วงมาลี  เพราะเกษมไม่มีท่าว่ายินยอมอย่างทุกครั้งที่ผ่านมาดูมาลีจะไม่ตระหนักในความจริงข้อนี้ หรืออีกทีมาลีจงใจยั่วเกษมเสียไม่รู้ได้  เธอกังวลจริง ๆ สังหรณ์ว่าจะเกิดเรื่องไม่ดี

   "ผมจะเรียก..." เกษมยืนยันเสียงเย้ย "ผมจะเรียกนังแพศยาที่กล้าทิ้งผัวตัวเองไปแต่งงานกับผู้ชายคนอื่น"  นั่นปะไร..มาลีพรคิดด้วยความกลัดกลุ้มและตื่นตะลึงใจ

   เธอรู้ว่าทั้งสองเป็นคู่รักกันแต่ไม่เคยกล้าคิดว่าทั้งสองจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันขนาดนี้ก็ทั้งสองไม่เคยแต่งงานกันเรียกกันขนาดนี้ ก็คงมีความสัมพันธ์ทางเพศฉันสามีภรรยาแล้วแหง ๆ  เรื่องท่าจะยากซะแล้ว กับโครงการไปเป็นเจ้าสาวที่อเมริกา

   มาลีหน้าแดงแล้วก็เผือดขาวผุดลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับเกษม  "ใครบอกคุณเรื่องนี้"  มาลีพรอ้าปากหวอเมื่อมาลีหันมามองเธอนัยน์ตาขวาง

   "หนูเปล่านะ"  เกษมกระชากไหล่มาลีกล้ับไปหาเขา

   "ไม่ต้องพาลคนอื่นเรื่องแบบนี้คิดหรือว่าจะปิดผมมิด"

   "ทำไมฉันต้องบอกคุณด้วย"  มาลีเถียงไปข้าง ๆ คู ๆ  ยังไม่ปักใจเชื่อว่ามาลีพรไม่เกี่ยวข้อง  เพราะเธอรักษาความลับเรื่องนี้อย่างเหนียวแน่นเพื่อหาทางทิ้งเกษมจึงหันไปมองมาลีพรที่ยังตัวลีบไม่หนีไปไหน  เกษมกระชากหน้าเธอหันกลับไปหาเขาอีก

   "คุณไม่ต้องไปโทษเด็กคุณนั่นล่ะที่มีพิรุธทำให้ผมรู้"

   "จริงหรือ"  มาลียังไม่ยอมรับง่าย ๆ  "คุณขายบริษัทของพ่อคุณไปขายคอนโดฯ  หลังนี้แล้วก็ไปซื้อของไม่หยุดนั่นล่ะทำให้ผมสงสัย"  เกษมพูดด้วยความดุเดือด  มาลีปัดมือเขาออกจากแก้มของเธอ

   "มันสมบัติของฉันฉันจะขายจะทำอะไรไม่เกี่ยวกับคุณ"

   "คุณจะหนีผม"

   "คุณรู้ได้ยังไง"  มาลียังไม่ยอมรับ

   หาทางกล่อมและไล่ไอ้หน้าโง่ตัวนี้ไปอีกสองสามชั่วโมงเธอก็จะบินไปจากที่นี่กว่าเกษมจะรู้ก็สายเกินแก้ไปแล้วเืมื่อเธอแต่งงานกับคนอเมริกันและไม่กลับมาที่นี่อีก ไม่มีทางเพราะเขารู้..ว่าเธอคิดอะไร

   "ถ้าคุณไม่โง่ไปใช้บริการจองตั๋วและจ้างคนทำเอกสารผ่านบริษัทของนายชาลีพวกเขาบอกผมหมดว่าคุณกำลังจะหนีไปแต่งงาน"  มาลีหน้าเสียเธอลืมได้ยังไงนะว่า  นายชาลีนั่นเป็นเพื่อนของเขาเพียงเพราะต้องการความสะดวกและรวดเร็วในการบริการจึงชะล่าใจคิดไม่ถึงว่าเพื่อนของเขาจะเอาออกว่าเธอไปอเมริกาเพื่อแต่งงาน

   "ชาลีมาบอกผมยังไม่แน่ใจว่าคุณจะทิ้งผมไปหรือไม่ในเมื่อเรามีอะไรกันอย่างหวานชื่นอย่างนั้น"  เกษมเพ้อคลั่งจนเพ้อเจ้อพล่ามไปเรื่อย ๆ

   "คุณทำกับผมได้ลงคอ....มันไม่มีความหมาย สำหรับคุณเลยหรือที่เราอยู่ก้วยกันอย่างนั้น"  เกษมมองเธอตาวาวแดงก่ำด้วยพิษสุรา และความหึงหวง

   "คุณวางแผนทิ้งผม"  เขากระชากเสียงขึ้นมาเมื่อคิดถึงความจริง

   "จะทำไมล่ะ"  มาลีตะคอกใส่เขาด้วยความจริงในเสียงรำคาญหนักของเธอ  ตายแล้ว...มาลีพรคิดด้วยความตื่นตระหนก..นี่ พี่สาวของเธอไม่เห็นหรือว่านายเกษมกำลังคลั่งขืนไปยั่วอย่างนี้เดี๋ยวได้เกิดเรื่องใหญ่แน่

   เกษมตารุกวาบ  "นัง...."

  มาลีปัดมือของเขาออกด้วยท่าทีรังเกียจ   "เงียบซะที...น่ารำคาญ....ฉ้ันเบื่อคุณเต็มที่แล้ว"

   เธอต้องการจัดการเรื่องนี้ิให้จบสิ้นรวบรัดเร็วที่สุด  เพราะเธอมีเวลาแค่สามชั่วโมงก่อนที่จะออกเดินทางไปตามความฝันของตนเองที่อเมริกา ถ้าขืนเกษมยังรั้งเอาไว้แบบนี้มีหวังเธอต้องตกเครื่องไม่ต้องสงสัยเลย

   เกษมหน้าคล้ำเกือบดำอีกรอบ  ตระหนักในความจริงว่าเขาหมดหวังแล้ว

   "คุณทิ้งผมจริง ๆ ใช่ไหม"

   "ใช่ " มาลีแทงดาบเข้าที่อกของเกษมยังจะปรานีซะกว่าที่พูดอย่างนี้เขารับไม่ได้หรอก

   "ได้ยินแล้วก็ไปซะอย่ามาเกะกะขวางทางฉันได้ยินไหมว่าฉันกำลังรีบ  ทำตัวให้เป็นประโยชน์หน่อยบาทีหลังแต่งงานฉันอาจจะกลับมาเยี่ยมคุณบ้าง"

   เกษมขบฟันร้องคำรามเหมือนสัตว์บาดเจ็บที่ถูกหยามหมิ่นและดูถูกคุณค่าความรักที่เขามีให้กับเธอ  ในเมื่อเธอไม่มีอะไรให้เขาแล้ว เธอก็ไม่มีสิทธิ์ไปให้อะไรกับคนอื่นเหมือนกันดวงตาเขาพร่าไปด้วยโทสะ เกษมเงื้อมือขึ้นสูงฟาดลงบนแก้มนวลผ่องที่เขาเคยหวงแหนและหวงไหลหนักหนาสุดแรง

   ฉาด......เสียงดังสะท้อนทั่วผนังห้องคอนโดฯ หรู เหมือนมันบาดเข้าในความรู้สึกของมาลีพรที่ยืนฟังทั้งสองเถียงกันเพลินไม่ได้คาดคิดมาก่อน  ร่างผอมบอบบางของมาลีปลิวไปตามแรงฟาดถลาล้มไปกระแทกกับขอบโต๊ะกระจกแก้วตรงหน้า

   เพล้ง....... เสียงกระจกแตกบาดความรู้สึกอีกรอบ

   เกษมหน้ามืดไปด้วยความผิดหวังอย่างรุนแรงเขาตามเข้าไปจิกผมของมาลีกระชากเธอกลับเข้ามาตบซ้ำ  ไม่สนหยดเลือดที่กระเซ็นจากใบหน้าที่มีบาดแผลกระจกบาดจะกรเด็นมาถูกเสื้อผ้าของเขา ความรักความแค้นเหมือนเหรียญเดียวกันแต่คนละด้านมันแยกกันไม่ออกเมื่อรู้ว่าเธอทอดทิ้งเขาอย่างไม่ใยดี มันทำลายศักดิ์ศรีและตัวเขาย่อยยับ เธอจะไม่มีวันได้มีความสุขกับการกระทำครั้งนี้เขาไม่ยอม  เกษมตามเข้าไปเค้นคอของมาลีด้วยความหึงหวงจนลืมตัว

   เพล้ง.... เสียงวัตถุทำด้วยแก้วแตกกระจายอีกครั้งดังขึ้นอีกครั้งในห้องนี้

   มาลีพรแขยงมือเมื่อได้ยินเสียงนี้  ร่างของเกษมที่ค่อมร่างของมาลีแข็งทื่ออยู่แค่วินาทีเดียวก็เอนล้มลงทับร่างของมาลีแน่นิ่งเหมือนขอนไม้ล้มดังพล้อกจนน่ากลัวว่าเขาทำให้กระดูกหน้าอกของมาลีแหลกเหลวไปแล้วก้วยน้ำหนักตัวที่มากกว่าเกือบเท่าตัวของเขาที่ทับลงไป ความเงียบที่น่ากลัวเกิดขึ้นมาในห้อง  มาลีพรโยนฐานตุ๊กตาแก้วที่เธอเอามาฟาดใส่หัวของเกษมทิ้งไปดังเปรี้ยงด้วยความตกใจ

   เธอพยายามร้องตะโกนห้ามทั้งสองตั้งแต่เกษมตบหน้ามาลีฉาดแรงแล้ว แต่พวกเขาไม่ฟังเธอ  มาลีพรร้องไห้ออกมา.....ด้วยความตกใจและหวาดกลัว เธอไม่มีทางเลือกคิดอะไรไม่ออกเพื่อช่้วยญาติของเธอจึงคว้าตุ๊กตาแก้วตัวหนักราว ๆ สองกิโลกรัมรูปนางฟ้ากางปีกฟาดลงไปที่หัวของเกษมเพื่อหยุดเขา

   แล้วดูสิเธอหยุดเขาหรือฆ่่าเขาไปแล้วก็ไม่รู้  เธอถลาเข้าไปใกล้ทั้งสองที่นอนอกองทับซ้อนกันเลือดสีแดงฉาดทั้งสองไหลผสมกันนองน่ากลัวจนไม่กล้าแตะต้อง

   "พี่มาลี...พี่มาลี...พี่....เป็นยังไงบ้าง..."  ไม่มีเสียงตอบ

   มาลีนอนนิ่งไม่ไหวติงเลือดเลอะใบหน้าที่เคยขาวผ่องจนน่ากลัวบาดแผลที่หน้าผากแหวะกว้างจนเห็นสีขาวของกระดูก

   มาลีพรผงะด้วยความตกใจ ทั้งสองร่างนิ่งเงียบไม่ไหวติงไม่หายใจตให้ได้ยินเสียง  พวกเขาตามแล้วใช่ไหม  มาลีพรตาเหลือกลนลานถอยห่างออกมา เธอวิ่งไปที่โทรศัพท์ยกขึ้นโทร.ไปแจ้งหนึ่งเก้าหนึ่ง

   "พูดช้า ๆ สิคุณ คุณเป็นใครบอกผมก่อน"  ตำรวจเตือนเสียงนุ่มตามสาย

   "ฉันชื่อมาลี"  มาลีพรตอบไปโดยไม่รู้ตัว

   "เหตุเกิดที่ไหนครับ"  มาลีพรบอกรายละเอียดของที่อยู่

   "แล้วบอกสิครับว่าเกิดอะไรขึ้น"  "พวกเขาทะเลาะกัน"  "ใคร"  "พี่สาวของฉันกับแฟนของเขาพวกเขาทะเลาะกันแล้วตีกันฉันห้ามก็ไม่ฟังเขาตบเธอล้มลง แล้วบีบคอฉันเลยฟาดเขาด้วยตุ๊กตาแก้ว"

   "พวกเขาเป็นยังไงบ้าง"

   "ตาย"  เสียงคำตอบของเธอสะท้อนเข้าหูตนเอง  ดังคล้ายเสียงปืนดังปังจนมาลีพรยืนตัวแข็งทื่อด้วยความสำนึก

   "คุณฆ่าพวกเขาหรือ...."  เสียงร้อนรนของอีกปลายสายเรียกสติของเธอกลับคืนมาให้รีบกระเแทกหูฟังลงกับแป้นด้วยความตกใจ  เธอทำอะไรลงไปกันนี่  มาลีพรตัวสั่งระริกด้วยความหวาดหวั่น  เมื่อมองไปที่ร่างนอนอนิ่งไม่ไหวติงกองทับซ้อนกันแล้วหัวใจเกือบหยุดเต้น

   สามัญสำนึกสัญชาตญาณของการเอาตัวรอดพูดกับเธอทันทีว่า จำคำพูดของตำรวจคนนั้นได้...คุณฆ่าพวกเขาหรือ....ตำรวจคนนั้นคิดว่าเธอฆ่าคนตายอย่างไม่ต้องสงสัยถ้ามีใครมาเห็ฯศพกองทับกันสองศพ  เธอไม่มีอะไรมาพิสูจน์ตัวเองว่าพวกเขาสู้กัน

   ตุ๊กตาแก้วตัวนั้นมี ลายนิ้วมือของเธอเต็มไปหมด ใครจะเชื่อว่าเธอช่วยมาลีในเมื่อมาลีตายไปแล้ว  การช่วยเหลือไม่มีประโยชน์เธอฆ่าคนโดยไม่เจตนาเพื่อช่วยคนที่ตายไปแล้วงั้นรึ  มาลีพรใช้เสื้อเช็ดฐานตุ๊กตาแก้วด้วยน้ำตานองหน้า เธออยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว...ตำรวจอาจจะอยากปิดคดีแบบมั่ว ๆ และไม่เชื่อในสิ่งที่เธอพูดเธอต้องตายแน่  เธอต้องหนี..แต่จะหนีไปไหนล่ะ

   มาลีพรวิ่งเข้าไปในห้องนอนของตนเองคว้ากระเป๋าเสื้อผ้าที่เธอเตรียมเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานนี้ออกมา

   ไปอเมริกา...เสียงบางอย่างพูดกับเธอ

   มันไกล......ไกลมากเลยนะจากเมืองไทย...รีบไปเสียเดี๋ยวนี้ก่อนที่จะมีใครมาเห็นว่าเธออยู่กับศพสองศพนี้ 

   มาลีพรพุ่งเข้าไปในห้องของมาลีเปิดกระเป๋าเอกสารการเดินทางทุกชนิดที่เป็นของเธอพร้อมกับตั๋วเครื่องบิน  นับว่าเป็นโชคที่มาลีมีแผนไล่เธอกลับหลังการแต่งงานแล้วจึงได้จัดการแยกเอกสารการเดินทางทุกชนิดของทั้งสองออกจากกัน  มาลีพรรีบซุกมันลงกระเป๋าสะพายของเธอ ลากกระเป๋าเดินทางออกจากห้องอย่างรวดเร็ว  ด้วยความหวาดกลัวว่าจะไม่ทันเวลาตำรวจอาจจะมาถึงในวินาทีหนึ่งวินาทีใดข้างหน้าก็ได้  วิ่งผ่าเกษมและมาลีไปโดยไม่ทันสังเกตแรงสะอึกนิด ๆ จากร่างที่นอนทับกันวูบหนึ่งของกาการสำลักลมหายใจการคืนสติ

   มาลีพรเรียกแท็กซี่คันแรกได้อย่างรวดเร็ว  รถแท็กซี่คันที่นั่งออกนอกซอยสวนกับรถตำรวจคันใหญ่สองคันที่แล่นสวนเข้ามาในซอยอย่างเฉียดฉิว  เธอหลับตาพนมมือสวดภาวนาให้กับตัวเองด้วยความหวาดเสียว ด้วยหัวใจที่เต้นระริกราวกับมันจะทะลุออกมานอกอกมาลีพรก็ได้ไปนั่งอยู่บนเครื่องบินที่มุ่งหน้าสู่สหรัฐอเมริกาในสามชั่วโมงต่อมา เธอหลัีบตาลงปิดภาพนอกหน้าต่างเครื่องบินที่กลับลำมุ่งตรงสู่ทิศตะวันตกไม่มองกรุงเทพฯยามราตรีที่เบื้องล่าง  เธอบินไปสู่ชีวิตใหม่ที่ตัวเองไม่รู้จักในฐานะเจ้าสาวสวมรอยของมาลี

   ลาก่อนเมืองไทย..................

ตอนที่ 3

   กลิ่นฉุนเหมือนเหม็นเขียวแบบซ่า ๆ ตลบอบอวลเข้ามาแตะจมูกของเขาจนเกือบสำลัก   "อาติโชก...."

   เขาเกลียดอาติโชกเป็นบ้า  แต่ต้องเดินทางไกลเกือบค่อนประเทศไปหามันมาให้กับลุงจักรจอมบงการของเขา

   ศิลาคิดด้วยความฉุนเฉียว  รถของเขาแล่นเข้าเขตถนนยี่สิบหกอีกสักเดี๋ยว  มันก็จะเรียบไปตามขอบเซ็นทรัลปาร์คสุดถนนสายนี้จะเป็นที่ตั้งบ้านของเขา  อากาศเดือนพฤศจิกายนในกรุงนิวยอร์คเริ่มเย็นก่อนวันแท๊งค์กิฟวิ่งมีหวังหิมะตกท่วมถนนสายนี้แน่

   เขาจึงต้องเปิดเครื่องทำความร้อนภายในรถ คิดไม่ถึงเลยว่าหัวอาติโชกที่เขาขนมาจากเทศกาลอาติโชกแห่งชาติที่นิวเจอร์ซี่มันจะขึ้นกลิ่นเมื่อถูกความร้อนจากฮีตเตอร์ทั้งที่มันอยู่ท้ายรถ ความจริงมันรบกวนเขาตั้งแต่เมื่อสามวันก่อนแล้ว  ที่ลุงจักรพี่ชายแท้ของพ่อมาสั่งกับเขาว่า

   "จงไปงานเทศกาลอาติโชกที่นิวเจอร์ซี่ทีสิ"

   "เพื่ออะไรครับ " ศิลายังไม่เข้าใจจึงขอเหตุผล

   "ลุงต้องการอาหารจานเด็ดในวันขอบคุณพระเจ้าปีนี้ในภัตตาคารของเราทำจากหัวอาติโชกดี ๆ เรียกลูกค้า"  จักรพูดหน้าตาเฉยมากจนจับสังเกตไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่

   "อาติโชกเนี่ยนะ..."  ศิลา อุทานอย่างไม่ค่อยเชื่อถือเท่าไรนัก  "ภัตตาคารของพวกเราทั้งห้าแห่งทำแต่อาหารจีนตำรับกวางตุ้งที่ไม่ใส่ส่วนผสมจากอาติโชกสักรายการ เดี๋ยวลุงจำอะไรผิดหรือเปล่าครับ"

   จักร ตีหน้ายักษ์ใส่หลานชายคนเล็ก  "ใช่อาหารจีนไม่ใส่อาติโชก  แต่ฉันจะลองใส่ดูเพื่อเรียกลูกค้า ไอ้หลานชายรู้ไหมว่าเดี๋ยวนี้ลูกค้าของเราที่เข้าร้านมันปนกันระหว่างคนจีนกับคนผิวขาวห้าสิบห้าสิบนะโว้ย"

   "นั่นมันเกี่ยวอะไรกับอาติโชก"  ศิลายังต้องการเหตุผลอยู่ดี

   "ฮึ..ให้คนจีนกินอาหารคนตะวันตกจากอาติโชกมันแปลก ๆ ยังไงไม่รู้น่ะสิ"

    "หมายความว่ายังไง"

   "ฉันคิดเมนูใหม่ให้กับคนจีนที่อยากลองกินหัวอาติโชกแต่ไม่อยากินอาหารแบบตะวันตกน่ะสิ เข้าใจไหม  ไอ้หลานชาย มีลูกค้าของฉันบางคนอยาก กินหัวอาติโชกแต่ไม่อยากกินจากร้านขี้มือไอ้พวกฝรั่งเศสเก๊ ๆ ตามภัตตาคารชื่อม่อง ๆ พวกนั้น"  ศิลา กลอกตามองท้องฟ้าด้วยความเบื่อหน่าย

   ลุงของเขามาอยู่อเมริกาเกือบสามสิบปีแล้วยังพูดภาษาแบบไทย ๆ นินทาคนผิวขาวกว่านิดหน่อยอยู่แบบนี้ไม่เลิก

   "เอาล่ะผมเข้าใจแล้วว่าลุงอยากได้หัวอาติโชกจากนิวเจอร์ซี่ ผมจะสั่งมันเข้ามาในตลาดไทยของเราแล้วลุงไปเอาจากที่นั่นมาได้เลย"  เขายอมตามใจอย่างไม่มีทางเลี่ยงกับเหตุผลสารพัดหว่านล้อมของลุงจนได้

   จักร ส่ายหน้าให้เขาอย่างไม่พอใจ "ฉันสั่้งเองก็ได้ ถ้าฉันจะทำอย่างนั้นทำไมต้องมาสั่งแกไปงานเทศกาลด้วยเล่า"

   "นั่นสิทำไม"  ศิลาคล้อยตามด้วยความสงสัยเหมือนกัน

   "เพราะฉันไม่ไว้ใจแก"   "อะไรนะครับ"   "แกเป็นผู้จัดการตลาดไทย  แต่แกจะสั่งอาหารให้ฉันโดยที่แกไม่มีความรู้เรื่องหัวอาติโชกเลยก็ชุ่ยน่ะสิ"

   ศิลานิ่วหน้าด้วยความไม่พอใจ   "ผมไม่เห็นความจำเป็นที่ผมจะต้องมีความรู้เรื่องผักชนิดนี้  เพื่อสั่งมันก็ได้นี่ครับ ทีเรื่องเนื้อแกะผมยังสั่งมาขายได้  ทั้งที่ไม่ค่อยรู้เรื่องเลยไม่เคยเห็นมีปัญหาลูกค้าไม่เคยบ่น"  จักร ยกมือขึ้นอุดปากหลานชายจน ศิลา ต้องปัดมือของจักรออกวุ่นวายไป

   "ไอ้บ้าซี้ซั้วพูดอย่างนี้ลูกค้ามาได้ยินมีหวังร้ายแกเจ๊งแน่ ฉ้ันขอเตือนให้ฐานะเจ้าของภัตตาคาร...นี่คือความหวังดีนะโว้ยว่าไม่มีลูกค้าคนไหน ชอบใจหรอก ถ้านายไม่รู้จริงเรื่องสินค้า ที่นายเอามาขายถือว่าหลอกลวงประชาชน"  ไม่เข้าท่าเลยเหตุผลของจักรในความคิดของศิลา

   "ของในร้่านตลาดไทยของผมมีเป็นหลายร้อยรายการจนเกือบถึงพันรายการผมว่าลูกค้าของผมไ่ม่คิดมากขนาดนี้หรอก"

   "แต่ฉันจู้จี้โว้ย"  จักร เอ็ดตะโรใส่เขา

   "ฉันเป็นทั้งลูกค้าและผู้ถือหุ้นส่วนในร้านตลาดไทยของแก ฉันขอสั่งแกให้ไปงานเทศกาลอาติโชกที่นิวเจอร์ซี่ไปหาข้อมูลราคาสินค้าที่ดีเยี่ยมที่สุด  และสั่งมันกลับมาให้ฉันทำอาหารสำหรับเทศกาลแท๊งค์กิฟวิ่ง"

   ศิลา หรี่ดวงตามองจักรด้วยสายตาพิจา่รณามากขึ้นอีกนิด  "ลุงมีอะไรที่ปิดบังผมหรือเปล่า  เพราะธรรมดาจะสั่งซื้อของอะไรสักอย่างลุงก็แค่ดูว่าดีกับไม่ดีเท่านั้นไม่เห็นต้องให้ผมขับรถตั้งไกลไปหาไอ้หัวปลีฝรั่งมาให้เลย"  สีหน้าของจักรไม่มีพิรุธเลย

   "ฉันขายสะอาดไม่มีความลับนี่คืองานล้วน ๆ ถ้าแก่ทำให้ไม่ได้ฉันจะไปซื้ออาติโชกจากคนอื่นก็ได้ไม่เห็นต้องง้อให้แกไปเลย"

   "จริงง่ะ"  เขาถาม  เพราะไม่เห็นแววน้อยใจจากแววตาของจักรสักนิด  จักร ตีหน้เศร้าลง

   "ฉันคิดไม่ถึงว่าจะต้องมาขายหน้าร้านคู่แข่งตอนแก่ว่าฉันต้องไปซื้อหัวอาติโชกจากร้านเดียวกันกับมัน  เพราะหลานชายของฉันไม่สั่งมันให้ฉัน"

   "ผมก็บอกสั่งให้ไง"   "แต่แกไม่มีความรู้เรื่องอาติโชก"  จักรหลุดปากออกไปแล้วเกือบกัดลิ้นตัวเอง

   ศิลา  หุบปากฉับเขารู้ความจริงแล้ว  "ความจริงแล้วลุงนั่นล่ะที่ไม่รู้เรื่องหัวอาติโชกใช่ไหม"  จักรยักไหล่อย่างจนมุม

   "ก็ได้...ฉันไม่รู้เรื่องไอ้หัวอาติโชกนี่เลยนอกจากหน้าตามันคล้ายหัวปลีกล้วยสีเขียวและกลีบซ้อน ๆ กันเหมือนดอกบัวพลาสติกถูกไฟลวกจนกลีบมันหุบเข้าไป"  ศิลา อยากจะเกาหัวตัวเองกับสำนวนแบบนี้ของลุงตนเอง

   "ในเมื่อลุงไม่รู้จักมันเลยอย่างนี้ลุงยังคิดที่จะทำอาหารจากมันอีก"

   "ฉันคิดว่าคนเราไม่โง่จนเรียนรู้ด้วยตนเองไม่ได้ก็หาข้อมูลแล้วก้ทำมันเราก็จะชนะมัน"  จักร มีเหตุผลประหลาดแบบชวนเวียนหัวอีกตามเคย

   "งื้นลุงทำไมไม่ไปด้วยตนเองจะได้ข้อมูลได้ราคาและรสชาติที่แท้จริงและอาจจะได้สูตรอาหารที่ทำจากหัวอาติโชกในงานมาด้วย"

   "ถ้าฉันไปได้ฉันจะมาง้อแกยิ่งกว่าง้อเมียฉันรึ"

   "ทำไมก็มีคนทำงานให้ลุงตั้งแยะไป"

   "เมียฉันไม่สบาย"  จักร โพล่งออกไปโดยแอบทำนิ้วไขว่กันเป็นกางเขนสารภาพบาปลับหลังหลานชาย

   "ป้าอริสาเป็นอะไรไปครับ"  "ไม่รู้"  "อ้าว"  "กำลังหาสาเหตุอยู่"

   "ร้ายแรงมาไหมครับ"  ศิลา ชักเป็นห่วงป้าสะใภ้  "บอกแล้วไงไม่รู้"

   "งั้นโครงการนี้เรารอไปก่อนเถอะ"

   "ไม่ได้นะโว้ย"  จักร โวยวายขึ้นมาอีก  "อีกสิบกว่าวันจะแท๊งค์กิฟวิ่ง ฉันจะต้องใช้ของเร็ว ๆ วันนี้"

   "ผมว่า...."    "หมอจะบอกว่าป้าแกเป็นอะไรในอีกสองสามวันฉะนั้นฉันจึงไม่ว่างถ้าจะกรุณาจะช่วยลุงแท้ ๆ ของแกสักครั้งเป็นไร"

   ศิลา พูดไม่ออกไปอึดใจหนึ่งเลย  ในที่สุดเขาก็ต้องรับปากอย่างไม่เต็มใจ เขาพยายามติดต่อพี่ชายแต่อาคมไม่อยู่ไปอีกรัฐพี่สะใภ้ก็พูดหใ้ข้อมูลไม่ได้บิดากับมารดาของเขาดูจะยุ่งกับภัตตาคารทั้งห้าสาขา  ไม่มีใครช่วยเขาได้สักคน....เขาจึงออกเดินทางไปนิวเจอร์ซี่คนเดียว

   มันเป็นงานเทศกาลหัวอาติโชกแห่งชาติที่น่าจะใหญ่ที่สุดในโลกก็ว่าได้มีหัวอาติโชกยักษ์ติดที่หน้างาน  มีอาหารทำจากหัวอาติโชกมากมายหลายชนิดรวมถึงของหวานที่ทำจากเจ้าหัวอาติโชกไปจนถึงไอศกรีมรสอาติโชก  เขาจำใจกินอาหารรสแปลก ๆ และหยิบโบว์ชัวร์ทุกแผ่นที่เกี่่ยวกับอาติโชกกลับมาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้  และคิดไม่ถึงว่าเขาจะซวยยขนาดที่ขาออกจากงานเพื่อกลับบ้านเขาได้รางวัลเป็นหัวอาติโชกสี่ลังใหญ่  พวกเขาจัดการยัดมันใส่ลังพร้อมไปส่งถึงรถผู้โชคดีอย่างที่เขาพูด

   ศิลา คิดว่าคนจัดงานกลัวเขาเอามันไปโยนทิ้งระหว่างทางมากกว่าจึงขนมายัดเยียดมันใส่ท้ายรถเขาอย่างแน่นหนาจนเต็มท้ายรถ  ถ้าขืนเขาหยุดรถบนทางหลวงเพื่อทิ้งมันไปมีหวังถูกตำรวจจับหาว่าทำความสกปรกหรือาอจเคราะห์ร้ายถูกสงสัยว่าเอาศพมาทิ้งข้างถนน เขาจึงจำใจพาเจ้าหัวอาติโชกมากับเขาด้วย  และสาบานในใจว่่าต่อให้ลุงเขาใช้เชฟที่เก่งที่สุดในโลกมาทำอาหารจากผักชนิดนี้เขาจะเอามันไปเททิ้ง

   ศิลา ดึงตัวเองออกมาจากรถที่คลุ้งกลิ่นหัวอาติโชกได้ก็รีบสูดอากาศเข้าในปอดแรง ๆ ไม่สนใจไอเย็นจัดของอากาศรอบตัว ลากกระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็กเดินขึ้นบันไดเจ็ดชั้นไปไขกุญแจเปิดเข้าบ้านด้วยความเคยชินไม่ต้องอาศัยแสงไฟจากที่ใด 

   ดึกขนาดนี้ยิ่งตรงข้ามแมนชั่นของเขาเป็ฯสวนสาธารณะเซ็นทรัลปาร์คที่มีเนื้อที่กว้างขวางถึงแปดร้อยเอเคอร์ไม่ต้องหาแสงสว่างให้เมื่อย  ศิลา ปิดประตูชั้นแรกแล้วไขกุญแจเปิดประตูชั้นในเข้าไปก็เจอบันไดเขาเดินขึ้นไปโดยทิ้งกระเป๋าเสื้อผ้าเอาไว้ที่หน้าห้องรับแขกชั้นล่าง

   หนทางไกลกว่าสามร้อยไมล์ที่เขาขับรถมือเดียวไม่มีใครผลัดเปลี่ยนมันหนักหนามากเขาเมื่อยปวดจนถึงกระดูกไขข้อทุกส่วน  เขาคิดถึงเตียง ฟูกหนาเนื้อนุ่มของเขาที่สุด  พอหมุนลูกบิดประตูห้องนอนของเขาเข้าไปก็งงไปอึดใจหนึ่งกับแสงสลัวจากโคมไฟสีส้มดวงเล็กที่หัวเตียง

   เขาแน่ใจว่าไม่ได้เปิดไฟทิ้งค้างเอาไว้ในวันที่เขาออกไปนิวเจอร์ซี่  แสงจากโคมดวงเล็กส่องให้เห็นร่างคนนอนอยู่บนเตียงชัดเจน เขาเดินเข้าไปใกล้อีกนิด

   ผู้หญิงนอนอยู่บนเตียง....ศิลาอ้าปากหวอ  เส้นผมสีดำแผ่สยายไปบนหมอนไม่เห็นดวงหน้า  แต่ที่ทำให้เขาแน่ใจจนต้องกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ๆ ก็คือเีรียวขา ขาวผ่อง นวลใย ยาวสวยที่โผล่ออกมาจากชายผ้าห่มข้างหนึ่ง มันเรียวสวยเกินกว่าจะเป็นน่องของผู้ชาย 

   พอตั้งสติได้ศิลา เหลียวมองไปรอบตัว  เขาไม่ได้เข้าบ้านผิด  นี่คือบ้านของเขาห้องของเขา เฟอร์นิเจอร์เครื่องเรือนทั้งหมดก็เป็นของเขาที่หาซื้อมาตกแต่งด้วยตนเองทั้งสิ้น ทุกชิ้นในห้องนี้เป็นของเขาหมด......ยกเว้นผู้หญิงผู้หญิงคนนี้ที่นอนอยู่บนเตียง เธอเป็นใครเขาไม่รู้จักแน่  ดูจากเรียวขาสวยที่ไม่คุ้นเลย

   ศิลา เพ่งมองไปที่เตียงอีกครั้งพยายามคิดว่าเธอควรเป็นใครในกลุ่มสาว ๆ ที่เขาเคยมีความสัมพันธ์ด้วยในอดีต ไม่มีใครขาขาวเรียวแบบนี้  ผู้หญิงคนนี้ขาสวย  แต่สั้นกว่าผู้หญิงที่เขาเคยควง เธอเป็นผู้หญิงเอเซียแหงเลย ศิลาเบิกตา พอเธอขยับตัวน้อย ๆ ยังไม่ได้พลิกตัวกลับมาให้เขาได้เห็นหน้าชายเสื้อกีฬาจากทีมฟุตบอลมหาวิทยาลัยของเขาโผล่แพลมออกมาให้เห็น  เขาจำรอยลุ่ยเหมือนหนูแทะของเขาได้ดี ผู้หญิงคนนี้สวมเสื้อกีฬาตัวเก่งของเขาเข้านอน...มันจะมากไปแล้วที่เธอบุกรุกเข้ามาในบ้านของเขานอนเตียงของเขาแล้วยังเอาเสื้อตัวโปรดของเขามาสวมอีก

   ศิลา ตะเบ็งสุดเสียงด้วยควาามโกรธ  "ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ"

ตอนที่ 4

   ชีวิตที่ทุกข์ยาก ดูจะไม่เลวร้ายนัก  ทันทีที่เธอเดินผ่านประตูออกมาจากกองตรวจคนเข้าเมืองของสนามบิน จอห์น เอฟ เคนเนดี้  มีคนมารับด้วยป้ายชื่อว่า มาลี อย่างอบอุ่น

   มาลีพรกล้ำกลืนความละอายเอาไว้เบื้องหลัง เธอไม่มีทางเลือกเมื่อพวกเขากอดจูบแล้วพูดว่าดีใจที่เธอหน้าตาอย่างนี้

   "นี่คือ ลุงฉัตร จำได้ไหม"  ฉัตรแนะนำตัวเอง ด้วยความยินดีแล้วผายมือไปที่สุภาพสตรีที่มากับเขา

   "นี่คือป้าลินดา เมียของลุงเอง"  แล้วมีหนุ่มใหญ่อีกคนยื่นหน้าเข้ามาทัก

   "ผมชื่ออาคมเป็นลูกชายคนโตของพ่อ ฉัตรครับ"  มาลีพรลอบถอนใจที่ไม่ใช่เขาที่ มาลีพรต้องแต่งงานด้วย  เธอยังไม่พร้อมที่จะบอกกับพวกเขาถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับมาลี

   "หลายปีหนูดูสวยกว่าสมัยเด็กมากเลย"  ลินดาทักทายด้วยความยินดี

   "ขอบคุณค่ะ"  มาลีพรตอบด้วยความงุนงงที่มีความยินดีผสมที่ครอบครัวนี้ไม่มีใครเคยพบ มาลี สมัยโตแล้วสักคน

   อาคม ส่งมือมาข้างหน้า "ส่งกระเป๋ามาให้ผมครับ..เราต้องไปกันแล้ว  เพราะค่าจอดรถในสนามบินแพงพอที่ซื้อรถอีสักคันได้สบายเลย" ลินดาจูงมือของมาลีพรด้วยความรักใคร่อย่างจริงใจ

   "ไปเถอะมีคนรอพวกเราอยู่ที่บ้านที่อยากจะเห็นหนูเต็มแก่แล้ว"  บ้านของพวกเขาเป็นแมนชั่นใหญ่ที่มีห้องมากมาย  พวกเขาแนะนำให้เธอรู้จักคุณย่าไฉ่ฝง ที่ดูแข็งแรงเสียงดังเวลาพูดคุยกับจักรและอริสาที่นั้น  เธอจึงได้รู้ว่าอาคมแต่งงานแล้วกับสตรีแสนสวยที่ชื่อว่า ไอรินมีลูกสาวน่ารักคล้ายตุ๊กตาชื่อ พาฝัน  แต่เธอไม่พบ ศิลา ลูกชายคนเล็กของครอบครัวนี้ นั่นทำให้เธอหายใจสะดวกขึ้น

   เธอยังไม่เจอเขา ก็จะไม่มีใครพูดถึงเรื่องแต่งงาน พวกเขาก็ยังต้อนรับให้เธออยู่กับพวกเขาสักพัก  โดยไม่ต้องโกหกมากกว่านี้  "เขาไปหาสินค้ามาเข้าร้านขายของสดให้กับตลาดไทยของพวกเรา"  จักร บอกกับเธอเช่นนั้น

   "อีกหลายวันกว่าเขาจะกลับมา"  ฉัตรเสริมในสิ่งที่พี่ชายของเขาพูดไปแล้วด้วยสีหน้ายิ้มแย้มใจดี  ลินดามาโอบไหล่พาเธอไปยังห้่องพักที่พวกเขาจัดเอาไว้ให้

   "หนูพักอยู่กับพวกเราตามสบายใจ ให้เหมือนเป็นบ้านของหนูเองนะ"  สองสามวันที่เธออาศัยอยู่กับพวกเขาก็สามารถผ่านด้นปัญหาต่าง ๆ ไปได้  เพราะทุกครั้งที่ฉัตรถามถึงงานศพของเพื่อนรักของเขา เธอสามารถเล่าได้ทุกเรื่อง  แม้แต่ชีวิตช่วงสุดท้ายของเดชและนารี พ่อแม่ของมาลีก็เพราะเธออยู่กับพวกเขาเกือบสิบปีและทำงานศพให้กับทั้งสองกับมือ

   สองสามวันผ่านไปจนมาลีพร คิดว่าเธอพอจะทำใจกับเรื่องของมาลี ได้แล้วว่ามันสุดวิสัยและเธอไม่คิดเจตนาทำร้ายเกษม เธออาจจะหาทางอยู่ที่สหรัฐอเมริกาเริ่มต้นชีวิตใหม่ ก็เกิดเรื่องประหลาดในครอบครัวของฉัตร ทุกคนไม่สบายพร้อมกัน...ไม่เว้นแม้แต่พาฝัน

   "อาจจะเป็นไวรัสอะไรสักอย่าง"  ฉัตรบอกกับเธอเสียงจริงจัง

   "หนูจะช่วยพวกคุณยังไงดีคะ"  มาลีพร ละล้าละลังด้วยความเป้นห่วงก็คนทั้งบ้านไม่สบายเธอย่อมต้องห่วงใย ยิ่งเธอดูแข็งแรงดีทั้งที่อาศัยอยู่กับพวกเขาเธอต้องแสดงน้ำใจ

   "ไม่ได้หนู จะอยู่ที่นี่ไม่ได้นะ"  ลินดาพูดเสียงแข็ง  ทำให้มาลีพรหน้าเสีย พวกเขาจะไล่เธอไปอย่างนั้นหรือ....

   "เราจะให้หนูย้ายไปอยู่ที่บ้านของศิลา"  ลินดาพูดขึ้น  "อะไรนะคะ......คุณศิลา หรือคะ"  มาลีพร ตาเหลือก

   "ใช่หนูอยู่ที่นี่ไม่ได้......มันไม่ปลอดภัย อาจจะทำให้หนูติดเชื้อโรค จากพวกเราก็ได้ ไปอยู่ ที่อื่นสักพักจนกว่าพวกเราหายแล้วหนูค่อยกลับมาใหม่"   ฉัตรให้เหตุผลที่เข้มแข็งจริงจัง เธอพยายามมองสำรวจท่านทั้งสอง  ยังไม่เห็นอาการเจ็บปวดหรือซีดเซียวร่วงโรยใด ๆ ของอาการเจ็บป่วยจึงเสนอตัว

   "ให้หนูอยู่พยาบาลพวกคุณดีกว่า ไม่สบายตั้งหลายคน ยิ่งต้องการคนช่วย"

   "ไม่ต้องเกรงใจหรอก"  ลินดาโบกมือห้าม เธอพูด "หนูไม่ควรอยู่ที่นี่"

   "แต่คุณศิลา"  เธอไม่แน่ใจสักอย่างเดียว ไม่รู้จักเขาไม่เคยพบเขาไม่รู้ว่าเขาจะใจดีกับเธอเหมือนคนในครอบครัวของเธอหรือไม่ ฉัตรโบกมืออีกคน

   "โอ๊ย......ไม่ต้องห่วงเรื่องนายศิลาหรอก...ป่านนี้ยังอยู่ที่นิวเจอร์ซี่ โน่นแน่ะและไม่ต้องเกรงใจด้วย  บ้านนั้นไม่มีใครอยู่กับเขาด้วย ไปอยู่ได้สบายใจ"

   แล้วพวกเขาจับเธอใส่รถพร้อมข้าวของมาส่งเธอที่แมนชั่นหลังเกือบสุดถนนเรียบเซ็นทรัลปาร์ค

   อาคมไขกุญแจเปิดประตูบ้านให้กับเธอ เมื่อเกือบพลบค่ำ  "เปิดดูบ้านได้ตามสบายแล้วเลือกใช้ของใช้กับห้องนอนได้ ตามสบายใจชอบ  เพราะน้องชายของผมไม่ใช่คนขี้งก ยิ่งรู้ว่าเป็นคุณเขาจะไม่บ่นเลยครับ"  แล้วอาคมก็จากไปอย่างรวดเร็ว

   มาลีพร ลากกระเป๋าใบเล็กของเธอ เข้าไปในบ้านคนเดียวคลำหาสวิตซ์ เปิดไฟฟ้าในบ้านชั้นล่างมีห้องนั่งเล่น  ห้องรับแขกและห้องกินข้าวคล้ายแมนชั่นของครอบครัวของฉัตร แต่ตกแต่งทันสมัยกว่าใหม่กว่ามีครัวทันสมัยตู้แช่ขนาดใหญ่ที่มีอาหารเพียบราวกับรอเจ้าของบ้านกลับมากินมันตลอดเวลา ไม่เหมือนอย่างที่ครอบครัวเขาพูดว่า เขาออกไปอีกเมืองหลายวันแล้ว

   เธอเดินย้อนกลับออกมา เดินขึ้นบันไดไปชั้นสองของแมนชั่นห้องนี้  ห้องแรกที่เปิดหน้าต่างออกไปเห็นสวน เซ็นทรัลปาร์ค ที่อยู่อีกฟากของถนนคือ ห้องนอนใหญ่ ตกแต่งเรียบร้อยมีเตียงฟูกหนาใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อว่าจะนอนคนเดียว  เธอจึงเดินกลับออกมาพร้อมกับกระเป๋าของตัวเอง

   "นี่คือห้องนอนเจ้าของบ้าน อย่างไม่ต้องสงสัย"  เธองึมงำกับตัวเอง  "เราน่าจะลองไปหาห้องใหม่นอน ถ้าเกิดเจ้าของบ้านกลับมาจะได้ไม่โกรธเรา"  ห้องถัดไปในช้นเดียวกันเป็นห้องทำงานที่ใหม่เอี่ยมทันสมัย โต๊ะทำงานเหล็กดัด กรุกระจำชุบโคเมี่ยม มันวาว วางคอมพิวเตอร์เปิดเครื่องรับเอาไว้ ไม่แปลก เพราะเจ้าของบ้าน คงเปิดรับข่าวสาร เห็นได้จากมีจดหมายทางไอทีมารอ อยู่สองฉบับสามวันแล้ว

   ห้องนี้เขาคงไม่อนุญาติให้นอนอย่างไม่ต้องสงสัย เธอจึงออกมาปรตูถัดไปเป็นห้องน้ำเล็ำก ๆ ไม่ใหญ่เท่าห้องน้ำในห้องเมื่อครู่ที่เธอเข้าไปสำรวจมาแล้ว

   "บ้านแบบนี้ชายโสดสนิทแหง ๆ " เธอวิจารณ์  แต่ก็อดออกปากชมไม่ได้ "แต่คงเจ้าระเบียบ  เพราะบ้านสะอาดเนี้ยบไม่มีรอยฝุ่นสักนิดเดียว"

   เธอทิ้งกรเป๋าเอาไว้ที่ชั้นนี้แล้วเดินขึ้นบันไดไปชั้นที่สาม  ชั้นนี้มีสองห้องแบ่งแบบชั้นสองเหมือนกันเปี๊ยบแต่แตกต่างโดยสิ้นเชิง ทั้งสองห้องว่างเปล่า ไม่มีอะไรสักอย่างแม้แต่ผ้าม่าน  พอมาถึงชั้นนี้ เธอรู้สึกเย็น ๆ  เพราะมันไม่มีเครื่องทำความร้อนนั่นเอง

   "เขาจะตกแต่งทำไม ในเมื่อเขาอยู่คนเดียว อย่างที่พ่อของเขาบอก"  ด้วยความอยากรู้เธอเดินขึ้นไปอีกชั้น จึงพบว่า มีห้องนอน ห้องเล็ก ๆ อยู่อีกหนึ่งห้อง มีเตียงกับเก้าอี้และตู้เสื้อผ้าหนึ่งใบ  ไม่ได้ปูผ้าปูเตียงและตู้ก็ว่างเหล่าแสดงว่าไม่มีใครใช้งานมาก่อนไม่มีห้องน้ำ มีหน้าต่างบานเล็ก ๆ ที่เปิดออกสู่ระเบียงดาดฟ้า เธอเปิดประตูออกไป อากาศหนาวเหน็บของเดือนพฤศจิกายนกรูกันเข้ามาแทงผิว  แต่เธออยากเห็นอะไรข้างนอกก่อนที่ฟ้ามันจะมืดกว่านี้จึงรีบปิดประตูเดินไปชะโงกมองออกไป

   เซ็นทรัลปาร์ค อยู่ข้างนอกเต็มสองตาในเงาตะคุ่ม ๆ ของพลบค่ำ แสงไฟจากรถและโคมไฟถนนหน้าบ้านส่องให้เห็นการเคลื่อนไหวของผู้คนยามค่ำคืนข้างล่าง ก็เป็นมุมแปลกตาอีกอย่าง

   ลมเย็น ๆ พักมาอีกวูบ  มาลีพร หนาวจนสะท้าน ยืนอ้อยอิ่งอีกต่อไปไม่ไหวรีบเดินกลับเข้ามาภายในบ้านลงมาชั้นสองอีกครั้ง  ท้องเริ่มร้องเตือนว่าต้องการอาหารเธอจึงเดินกลับลงไปที่ครัว ในตู้มีอาหารแช่แข็งสำเร็จรูปแบบ ทีวีิดินเนอร์ หลากหลายชนิดเธอจึงเลือก ผัดมักกะโรนีกุ้ง ออกมากล่องหนึ่งฉีกซองพลาสติกใสโดยไม่ฉีกกระดาษไข  ที่หุ้มชั้นบนออกไป วางในเตาไมโคเวฟตั้งเวลาตามฉลากที่บอกข้างกล่อง รอมันอุ่นให้ร้อน

   "มิน่า คนบ้านนั้นจึงพามาส่งโดยไม่ให้เตรียมอะไรมาด้วย  เพราะคงรู้ว่าลูกชายของพวกเขาสะสมอาหารไว้เต็มตู้อย่างกับกลัวฉุกเฉิน ภัยพิบัติ แล้วออกไปซื้ออะไรกินไม่ได้ทั้งที่อยู่คนเดียวอย่างนี้หรือเขาเป็นโรคขี้ระแวงกลัวอดยากนะ"  เธอนินทาเจ้าของบ้านอย่างนึกขำกับของที่เห็นมากมายอย่างนี้

   เสียงเครื่องอุ่นอาหาร ดังเรียกให้เธอรู้ว่ามันเรียบร้อยแล้ว เธอจึงดึงมันออกมาจากเตาแล้วไปหาช้อนมา มีขวดเหล้าองุ่นแดงเปิดเอาไว้ครึ่งขวดบนเคาน์เตอร์ ด้วยความลำพองว่าอยู่คนเดียวและเจ้าของบ้่านไม่อยู่ จึงคว้ามันมารินใส่แก้วดื่มไปสองแก้วเต็ม ๆ ระหว่าง กินมักกะโรนีผัดกุ้งรสชาติมันเลี่ยน ๆ หลังจากทำความสะอาดเรียบร้อย ก็ต้องคิดถึงที่หลับที่นอนกันต่อ

   "แล้วฉันจะนอนยังไงดีล่ะ"  มาลีพร ปิดไฟห้องครัวห้องรับแขกเดินกลับขึ้นไปชั้นสองอีกครั้ง

   "ครั้งแรกคิดว่าจะไม่นอนในห้องเจ้าของบ้าน  เพราะยังไม่ได้รับอนุญาติ แต่บ้านนี้ไม่มีที่ไหนที่จะซุกหัวนอนได้"  เธอเหลียวมองไปรอบห้องสีเทาสลับดำและเหล็กโคเมี่ยมมันวาวของเครื่องเรือนในห้องนี้  ในที่สุดต้องตัดสินใจ

   "เอาล่ะ...ฉันคงต้องละเมิดความเป็นส่วนตัวของเจ้าของบ้านอีกเรื่อง  หลังจากกินอาหารกับเหล้าของเขาไปแล้วหนึ่งมื้อ"  เธอพูดกับตัวเอง แล้วยิ้มนิด ๆ คล้ายหยันตัวเอง  " ยังมีอะไรที่ฉันยังไม่เคยทำอีกเล่า..."  เธอเปิดกระเป๋าเสื้อผ้าออกหยิบข้าวของเครื่องใช้ออกมา

   "ไม่มีชุดนอน"  เป็นเพราะการขนย้ายอย่างเร่งรีบเธอลืมชุดนอน  เมื่อเหลียวไปมองรอบห้องสายตาปะทะกับตู้เสื้อผ้าริมผนังไม่มีอะไรห้ามได้อยู่แล้ว เจ้าของก็ไม่อยู่.....ญาติของเขาก็อนุญาติให้หยิบของใช้ได้ตามใจชอบ

   "น่าประหลาดจริง ๆ เลย" เธอบ่นอุบอิบ  "เขาเอาชุดนอนไปเก็บไว้ที่ไหนนะ..ลิ้นชักทั้งหกอันไม่มี.....มีแต่ถุงเท้ากับชุดชั้นในแล้วก็ชุดชั้นใน...เขาต้องเป็นผู้ชายที่มีชุดชั้นในเยอะที่สุดในโลกแน่ ดูสิมีแต่ชุดชั้นใน"  เธอหาจนอ่อนใจก็หาไม่พบจึงกรีดเสื้อที่เรียงกันเป็นตับบนราว เขามีเสื้อขาวสีเดียวเยอะที่สุดกับเสื้อสูทอีกนับสิบตัว

   "ไม่ยักรู้ว่า  ผู้ชายก็ช่างแต่งตัวเหมือนกัน"  "เสื้อผ้าเขาดี ๆ ทั้งนั้นเลย เฮ้อ...อืมม์..."  เธอกลัวว่าตนเองจะทำเสื้อผ้าของคนอื่นเสียไป  กำลังจะเปลี่ยนใจอยู่แล้วก็เจอเสื้อยืดปักตัวอักษร จี ดับเบิ้ลยู สีน้ำเงินแก่ เก่าตัวหนึ่ง

   "โอ้โฮ....... เขาเป็นศิษย์เก่าจอร์ท วอชิงตัน ยูนิเวอร์ซิตตี้ เชียวนะนี่...เอาตัวนี้แหละ" เธอตัดสินใจทันทีด้วยความพอใจเป็นส่วนตัว ก็เธอเป็นปลื้มมหาวิทยาลัยใหญ่ ๆ อย่างนี้มานานแล้ว อย่างเธอชาตินี้ไม่มีวาสนาจะได้เรียน  วันนี้ก็ขอได้สวมเสื้อกีฬาของเขาสักนิด ให้มีโอกาสฝันแล้วแสนสบาย เธอนอนหลับไปโดยไม่ได้ฝันถึงสิ่งใด นานเท่าไรไม่รู้........จนได้ยินเสียงผู้ชายตะโกนเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงนิวยอร์คลั่นแก้วหู

   "ลุกขึ้นมาเดียวนี้นะ"

ตอนที่ 5

   ศิลา ไม่รู้ว่าเขาควรจะทำอย่างไรต่อไปดี ระหว่างความโกรธที่เขารู้สึกเมื่อวินาทีที่แล้วกับความชื่นชมยินดี หรือไม่ก็เป็นบ้าไปเลย  ผู้หญิงที่ดีดตัวผวาลุกขึ้นจากที่นอน ของเขามานั่งตัวตรง เบิกตามาองเขาเขม็ง เป็นแบบทดสอบของพญามารอย่างไม่ต้องสงสัย   เพราะพระเจ้าจะไม่ส่งผู้หญิงที่สวยขนาดนี้มานอนบนเตียงของเขาหรอก

   ผมสาวสวยฟูฟ่องเต็มบ่าทั้งสอง ล้อมกรอบใบหน้ารูปหัวใจน่ารักนกัหนา ขับดวงตาโตกลม จมูกแหลมสูงเชิด  แสดงความเป็นคนรั้นรับกับปากอิ่ม ได้รูปสวยสีชมพูวาวด้วยสุขภาพดี น่าจูบเหลือเกิน น่าจูบ...งั้นรึ....

   ศิลา ขมวดคิ้วด้วยความโกรธอีกครั้ง เขาไม่รู้จักชื่อ ด้วยซ้ำไป..... มาลีพร นั่งนิ่ง เบิกตามองผู้ชายตัวสูงที่ยืนหน้าถมึงทึงในชุดสูทนักธุรกิจยังสวมเสื้อโค้ทกันหนาวอีกชั้นในสภาพยับย่น

   "คุณเป็นใคร"  คำถามของเธอทำให้ศิลา เบิกตา  เธอพูดภาษาพ่อแม่ของเขา...ใช่เธอพูดภาษาไทยเป็นภาษาของเขาด้วย  เขาจึงขึงตาให้เธอ

   "คุณต่างหากที่ควรบอกผมว่าคุณเป็นใคร  ทำไมจึงมานอนอยู่บนเตียงของผมอย่างนี้"  เธออ้าปากค้างตะลึง

   อย่างน้อยดีกว่าให้เธอร้องกรี๊ด ๆ แบบสาวขี้ตกใจทั่วไปที่เห็นผู้ชายในห้องอีกคน  แม้จะไม่ใช่ห้องของเธอก็ตาม

   "คุณคือเจ้าของบ้าน...."  มาลีพร พูดเสียงสำลักลมหายใจ  "คุณศิลา " คราวนี้เขาหน้าบึ่งเลย

   "คุณรู้จักผม..."  "ก็พ่อแม่..คุณลุงคุณป้ากับพี่ชายพี่สะใภ้  แล้วก็ย่าไฉ่ฝ่ง พูดถึงคุณตลอดสามวัน  ตั้งแต่ฉันมาถึงนิวยอร์คพวกเขาพูดถึงแต่คุณ"  เขาหรี่ตามองเธอด้วยสายตาพิจารณามากขึ้น เห็นแต่เพียงผู้หญิงหน้าเซ็กซี่มาก ๆ สวมเสื้อกีฬาเก่าของเขาบนเตียงที่เธอนั่งพับขาเท่านั้นเอง ก็เขาไม่ได้มีญาณวิเศษที่หยั่งรู้อะไรนี่  แต่เขาต้องระวังตัวเธอเป็นคนเแปลกหน้า

   "คุณมาจากไหน"   "เมืองไทย"  แหงอยู่แล้วก็เธอพูดไทยออกชัดแจ๋วเลย  "ใครพาคุณมา"  ศิลา พยายามหาข้อมูล

   "ฉันมาด้วยตัวเองคนเดียว"  ไม่ทำให้เขารู้เลยว่าเธอเป็นใคร  "มาเที่ยวอเมริการึ"  เขาเลือกคำถามใหม่

   "ไม่...มีสองเรื่องที่ฉันต้องทำที่นี่"  "ทำงานหรือเรียนถ้าไม่เที่ยว"  มันจะแคบเข้ามาอีกนิด

   "ความตั้งใจของฉันอยากจะเรียน  ก่อนที่จะหางานทำที่นี่เพื่อจะได้ไม่ลำบาก ถ้าฉันจะต้องอยู่ที่นี่ แต่พ่อคุณบอกว่าง่ายมากสำหรับแผนนี้พวกท่านช่วยฉันคิดเอาไว้ว่าจะสมัครสอบเข้าเรียนที่ไหน"  มาเรียน...แต่เขายังไม่เข้าใจอยู่ดีว่า ทำไมเธอจึงมาอยู่ที่บ้านของเขา

   "คุณพักที่ไหน..เมื่อสามวันก่อน"   "ที่แมนชั่นของครอบครัวคุณสิคะ  ฉันจึงรู้จักญาติพี่น้องของคุณหมดทุกคนไง"

   "แล้วเกิดอะไรขึ้นคุณจึงย้ายมาอยู่ที่นี่"  ศิลา เข้าเรื่องในที่สุด  "พ่อแม่ของคุณ ล้มป่วยอย่างกะทันหัน"  ศิลา ไหวตัว "ไม่สบายงั้นหรือ"

   "ไม่ต้องตกใจไปหรอกค่ะ พวกท่าไม่ได้ป่วยหนักมาก"  "คุณรู้ได้ยังไง"  "พวกท่านบอกฉันเองว่านอนพักในบ้านตามที่หมอสั่งก็จะหายในอีกไม่ช้า"  ศิลา

คิดว่ามันแปลก ๆ  "คุณลุงคุณป้าของคุณพวกท่านก็ไม่สบายด้วย  คุณย่าไฉ่ฝ่ง ก็มีอาการไอนิด ๆ ไม่อนุญาติให้ฉ้นเข้าใกล้"  มันน่าคิด..ศิลามองเธอด้วยความสงสัย

   "แล้วพี่ชายผมล่ะ"   "ฉันก็ได้รับรู้มาว่าพวกเขาก็ไม่สบายเหมือนกัน บอกให้ฉันมาอยู่บ้านคุณ  สักระยะหนึ่งรอจนพวกเขาหายดีแล้ว ค่อยกลับไปอยู่ร่วมบ้านกับพวกเขาอีกเพื่อกันการติดต่อของโรค"

   "โรครวมหัวน่ะสิ"  ศิลา งึมงำในลำคอ  "คุณว่าอะไรนะคะ ฉันฟังไม่ถนัด"  มาลีพร ถามเขาตามตรง  แต่ศิลา ตั้งคำถามกับเธอแทนคำตอบ

   "ใครเป็ฯคนสั่งให้คุณมา"    "พ่อของคุณ"  "คงต้องมีลุงจักรกับพี่คมด้วย ใช่ไหมเวลาที่พวกเขาสั่งคุณ"  "ใช่คุณรู้ได้ยังไงคะ"

   ครอบครัวเขารวมตัวกันแข็งแรงขนาดนี้เพื่อทำอะไรกันแน่ ศิลา คิดอย่างไตร่ตรองมากขึ้น พวกเขาต้องมีแผนอะไรสักอย่างกับเขาไม่ต้องสงสัยเลยที่ทำแบบนี้ พวกเขาสุขภาพแข็งแรง ยิ่งกว่าแม่วัว  อย่าว่าแต่ไม่สบายเลยยังไม่เคยหยุดงานร้ายอาหาร, ปั๊มน้ำมันสักวันเดียว  มีรึมาร่วมใจกันไม่สบายพร้อมกันไม่กลัวกระทรวงสาธารณสุขนิวยอร์คจะประกาศให้บ้านพ่อของเขาเป็นเขตโรคระบาดที่มีคนป่วยด้่วยโรคลึกลับพร้อมกันหลายคน

   มันน่าสงสัย ตั้งแต่ลุงจักรบอกว่าป้าสะใภ้ของเขาป่วย ด้วยโรคที่ไม่รู้จัก ว่าแต่มันต้องเกี่ยวกับสาวน้อยหน้าตาสวย จนชวนตะลึงคนนี้ด้วยแน่

   "ความจริงฉันอยากขออยู่รับใช้พวกท่าน  อย่างน้อยฉันก็เคยฝึกดูแลผู้ป่วยมาบ้าง  สมัยอยู่เมืองไทย แต่พ่อแม่คะณไม่ยอมยิ่งลุงจักรยิ่งไม่ยอมฟังฉันเลย" เธอถอนใจอย่างกลัดกลุ้ม  แต่ทำไมเขาจึงรู้สึกว่าเสียงถอนใจของเธอมันน่าฟังได้นะ

   "ฉันพยายามจะพูดให้พวกท่านเปลี่ยนใจยอมรับให้ฉันอยู่ที่บ้านนั้น เพื่อดูแลพวกเขาทุำกคน แต่ไม่สำเร็จ"  เธอยิ้มให้เขาอย่างเอาใจ  แต่คุณพระช่วย  รอยยิ้มของเธอทำให้หัวใจเขาแกว่งไกว มันเหมืือนโรคระบาดด้วย  ที่ทำให้เขาต้องยิ้มตอบเธอ

   "ไม่มีใครเถียงชนะพ่อกับลุงของผมหรอก"  เขาคล้อยตามด้วยการยอมรับความจริงที่เขาเองก็รู้จักมาตลอดชีวิต

   "พวกเขาพอคุณมาส่ง ให้กุญแจคุณเข้ามาใช่ไหม"   "ใช่ค่ะ... พี่คมบอกว่าคุณยังอยู่ที่นิวเจอร์ซี่อีกหลายวัน ให้ฉันอยู่ที่นี่ไปก่อนจนกว่า พวกเขาจะอาการดีขึ้น  ค่อยย้ายกลับไปอยู่ที่บ้านของพ่อแม่คุณอีกครั้ง"  คิดว่าคงไม่ใช่เร็ว ๆ นี้หรอก.. ศิลา คิดต่อในใจอย่างเข่นเขี้ยว  เธอมองหน้าบึ้งตึงของเขาด้วยความรู้สึกผิด

   "ฉันไม่อยากเป็นตัวสร้างความลำบากใจให้กับคุณ"  เธอกำลังบีบมือตัวเองไปมาให้เขาเห็น ศิลา รู้ว่าเขาทำให้เธอลำบากใจมากกว่า รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเมื่อรู้เช่นนี้

   "ฉันควรจะรีบย้ายออกไปใช่ไหม  เพราะว่าคุณกลับมาแล้ว"  พูดแล้วเธอพยายามปัดผ้าห่มที่คลุมอยู่เกือบทั้งตัวออก ก้าวขาลงจากเตียง ศิลา รีบยกมือขึ้นห้าม แล้วหลับตาของเขาแน่น

  "หยุดเลยไม่ต้องลงมา"  แค่เธอนั่งอยู่บนเตียง ก็เซ็กซี่จะแย่อยู่แล้วกับผมฟู ๆ ล้อมหน้าเธอ นี่ดันก้าวลงจากเตียงอวดขาเรียวขาวผ่องยวนตา เธอจะทำให้เขาหัวใจวายหรือยังไง เสื้อกีฬาตัวเก่าของเขาไม่ได้ใหญ่โตนักมันยาวแค่คุมต้นขา เธอลงมาหน่อยเดียวเท่านั้น เธอยืนอยู่เคียงข้างเตียง มองท่าทีเหมือนคนจะเป็นลมของเขาอย่างไม่เข้าใจนัก

   "คุณไม่สบายหรือคะ"  เขาส่ายหน้า ชี้เธอโดยไม่ได้ลืมตามอง  "กลับขึ้นไปนอนบนเตียงเดี๋ยวนี้" เขาสั่งเสียงขรึม

   เธอทำตามเขาสั่งอย่างว่าง่ายไม่ได้นอนลงแค่นั่งลงที่เดิม แล้วดึงผ้ามาคลุมขาเอาไว้อย่างเดิม    "ฉันคิดว่าตัวเองควรไปเท่านั้นไม่ได้อยากรบกวนคุณอีก"  เธอพูดเสียงอ่อยเขาจึงยอมหันกลับมามองเธอ  "คุณจะไปอยู่ที่ไหน ในเมื่อกลับไปที่บ้านพ่อของผมก็ไม่ได้แล้ว" 

   "ฉันอาจจะไปหาห้องพักหรือเช่าโรงแรมสักแห่งได้ แถว ๆ นี้สักสองสามวัน  จนกว่าครอบครัวของคุณจะหายดีแล้ว  ฉันจะกลับไปอยู่กับพวกเขา"

  "บ้าน่ะสิ..ถ้าทำอย่างนั้น"   "ฉันเพียงแต่คิด..."  เธอไม่เข้าใจว่าทำไม เขาจึงโกรธ เรื่องเธอย้ายออกไปในเมื่อเขาควรโกรธในเรื่องที่เธอ ย้ายเข้ามามากกว่าหรือว่าเขาคิดสับสนปนเปไปแล้ว

   "ไม่ต้องคิดเลย ถ้าพวกพ่อแม่ผมอยากให้คุณทำอย่างนี้ พวกเขาก็พาคุณไปส่งที่โรงแรมที่ไหนสักแห่งนานแล้ว ไม่ส่งคุณให้มาอยู่ที่บ้านผมหรอก"

   "แต่คุณกลับมาแล้ว"   "แล้วยังไง มันไม่เปลี่ยนอะไรไปหรอกนอกจากคุณต้องเป็นความรับผิดชอบของผมอย่างที่พวกครอบครัวของผมต้องการต่อไปน่ะสิ"  ฟังก็รู้ว่าเขาไม่เต็มใจ "ฉันคิดว่า.."

  "หยุดคิดเถอะ.." ศิลา เอ็ดเบา ๆ เขาเหลียวไปมองนาฬิกาที่หัวเตียง  "เกือบตีหนึ่งแล้วมันดึกเกินกว่าจะท่อม ๆ ตระเวนไปหาที่พักใหม่หรือมแ้แต่จะกลับไปที่บ้านพ่อแม่ของผมด้วยซ้ำไป คุณนอนเถอะเช้าเราค่อยคิดกันใหม่"

   "แล้วคุณจะนอนที่ไหนล่ะคะ"  มันเป็นคำไล่ให้เขาไปที่อื่นไม่ใช่คำเชิญให้เขานอนในเตียงของตัวเองกับเธอหรอก ศิลาคิด เพราะเห็นมันในแววตาระแวงของเธอ

    "ที่นี่บ้านใหญ่เดินไม่ชนกันด้วยซ้ำ ถ้าจะทำกิจกรรมอะไร ผมจะไปหาที่นอนที่อื่น คุณนอนต่อไปที่นี่เถอะไม่ต้องย้่ายไปไหนให้เสียความอบอุ่นบนเตียงไป"

   "แต่ไม่มีเตียงในห้องไหนเลยนี่คะ"  หลุดปากออกไปแล้วเธอจึงรู้สึกว่าไม่เหมาะสม เขาอาจจะเข้าใจผิดว่าเธอเชิญให้เขามาร่วมเตียงกับเธอ  แต่เขาเข้าใจเรื่องอื่นมากกว่า

   "คุณสำรวจบ้านผมหมดแล้วสิจึงรู้ว่ามันมีแต่เตียงเดียว"

   "แฮะ.....ก็.......ฉันไม่มีอะไรทำไม่มีใครคอยห้ามนี่คะ...แล้วก็ยังเอามักกะโรนีผัดกุ้งของคุณออกมากินไปกล่องหนึ่งด้วยค่ะ"  เธอเว้นไม่บอกว่ามีเหล้าไวน์แดงอีกสองแก้วด้วย

   "ฉันขอโทษค่ะ"  ศิลา หุบปากลง คิดว่าตัวเองคงแสดงความงกให้เธอเห็นจึงคิดว่าเขาต้องไม่ยอมจะอธิบายว่าเขาฉงนใจเท่านั้นในที่สุดก็เปลี่ยนใจ

   "ช่างเถอะ......ผมเพียงแต่อยากบอกว่าผมจะไนอน ที่ห้องทำงานมีเตียงที่ดึงออกมาจาผนังกางนอนได้เท่านั้น"

   "หรือคุณอยากให้ฉันย้ายไปนอนที่นั่น"

   "ไม่ต้องเลย คุณนอนที่นี่ต่อไปเถอะเลิกคิดอะไรทั้งสิ้นจนกว่าจะเช้าได้ไหม"  คราวนี้เขาโมโหจริง ๆ แน่  เธอจึงไม่โต้เถียงเขาอีก

   ศิลา พเยิดหน้าให้เธอแล้วเดินไปที่ประตูแล้วคิดขึ้นไ้ด้หันกลับมามองเธออีกครั้ง  "ผมลืมไป....คุณยังไม่ได้บอกชื่อผมเลยว่าคุณชื่ออะไร"

   "ฉันมาลี.....พ.....เอ่อ......ฉันชื่อมาลีค่ะ"  เธอตัดสินใจ  ไม่บอกชื่อจริงของเธอให้เขารู้ ยัง...มันยังไม่ใช่เวลานี้

   ศิลา ขมวดคิด้วกับความคุ้นเคยว่าเขาได้ยินใครสักคนเอ่ยชื่อ มาลี หรืออะไรสักอย่างนี้เมื่อเดือนที่แล้ว  เขามองเธออย่างครุ่นคิด

   "คุณเป็นคนตรงไปตรงมาใช่ไหมมาลี"   "ใช่ค่ะ  คุณอยากให้ฉันไม่มีอะไรปิดบังคุณใช่ไหมคะ"

   "ใช่....ผมจำได้ที่คุณพูดว่ามีเหตุผลสองข้อ ของการมานิวยอร์ค บอกได้ไหมว่าข้อสุดท้ายคืออะไร"

   "ฉันจะพยายามเป็นคนตรงไปตรงมาไม่มีความลับกับคุณ  แต่พ่อคุณแนะนำฉันว่าฉันไม่ควรบอกกับคุณแต่คุณยืนกรานอยากรู้จริง ๆ แล้วฉันก็บอกว่าฉันจะตรงไปตรงมากับคุณ"

   "แน่นอน"  ศิลาพยายามมีความอดทนกับเรื่องนี้

   "ฉันมานิวยอร์คเพื่อมาแต่งงานกับคุณค่ะ"

ตอนที่ 6

   ตลอดคืนนั้น ศิลานอนไม่หลับทั้งที่เขาตรากตรำกับการขับรถ ข้ามรัฐมาจากนิวเจอร์ซี่หลายชั่วโมง เขาโกรธมากจนอยากบีบคอใครสักคน ไม่ใช่สิ หลายคนอาจเป็นประเด็นสังหารหมู่ได้ในที่สุด นึกเคืองตัีวเองที่ไปถามมาลี ถึงเหตุผลข้อสุดท้ายของเธอ อย่างน้อยน่าจะเก็บเอาไว้สักคืนหลังจากนอนหลับเอาแรงฟื้นคืนกลับซะก่อน  คนในครอบครัวเขาน่ะ เล่นด้วยยากจะตายไปยิ่งพวกเขารวมตัวกันมีหวังจับเขามัดเหมือนเป็ดปักกิ่งในภัตตาคารของครอบครัวย่างเขาสบายแฮไป

   แค่หลับตาก็สยองแล้วกับคำว่าแต่งงาน พ่อแม่เขาไม่ยอมเข้าใจบ้างเลยว่า ผู้ชายอเมริกันหวงความโสดยิ่งกว่าชีวิตตายซะจะดีกว่าแต่งงาน คิดแล้ว ศิลา นิ่วหน้ากับคำพูดนี้ นี่ไงตายอย่างไม่น่าสงสัยเลยจริงแล้วคราวนี้ ครอบครัวเขาอิมปอร์ตสาวน้อยมาจากประเทศไทยให้เขาถึงที่เลย

   "เทศกาลหัวอาติโชก...โกหกทั้งเพ"  ศิลา งึมงำด้วยความหัวเสียเดินไปเดินมาในห้องทำงาน  "หลอกไล่ให้ไปไกล ๆ จะได้ไม่รู้เห็นเมื่อพวกเขาพาหล่อนมา"  คราวนี้พ่อเขาทำเกินไปแล้ว

    มาลี สวยกว่าผู้หญิงทั้งหมดที่เขาควงมาในชีวิตเลย มีหวังให้เขาดิ้นไม่หลุดอย่างไม่ต้องสงสัย มิน่าเขาจึงคุ้นหูชื่อ มาลี พ่อไปตื้อเขาที่ตลาดไทยในวันที่เขายุ่งสุด ๆ กับงานพูดเรื่องงานแต่งงานแล้วเริ่มกัดไม่ปล่อยรุกเร้าให้เขาหาภรรยาสักคน

   "แกอายุสามสิบแล้ว....ตอนทีี่พี่ชายของแกอายุเท่านี้มียัยพาฝัน ให้พ่ออุ้มแล้ว"  ฉัตรโวยวายใส่หลังเขา  ศิลา แกล้งทำเป็นไม่ร้ับฟังเดินไปตามชั้นเก็บสินค้าอาหารสั่งเข้าทั้งของสดของแห้ง ที่ถูกเรียงเป็นระเบีียบหลายชั้นกว่าสิบเมตรจนต้องใช้เครนขนาดเล็กมายก เวลาต้องการสินค้าที่อยู่ชั้นบนสุด

   "ถ้าพ่ออยากมีหลานอีกสักคนก็บอก พี่คมสิครับ พี่สะใภ้คงเต็มใจตั้งท้องอีกหน"  เขารอให้ฉัตรพูดจบจึงเสนอเรื่องนี้ ฉัตรจึงสบถสรรเสริญบรรพบุรุษตัวเองอย่างลืมตัว  "ถ้าย่ามาได้ยิน มีหวังพ่อหัวแตกแน่ที่พูดถึงโครตเง่าพวกเราแบบนี้"  ศิลา พูดยิ้ม ๆ กับสีหน้าที่โกรธจนหนวดกระดิกของบิดา

   "ย่าแกนั้นแหละทีอยากให้แกแต่งงานแล้วคราวนี้พ่อลงทุนไปหาคนที่ดีที่สุดมาให้แกเชียวนะ" ฉัตรพยายามกลืนความโกรธลองแผนใหม่

   "เห็นเขาแล้วแกจะชอบ"    "ดีขนาดนั้นเชียว"    เขาไม่สนใจหรอกเขาประชดบิดา  ฉัตรไม่สนใจ  "เป็นลุกสาวคนเดียวของเพื่อเก่าพ่อเชียวนะ"

   "แค่นั้นไม่มีเหตุผลมากพอให้ผมอยากแต่งงานหรอกครับ"   "จริงหรือ"  "จริงที่สุด" 

   "บางทีแกอาจจะสนใจ ถ้าพ่อบอกว่า พ่อของผู้หญิงคนนี้คือเพื่อของพ่อคนที่ให้เงินก้อนแรกแก่ลุงและพ่อให้เดินทางมาตั้งตัวที่นิวยอร์คจนมีวันนี้ที่พาพวกแกทั้งบ้านจนเราตั้งรกรากที่นี่ได้สำเร็จ"

   "นี่พ่อกำลังบอกผมว่าจะทดแทนบุญคุณเพื่อนโดยการยกลูกชายให้เขาหรือครับ"

   "ทำไมจะไม่ได้แกไม่เคยดูละครน้ำเน่าที่แม่แกเช่ามาจากร้านวิดีโอไทยหรือแต่งงานทดแทนบุญคุณกัน"

   "เห็นมีแต่บังคับให้ลูกสาวแต่งงานกับผู้ชายแก่แลกกับเงินไม่เห็นมีใครยกลูกชายให้กับผู้หญิงล้างหนี้สักหน่อย"

   "เราจะเป็นเจ้าแรก"    "เหลวไหลที่สุด"  "ฉันเป็นพ่อแกนะโว้ยไอ้ศิลา"

   "ผมรู้แต่มีวิธีใช้หนี้บุญคุณเยอะแยะไปตอนนั้นเขาให้เงินพ่อกับลุงมาเท่าไร  เราเวลานี้รวยแล้วก็เอาเงินกลับไปให้เขาสักสิบเท่าหรือจะมากกว่านั้นก็ได้ถ้าพ่อคิดว่ามันคุ้มที่เขาทำให้เรามีวันลืมตาอ้าปากวันนี้ได้"

   "แกคิดว่าฉันไม่ทำหรือ"   "พ่อ ทำหรือครับ"  ศิลา ชะงักหันหน้าจากกล่องขวดซีอิ้วดำหันไปมองฉัตรตาโต

   "เขาไม่ยอมรับ"    "นับว่าเขาเป็นเพื่อนที่ดีมากช่วยคนไม่หวังผลตอบแทนน่าคบมา"  เขาพยายามสรรเสริญให้ดูจริงใจที่สุดเพื่อเอาใจฉัตร  แต่บิดาเขานิ่วหน้าตอบกลับมา

   "งั้นควรหรือที่พวกเราจะอกตัญญูต่อเขา"

    "เขาขอให้พ่อยกผมให้แต่งงานกับลูกสาวของเขาหรือไง"    "เปล่า"   "งั้น..."

   "คนเราไม่ต้องให้ใครเรียกไม่ต้องให้ใครสั่งควรรู้หน้าที่ว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำจริงไหม  พ่อเคยสอนแกจำได้ไหมหน้าที่ของสุภาพบุรุษ"

   "นั่นมันมารยาทของสังคม"

   "มีีคนมาบอกพ่อว่า......พ่อเขาตายแล้ว"  ฉัตรโพล่งขึ้นมาดื้อ ๆ ทำให้เขาชะงักไปเปิดโอกาสให้บิดาเขาพูดต่อไป  "ทิ้งลูกสาวคนเดียวให้อยู่ตามลำพัง"

   "นี่คือเหตุผลหรือครับ" ศิลา ถามด้วยความกลัดกลุ้ม เพราะนี่หมายถึง  พ่อกับลุงของเขามีเป้าหมายในการทำงาน เขานั่นแหละที่จะลำบากจนกว่าทั้งสองจะชนะนั่นล่ะจะลามือ

   "ใช่ที่สุด"  ฉัตรตอบชัดถ้อยชัดคำก่อนจะผละจากลูกชายไปง่าย ๆ อย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเลิกสนใจกับตัวเขาอีก ไม่มีใครตอแยเขามาเกือบสามเดือน  จนเขาคิดว่าพวกคนในครอบครัวของเขาไม่ได้คิพจริงจังเพียงแต่พูดให้เขากังวลเล่น ๆ ตามประสาคนแก่ชอบเซ้าซี้หรืออีกทีคนที่ไม่เล่นด้วยก็คือลูกสาวของเพื่อนพ่อนั่นเองที่ไม่เล่นด้วย

   ผู้หญิงสติดีที่ไหนเดินทางไกลกว่าครึ่งโลกมาเพื่อแต่งงานกับผู้ชายแปลกหน้า ไม่รู้จักหน้าตาที่มีโอกาสมากจะขี้ริ้วหรือพิการ  ผู้หญิงฉลาดต้องคิดได้ว่าไม่มีผู้ชายดี ๆ ที่ไหนยอมให้ถูกจับคลุมถุงชนง่าย ๆ คนที่ยอม คือคนที่ต้องมีอะไรผิดปกติไม่่ต้องสงสัย หรือเธอไม่สงสัย

   มาลี ก็มาปรากฏตัวให้เขาเห็นว่าเธอมาแล้ว เท่าที่คุยกันก่อนที่เธอจะทำให้เขาช็อกจนพูดไม่ออก ด้วยการแจ้งจุดประสงค์การมานิวยอร์คของเธอกับเขา

   เธอไม่ใช่คนโง่....คนโง่จะไม่สวยขนาดนี้แม้ว่าคนสวยมักจะโง่ ศิลา ไม่รู้สึกว่าตนเองชักจะมีวิธีการคิดคล้ายพ่อและลุงเข้าไปทุกทีแล้วในการมีเหตุผลเฉพาะตัวอย่างแปลกประหลาด และไม่ใช่คนเสียสติอีกด้วย....ขนาดเจอผู้ชายแปลกหน้าอย่างกะทันหันในยามวิกาล เธอยังไม่ร้องกรี๊ด ๆ เลยสักแอะ

   ไม่ได้การล่ะ...ศิลา กระโดดลงจากเตียงที่เขาพยายามนอนแต่นอนไม่หลับ จะต้องไปพูดกับคนต้นคิดแผนการทั้งหมดนี้ให้มันรู้เรื่องไปเลยขืนทิ้งเอาไว้มีหวังเขาต้องติดกับดักพ่อกับลุงของเขาแต่งงานกับมาลีไปก่อนจะรู้สึกตัวว่าทำอะไรลงไป ม้ันง่ายกว่าที่คิดเอาไว้ซะอีก...เพราะหัวใจเขามันแกว่ง ๆ ไกว ๆ อย่างประหลาดตั้งแต่เห็นหน้าเธอ ศิลา ผุนผันออกไปจากบ้านอย่างเงียบกริบเมื่อขอบฟ้าเปล่งแสงจากดวงอาทิตย์ระเรื่อผ่านสวนสาธารณะฝั่งตรงข้ามบ้านเขา

   มาลีพร ตื่นขึ้นมา เหมือนกับเมื่อคืนเธอฝันไปที่ว่าได้พบกับ ศิลา  แม้เธอจะหลับ ๆ ตื่น ๆ ตลอดที่เหลือแต่เธอก็สดชื่นกับเช้าวันใหม่ เขาไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดสักนิด  เมื่อเธอแจ้งกับเขาว่าเธอมานิวยอร์คเพื่อแต่งงานกับเขา

   ครั้งแรกเธอคิดว่าเขาจะเป็นลมต่อหน้าเธอที่ได้ยินเธอพูดโพล่งออกไป ค่าที่หน้าเขาซีดคล้ายคนช็อกกะทันหัน แล้วอยู่ ๆ เขาก็เพยิดหน้ากล่าวราตรีสวัสดิ์ง่าย ๆ ก่อนเดินออกไปเงียบ ๆ  หลังจากทำธุระเรียบร้อยเธอก็ไปเคาะประตูเรียกเขาที่ห้องทำงานที่เขายืนยันว่าเข้าไปนอนเมื่อคืนนี้

   "คุณศิลา......คุณศิลา"   เธอเรียกเขาสิบกว่าครั้ง ก็ไม่ได้ยินเสียงตอบ จึงลองหมุนลูกบิดประตูห้อง ดูมันไม่ได้ล็อก ทำให้ตัดสินใจพบกับความว่างเปล่า เขากางเตียงเาอไว้ไม่มีร่องรอยว่านอน เธอค้นหา เขาไม่อยู่ที่ไหนในบ้านเลย

   "หรือว่าตกใจเรื่องที่เราบอกเลยหนีไปแล้วก็ไม่รู้"  เธอหมุนคว้างคนเดียวในห้องครัว  ทันใดนั้นก็มีเสียงไขกุญแจประตูบ้านเธอจึงวิ่งออกไปที่นั้นทันที

   "เขาไม่ได้หนีหายไปไหนซะหน่อย"  เธอเอ็ดตัวเองใจชึ้นขึ้น  แต่งุนงงไป  เพราะคนที่เดินผ่านประตูเข้ามาไม่ใช่ศิลา  พวกเธอคือสตรีจีนวัยใกล้หกสิบกับดรุณี รุ่นสาวท่าทางรื่นเริงกระฉับกระเฉงทั้งสองหอบถุงกระดาษสีน้ำตาล มาคนละสองใบเต็มอ้อมแขน แค่เห็นหน้าที่เหลอหลาของเธอก็ร้องทัก

   "อรุณสวัสดิ์"

   "อรุณสวัสดิ์"  เธอร้องทักกลับไปตามมารยาท  แค่นั้น ทั้งสองก็เดินผ่านเธอตรงดิ่งไปที่ครัวโดยไม่รอคำแนะนำหรือทักท้วง

   มาลีพร ยืนอ้าปากค้าง พวกเขาเป็นใครทำไมมีกุญแจบ้านของศิลาอีกชุดหนึ่ง  เด็กสาวคนนั้นหันกลับมาเรียกเธอ

   "มาสิ...พวกเรามีอาหารเช้ามาให้คุณด้วย"  เธอหุบปากฉับเดินตามเข้าไปในครัวอย่างว่าง่าย

  "เอ่อ....เอ่อ...เอ่อ..."  มาลีพร ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี คนแปลกหน้าทั้งสองเมื่อเผชิญกันที่โต๊ะกลางห้องครัวที่ทั้งสองเริ่มรื้อข้าวของออกจากถุงสีน้ำตาลจนเกลื่อนโต๊ะให้เห็นว่าพวกเธอเอาผักและอาหารสดเข้ามาบ้าน เด็กสาวมองเธอตาโตราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้

   "ตามจริงพวกเราทำให้คุณตกใจใช่ไหมที่จู่ ๆ ก็เข้ามาโดยไม่แนะนำตัวเองกันเลย"  มาลีพร ยิ้มกร่อย ๆ "ไม่ถึงกับตกใจแต่...นิดหน่อยพวกคุณเป็นใครกัน"

   เด็กสาวคนนี้หัวเราะออกมาทำให้เธอหัวเราะตามไปด้วยอย่างคนอารมณ์ดี  "ฉันชื่อ เบญจา ค่ะ เป็นลูกสาวของพ่อ จักรกับแม่อริสา ค่ะ"  เธอคือลูกสาวของลุง ศิลา นั้นเอง  "แล้วนี่จิ๋นกู"  เบญจา ผายมือไปที่สตรีจีนที่มาด้วย

   "ฉันเป็นคนสนิท เพื่อนสนิทของญาติของไฉ่ฝ่งหยี่ยี้"  จิ๋นกู ตอบด้วย ภาษาไทยสำเนียงจีน  ที่มีหางเสียงกังวาลลอย ๆ แตกต่างจากคนจีนแต้จิ๋วในประเทศไทย

   "ฉันชื่อ มาลีค่ะ"    "พวกเรารู้จักเธอ"  จิ๋นกู ตอบก่อนหันกลับไปคว้าหม้อซุปที่แขวนบนราวมารองน้ำที่ก๊อกน้ำที่ซิ้ง

   เบญจา เดินมาคู่กับ มาลีพร ด้วยท่าทีเป็นมิตร  "พ่อกับอาฉัตร พูดถึงคุณเป็นเดือน ๆ ก่อนที่คุณจะมาซะอีก"  มาลีพร เมินสายตาหลบด้วยพิรุธใจ...ก็คนที่พวกเขาพูดถึง มาลี ไม่เธอสักหน่อย แต่ไม่อาจจะบอกความจริงเรื่องนี้แก่ใครได้ว่าเธอสวมรอย เขามานอกจากพูดเสไปว่า

   "พี่ชายของคุณ...ฉันหมายถึง คุณศิลาไม่อยู่บ้าน"  "ใช่พวกเราเห็นเขาไปที่บ้านโน้นแล้ว"  จิ๋นกู ตอบมาจาก ซิ้งล้างจาน พวกเธอทั้งสองมา  เพราะรู้ว่าศิลาออกไปข้างนอกหรือ  มาลีพร มองทั้งสองอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก

ตอนที่ 7

   เบญจา หยิบหัวแครอทสีส้ม มาโยนเล่นยิ้มให้กับแววตาคำถามของ มาลีพร

   "พวกเราเห็น พี่ศิลา ไปที่บ้านโน้นเราก็มาที่นี่เพื่อหาอะไรให้คุณกินไง"   "ลินดา บอกว่าหนูไม่ควรหิว" จิ๋นกู พูดอีกเมื่อโยนเนื้อไก่ชิ้นโตลงหม้อ ตามด้วยหัวหอม หัวฟีแนลแล้วปิดฝา

   "คุณคงหิวแล้ว"  เบญจาถาม  "ยัง.." มาลีพร รีบตอบ

   "เรามีของกินที่เป็นอาหารเช้าจริง ๆ ระหว่างรอซุปของจิ๋นกู" เบญจา ดังกล่องกระดาษสีขาวประทับตัวอักษรแดงว่า ภัตตาคาร ซิ่ง บนกล่องออกมาเปิดออกเห็นอาหารภายใน

   "นี่คืออาหารเช้าจากภัตตาคารของพวกเราฉันแวะไปเอามาให้คุณ"  จิ๋นกู หยิบจานมาสองใบ จัดอาหารลงจานอย่างคล่องแคล่ว

   "เราไปที่ห้องอาหารกันเถอะ" เบญจา ชวน มาลีพร ยกจานใบหนึ่ง และแก้วน้ำเย็นหนึ่งใบเลียนแบบเบญจาไปด้วย

   "จิ๋นกู ไม่ไปทานกับเราหรือคะ" เธอยังหันมาสนใจ  เพราะเห็นมีอาหารแค่สองที่เท่านั้น

   "จิ๋นกู กินมาแล้ว จากร้านของเรา" จิ๋นกู ตอบเสียงดัง "แล้วยังต้องทำอาหารกลางวันรอคุณ ศิลา กลับมา พวกคุณไปกันเถอะ" มาลีพร นั่งลงฟากตรงข้ามกับเบญจา ยังไม่ลงมือรับประทานอาหารในขณะที่อีกฝ่ายเริ่มไปแล้วอย่างหิวโหย

   "ทำไมฉันไม่เจอคุณที่บ้านนั้นคะ" เบญจา หยุดนิดหนึ่งก่อนยิ้มอีก เธอช่างเป็นเด็กสาว ที่รื่นเริงจริ ๆ ราวกับโลกนี้ไม่มีทุกข์ร้อนเลย

   "ปกติฉันไม่ค่อยอยู่ที่บ้านหรอกค่ะ ฉันเรียนปีสามแล้วต้องไปนอนที่หอจะได้สะดวกทำรายงานกับไปห้องสมุดในมหาวิทยาลัย แต่เมื่อเช้ากลับไปที่บ้าน"

  "พ่อแม่คุณไม่สบายคุณรู้ไหม"  มาลีพร แจ้งแก่เบญจา

   "พ่อกับแม่จึงไล่ฉันให้มาอยู่กับคุณไงคะ แล้วมันเป็นวันหยุดยาว ฉันว่างก็คิดจะพาคุณไปดูอะไรรอบ ๆ นิวยอร์ค  เพราะพ่อบอกว่าคุณมาอยู่หลายวันแล้ว อุดอู้อยู่แต่ในบ้านยังไม่ได้ออกไปไหนเลย"

   มาลีพร ตาเป็นประกายวาบ  "งั้นก็ดีสิ....."  "คุณอยากไปไหนล่ะ"

   "แต่ คุณควรจะเรียกฉันว่าพี่มาลี จะดีกว่าอย่าเรียกคุณเลย ฟังแล้วเรางเหินจัง"

   "ก็ดีพี่...ถ้าพี่จะเรียกฉันว่า เบน"  ทั้งสองเริ่มกินอาหารเช้าต่ออย่างแจ่มใส  มาลีพร รู้สึกชอบ เบญจา ในความร่าเริง ทำให้เธอหายเครียดและอบอุ่นใจราวกับได้น้องสาวมาหนึ่งคน  มีความสนิทสนมเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อทั้งสองค้นพบว่าชอบอะไรคล้าย ๆ กัน

   อาหารเช้าจานใหญ่ มีไข่ทอด ไส้กรอกทอด กับเบคอนชิ้นกรอบ ๆ กินกับขนมปัง ก้อนโตทาแผมห้าชนิดหมดไปอย่างรวดเร็ว จากความเพลิดเพลินของการสนทนา ทั้งสองยังอ่อยอิ่งกับกาแฟที่ จิ๋นกู ชงมาให้ไม่ลุกจากโต๊ะ จนกระทั่ง

   ปัง....ปัง..... เสียงประตูกระแทก จนได้ยินเสียงกระจกที่กรุกับกรอบประตูลั่นกราวกลัวจะแตกกับแรงกระแทกขนาดนั้น ไม่ต้องให้ใครเชิญสองสาวผุดลุกขึ้นวิ่งไปดูว่าเป็นฝีมือใคร ศิลา ยืนหน้าถมึงทึง ที่ช่องทางหน้าบันได

   "คุณศิลา..." มาลีพร เรียกเหมือนทักเขาเสียงอ่อย

   "พี่ศิลา"  เบญจา นิ่วหน้าให้เขา  ตามมาด้วย จิ๋นกู ที่รั้งท้ายสองสาวเต็มช่อง ประตู ห้องนั่งเล่นพอดี หน้าตาเขายิ่งบึ้งขึ้นเมื่อเห็น เบญจาและ จิ๋นกู

   "เธมาทำอะไรที่นี่"   "เราเอาอาหารมาให้พี่มาลี"  เบญจา ตอบเสียงเรียบ

   "ฉันทำอาหารกลางวันมาให้คุณด้วย" จิ๋นกู ตอบ

  "ฮึ..ดี..." เขาคำราม "ใครสั่ง"

   "ไม่เห็ฯต้องมีใครสั่งเลยนี่"  เบญจา ขึงตาให้กับพี่ชาย "จิ๋นกูแกมาทำความสะอาดแล้วก็ หาอาหารให้พี่กินมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วไม่ใช่หรือ" ศิลา อยากจะเกาหัวตัวเองด้วยความหงุดหงิด

   "เธอตะหากมาทำอะไรที่นี่"

   "หนูก็มาหา พี่มาลีสิ ทุกคนในบ้านรู้จัก พี่มาลี หมดแล้วแม้แต่ พี่เองด้วยมีหนูคนเดียวที่ไม่อยู่บ้านก็ไม่อยากตก      เทรนด์สิคะ"

   "อ๋อ ดีมากนะ...ทำให้ทุกคนเดินพาเหรดเข้ามาในบ้านนี้กัน เป็นว่าเล่นได้สินะ"  อารมณ์เขาไม่คงที่ จนพาลไม่เข้าท่ากับ เบญจา

   "พี่ศิลา บ้า..." เบญจา อุทานด้วยความโมโห

   "คุณศิลาคะ"  มาลีพร เข้ามาขวาง "ฉันว่าเราคุยกันดี ๆ ดีกว่านะคะ น้องเบน ก็ไม่ได้เอ่อ..."

   "อ๋อใช่เลย...เราต้องคุยกันแหง"  พูดแล้วเขาก็คว้าข้อมือที่ยกขึ้นคล้ายจะห้ามของเธอดึงให้เดินตามเขาขึ้นบันได ที่ตกตะลึงจนไม่คิดที่จะสะบัดมือหนี

   "นั้นพี่จะทำอะไร"  เบญจา ชักเป็นห่วง ที่มาลีพร ไม่ดิ้นหนี เธอนั่นนะ รู้จักสีหน้าอย่งนี้ดีว่าเหมือนภูเขาไฟที่พร้อมจะระเบิดแล้ว

    ศิลา หันมาพูด "อย่ามายุ่ง.... ฉันมีเรื่องต้องคุยกัน"  เขาลากมาลีพร ตามเขาขึ้นไป

   "พี่มาลี" เบญจา เรียกด้วยความเป็นห่วง ถ้าเพียงแต่ ได้ยินคำขอร้องเพียงคำเดียวเธอพร้อมจะโทร.เรียกเก้าหนึ่งหนึ่งทันที

   "ไม่ต้องห่วงฉัน" มาลีพร โบกมือไล่ เบญจาให้ไม่ต้องห่วง

   ศิลา ลากเธอเข้าไปที่ห้องทำงานของเขาแล้วปิดประตูก่อนปล่อยมือออก เหมือนเธอเป็นเผือกร้อน ๆ ที่เขากำเอาไว้ หน้าตาของเขาเวลานี้เตือนให้เธอนึกถึงมหาโจร หนวดเคราเขาเริ่มขึ้นจนหน้าเขามีเงาคลึ้มไปทั่วมันดูแปลกตา ใช่ว่าเขาจะน่าเกลียดดูคมเข้ม เรียกว่าหล่อแบบเถื่อน ๆ ด้วยซ้ำไป  เธอบอกไป เขาต้องหัวเราะกับความคิดของเธอที่ว่าเขาเหมือนมหาโจรสลัด แต่ถ้า..ดูแล้วตอนนี้เขาไม่ขำหรอก

   "เชญนั่งก่อนสิ เราต้องคุยกัน" เขาลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมาตรงหน้าเธอ

   "แน่นอน...ค่ะ" เราต้องคุยกัน..." เธอรีบตอบเอาใจเขา แล้วหย่อนตัวลงนั่ง อย่างเรียบร้อยที่สุด ตัวตรงรอรับฟังที่เขาจะพูด ศิลา ไม่นั่งและเขาก็ยังไม่พูด แต่เดินไปเดินมาตรงหน้าเธออยู่สองสามรอบเล็ก ๆ มาลีพร สูดลมหายใจเข้าปอดเรียกสติเธอพูดขึ้นก่อนเอง

   "ถ้าฉันทำให้คุณ ไม่พอใจฉันก็เสียใจจริง ๆ นะ..ฉัน..."  เขาไม่ยอมให้เธอพูดขอโทษเขาต่อจนจบ

   "คุณไม่ได้ทำให้ผมไม่พอใจ" เสียงเขาตวัดสูง

   "ค่ะ" เธอทำเป็นว่าเชื่อในสิ่งที่เขาพูดทั้งที่ไม่จริงเลยสักนิด เขาเดินไปมาอีกสองก้าวครึ่งแล้วหันกลับมาพูดเสียงเอาการเอางานเคร่งขรึม

   "อย่างไรก็ตาม...ผมว่าเราควรจัดการเรื่องบางอย่าง ให้ลงตัวได้... ว่าแต่ว่าทำไมคุณจึงแน่ใจว่าผมจะแต่งงานกับคุณ"

   "คุณพ่อคุณบอกกับฉันว่าคุณจะแต่งงานกับฉัน" เขากรอกตา ขึ้นมองเพดานแล้ว กวาดสายตากลับลงมามองเธอ

   "ผมน่ะ เป็นผู้ใหญ่ นานแล้ว.....มาลี.... ผมตัดสินใจอะไรเองมาหลายปีแล้วด้วย"

   "ใช่ฉันเห็น" เธอพยายามไม่ขัดคำพูดของเขา แต่ก็อดที่จะพูดตามความคิดของเธอ อย่างคนที่มาจากโลกตะวันออก

   "ถึงยังไงคุณก็เป็นลูกชายของพ่อแม่อยู่เสมอไม่ว่าคุณจะอายุมากขึ้นสักกี่ปี หน้าที่ของลูกต้องเชื่อฟังพ่อแม่ของตนเอง"  คุณพระช่วย...ศิลา... อุทานในใจ อย่างสยอง

   พ่อ เขาเลือก ลูกสะใภ้ตามอุปนิสัยของพวกเขาเปี๊ยบเลย กัดไม่ปล่อยแล้วกล้ามากที่มาอบรมสั่งสอนเขา

   "พูดจาเหลวไหล" เขาเอ็ดเธอ

   "ไม่เคยจริงอะไรเท่านี้คุณต่างหากที่เหลวไหล"  เขาขึงตาให้เธอที่กล้าเถียงเขาเช่นนี้

    "ผมไม่รู้ว่า พ่อมีข้อตกลงอะไรกับคุณ ผมขอบอกว่าเสียใจด้วยถ้าเขาสัญญากับคุณ แทนผมละก็ ...ผมขอบอกคุณให้รู้ว่าไม่มีวันคิดที่จะแต่งกับคุณ"

   มาลีพร รู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอกเหมือนถูกแทงทั้งที่เธอควรยินดี ที่เขาไม่อยากแต่งงานกับเธอ จึงก้มหน้าลงมองมือตนเองแอบซ่อนความรู้สึกแววตาของตนเองจากเขา

   "ตกลงค่ะ" เธอตอบเขาเสียงแผ่วเบาง่าย ๆ ไม่มีการโต้เถียงหรือ วิงวอนขอร้องคล้อยตามทำให้ ศิลา ชะงัก

   "คุณ ไม่โกรธที่ผมปฏิเสธคุณเหรอ"

   "ไม่.." เธอส่ายหัวแรง ๆ จนเส้นผมกระจาย เงยหน้าขึ้นยิ้มให้เขาด้วยความเข้มแข็งที่กลับคืนมาแล้ว

   "ฉันจะโกรธคุณทำไมในเมื่อแทบไม่รู้จักคุณ ไม่มีเหตุผลที่จะโกรธ"

  "จริงที่สุด...." เขาพยักหน้าว่าเห็นด้วยกับเธอ "ในเมื่อเราไม่รู้จักกันเราไม่ควรแต่งงานกัน แต่ทำไมคุณจึงเดินทางมาไกลตั้งครึ่งโลกเพื่อแต่งงานกับผม"

   "ฉันคิดว่า...คุณไม่มีสิทธิ์จะถามฉันในเมื่อคุณไม่แต่งงานกับฉัน ฉันจะตอบคำถามนี้กับคนที่ฉีนจะแต่งงานด้วยเท่านั้น"  มันเป็นความจริงที่เขาไม่น่าจะแคร์ แต่ ศิลา โกรธ

  "มาลี...ผมต้องการให้คุณเข้าใจนะว่าผม..."

   เรื่องอะไรที่เธอจะฟังเขาให้จบ  "ฉันรับการตัดสินใจของคุณไปแล้วค่ะว่า คุณจะไม่แต่งงานกับฉัน"

  ศิลา พยายามรักษาสีหน้าของตัวเองให้ดูว่าไม่แคร์ไม่ทุกข์ร้อนพยายามจะยิ้มแม้มันจะรู้สึกละห้อยหาแปลก ๆ ที่รู้สึกว่าเธอลอยได้เหมือนเธอกำลังลอยจากไปอย่างช้า ๆ สติหนุ่มโสดที่มีชื่อเสียงว่าหลบลูกปืนของสาว ๆ นิวยอร์คเก่งสอนเขาว่าพูดให้ตัวเองดูดีกว่านี้เขาจะชนะเรื่องนี้

   "คุณเป็นคนไม่ขี้เหร่..คุณจะไม่มีปัญหา ในการหสใครสักคนแต่งงานในอนาคต เมื่อคุณกลับไปเมืองไทย"

   "ฉันไม่กลับเมืองไทยหรอกค่ะ"  เธอจะไม่กลับไป..ในเมื่อเธอหนีมาไกลอย่างนี้แล้ว

   "คุณจะอยู่ที่นี่ทำไมในเมื่อ"  ศิลา ระแวง ขึ้นมาอีก เธอยักไหล่ ทำว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่

   "อย่าห่วงเลยค่ะว่าฉ้นจะหาทางบีบบังคับคุณ ฉันจะบอกกับพ่อคุณว่า ฉันจะเลือกคนอื่นแทนคุณ"

   "อะไรนะ"  "ฉันจำเป็นที่จะต้องแต่งงานฉะนั้นคิดว่าคุณพ่อคุณ จะช่วยฉันในเรื่องนี้ได้"

   "เดี๋ยวทำไมคุณจะต้องจำเป็น"

   "เพราะฉันได้วีซ่านักท่องเที่ยวแค่เดือนเดียวเท่านั้น ถ้าฉันไม่แต่งงานภายในสามอาทิตย์แล้ว แอฟพาย เป็นคนอเมริกัน ฉันต้องกลับประเทศไทย"

   "ผมไม่เข้าใจคุณอยากอยู่อเมริกา"

   "ไม่มีใครรอฉันอยู่ที่เมืองไทยและครอบครัวของคุณชอบฉัน ฉันจะอยู่อเมริกา"  เธอประกาศการตัดสินใจของตัวเองแล้ว

   "เธอมีวิธีอื่นเยอะแยะ ที่พ่อผมช่วยให้คุณอยู่ทำงานที่อเมริกาได้โดยไม่ต้องแต่งงานกับใคร"

   "พ่อคุณบอกว่าการแต่งงานจะทำให้สถานภาพของฉัน มั่นคงเร็วขึ้นไม่ยุ่งยาก และเมื่อหลายวันก่อน คุณย่าไฉ่ฝ่ง ของคุณแอบกระซิบบอกฉันเองว่า ถ้าคุณไม่อยากแต่งงาน ท่านจะส่งคนไปหาคนที่ดีกว่าคุณให้ฉันแต่งงานด้วย"

   มีเสียงคล้ายของหนัก ๆ หล่นที่ประตู ศิลา ดิ่งไปกระชากประตูออก จิ๋นกู และเบญจา อยู่ในท่าย่องยังไปไม่พ้นประตู ศิลา แผดเสียงลั่น

   "จิ๋นกู.."  มาลีพร เบิกตามองทั้งสอง มองก็รู้ว่าคงมาแอบฟังการสนทนาของพวกเขา แต่ ศิลา เท้ามือทั้งสองกับเอวท่าทางโกรธจัด

   "พูดออกมาเดี๋ยวนี้จะจิ๋นกู"  เขาแผดเสียงลั่น ขนาดทำลายแก้วหูคนที่อยู่ไกลกว่าสามเมตรได้สบาย  มาลีพร อ้าปากค้าง เพิ่งจะเข้าใจอะไรบางอย่างที่มีความเป็นไปได้

   จิ๋นกู คือคนที่คุณย่าไฉ่ฝ่งส่งมานั้นเอง

ตอนที่ 8

   จิ๋นกูมีสีหน้าเบื่อหน่ายมากกว่าทั้งที่น่าจะหวาดกับท่าทางดุดันของศิลาที่แผดเสียงใส่ เบญจา แบมือออกอย่างจนปัญญา มาลีพร ลุกเข้าไปใกล้

  "คุณอย่าทำอะไรแกนะคะ"  เขาหันมานิ่วหน้าใส่เธอ

   "คุณคิดว่าผมจะทำอะไรแก"

   "ฉันจะไปรู้เหรอ ว่าคุณจะทำอะไรแต่บอกนะว่าการทำร้ายญาติผู้ใหญ่ระวังจะตกนรก" เธอขู่เขาหวังจะช่วยจิ๋นกู

   "งั้นผมจะไม่ตกนรก เพราะจิ๋นกูไม่ใช่ญาติแต่เป็นคนสนิทของคุณย่าเท่านั้น"  เขาถูมือเหมือนว่าจะบดขยี้ เบญจาหน้าบึ้งใส่เขา "หนูจะฟ้องคุณย่าว่า พี่ศิลา บอกว่าจิ๋นกูไม่ใช่ญาติ"

   จิ๋นกูยกมือปิดหน้ารำพัน "ศิลาเกลียดฉัน เขาเกลียดฉัน"  เขากลอกตาว่า ลำบากแน่แล้ว

   "ก็ได้ ก็ได้ เราเหมือนญาติกันพอใจไหม"  จิ๋นกู หยุดร้องไห้ทันที เงยหน้าขึ้นมองตาเขา

   "ก็ได้ถือว่าพอใช้ได้" ศิลา ขึงตาให้กับคนสนิทของย่าไฉ่ฝ่ง

   "เอาล่ะคราวนี้พูดความจริงมาใครวางแผนเรื่องนี้"

   "หนูเปล่านะ" เบญจา ถอยไปก้าวหนึ่ง "ก็แค่ห่วงว่าพี่จะทำอะไรพี่มาลีหรือเปล่า เลยมาแอบฟังเท่านั้นไม่ได้วางแผนอะไรเอาไว้ซะหน่อย"

   "พี่ไม่ได้ถามเธอ" ศิลาแว้ดก่อนหันกลับไปหาจิ๋นกูที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ "จิ๋นกูผมกำลังรอคำตอบอยู่นะ"

   "คุณจะให้จิ๋นกูพูดอะไร" มาลีพร พยายามหาทางช่วยจิ๋นกู

   "คุณไม่ต้องมาช่วยให้เรื่องยุ่งเลย" จิ๋นกูกวาดมือไปตรงหน้าเขา

   "ไม่ต้องไปพาลคนอื่นเลย ถ้าอยากรู้ฉันจะบอกก็ได้" สองสาวหุบปากที่อ้าขึ้นจะช่วยจิ๋นกูฉันพลัน

   "ผมกำลังฟังอยู่" จิ๋นกูควักกระดาษยับย่นแผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อชูโบกตรงหน้า เขาห่าง ๆ ไม่ยอมให้ถึงมือแล้วหดกลับไปกอดเอาไว้อย่างหวงแหน

   "นั่นอะไรคะ" เบญจาถามด้วยความสงสัย

   "รายชื่ออะไร" ศิลาชักสนใจ

   "รายชื่อผู้ชายที่น่าสนใจ พอที่จะได้แต่งงานกับแม่หนูคนนี้"

   "อะไรนะ" สามเสียงตะโกนพร้อมกัน

   "ผมไม่ใช่คนที่พ่อเลือกให้แต่งงานกับมาลีหรือไง"  ต้องยอมรับว่าเลือดแล่นขึ้นหน้าเขาที่ได้ยินเรื่องอย่างนี้ที่รู้ว่าครอบครัวเขาได้จัดเตรียมหาคนอื่นให้เธอด้วย เขาไม่มีวันยอมรับกับตัวเองจนวันตาย นั่นน่ะว่า ความหึงหวงแล่นไปตามผิวหนังชั้นนอกมันเต้นระยับไปทั่วตัว

   "นั่นแผนหนึ่งนี่คือแผนสอง" จิ๋นกูตอบอย่างจริงจัง เมื่อกรีดนิ้วไปบนไหล่บอบบางดูสวยสง่าของมาลีพร

   "พ่อของคุณรู้ว่าคุณอาจจะพูดอย่าง เมื่อกี้นี้กับหนูที่น่าสงสารคนนี้"

   "ผมพูดอะไร"  "ผมจะไม่แต่งงานกับคุณ" จิ๋นกูเลียนเสียงเขาได้เหมือนเป๊ะเลย

   "ไม่ยุติธรรมเลยนะที่มาแอบฟังผมพูดกัน" ศิลาหน้าแดงถึงใบหูด้วยความอับอาย  จิ๋นกูไม่สนใจหรอกหันกลับไปที่มาลีพรด้วยท่าทางเห็นใจอย่างสุดซึ้ง

   "คุณย่าไฉ่ฝ่งเห็นว่าฉันเป็นแม่สื่มืออาชีพที่มีชื่อเสียงจับคู่คนให้แต่งงานกันได้มากกว่าร้อยคู่แล้วของฝั่งตะวันออกภาคนี้ของสหรัฐ"  ศิลา ฟังแล้วอยากจะซัดหน้าผากตัวเองซักฉาดหนึ่ง ด้วยความเจ็บใจ

   เขาลืมได้ยังไงนะว่า จิ๋นกูเป็นแม่สื่อมืออาชีพดันรับแกเข้ามาช่วยดูแลแมนชั่นเมื่อสามเดือนก่อน มิน่าครอบครัวของเขาจึงสนับสนุนนักว่า จิ๋นกู กำลังหางานพิเศษทำ เขารู้แล้วว่า ทำไมเมื่อเช้าเขาจึงหาใครไม่พบที่บ้านพ่อของเขา แม้จะไปที่ภัตตาคารหรือที่ปั๊มน้ำมันของพวกเขาก็ไม่เจอใครเลย ครอบครัวของเขาหลบหน้าไปกันหมด เพราะได้ส่งจิ๋นกูมาจัดการเรื่องนี้แล้ว จิ๋นกูส่งกระดาษแผ่นนั้นให้กับ มาลีพร

   "ความคิดของพวกเขาก็คือเขาจะได้ไม่ต้องอับอายที่ลูกชายของตัวเองไม่ทำตามที่พวกเขามีสัญญาให้กับมาลีที่จะให้ได้แต่งงานกับคุณศิลาพวกเขาก็จะหาผู้ชายที่ดีกว่ามาให้แม่หนูคนนี้แทนนี้ไงรายชื่อคนที่ฉันหามาให้หนูเลือก"  มาลีพรรับกระดาษยับย่นมาเพ่งมองดูรายชื่อบนกระดาษที่เขียนด้วยลายมือโย้เย้ถึงสิบกว่าชื่อซึ่งมีชื่อศิลาเป็นคนแรก เบญจา ชะโงกมาดุด้วยความสนใจ

   "นี่บ้ากันไปใหญ่แล้ว"  ศิลาร้องแล้วกระชากกระดาษรายชื่อมาจากมือของมาลีพร อย่างหยาบคาย  แต่เธอก็กระตุกกลับไปอย่างว่องไวจนเขารั้งกลับมาไม่ทัน

  "อย่ามายุ่งนะ"  เขาสะบัดมือตัวเองไปมา

   "นี่คุณจะแต่งงาน  เพราะแค่เชื่อคำแม่สื่อไม่ได้นะนี่มันสมัยอะไรแล้วโลกไม่ยอมรับเรื่องแต่งงานด้วยการสุ่มตัวแบบนี้แล้วนะมันมีความผิดพลาดร้ายแรงเสมอนะ" จิ๋นกูจิ้มนิ้วไปที่หน้าอกของเขาแรง ๆ หนึ่งครั้ง

   "นี่อย่ามาดูถูกประเพณีเก่าแก่มานับพันปีของเรานะยะไม่เคยมีคู่แต่งงานที่ฉันเป็นแม่สื่อหย่าร้างหรือไม่ชอบใจสักคู่เดียว"  ศิลา ขึงตาให้กับแม่สื่อจิ๋นกู

   "ไม่เคยไปสำรวจมากกว่า ผมว่าจิ๋นกูอย่ามายุ่งเรื่องนี้ดีกว่า"

   "มันเป็นคำสั่งของพ่อแม่คุณนะยะ" จิ๋นกูไม่ยอมแพ้หรอก มาลีพร หันไปพูดกับเบญจา

   "มีปากกาไหมคะ น้องเบน" ศิลาหันกลับมามองเธอ " คุณจะเอาปากกาไปทำอะไร"  เธอไม่ตอบเขา แต่หันไปขอกับเบญจาอีก

   "เอ๊า...เอาด้ามนี้ไป"  เขาควักปากกาจากอกเสื้อของเขาส่งให้เธอ เพราะอยากรู้ว่าเธอจะทำอะไร มาลีพร รับไปแล้วขีดเส้นลงไปที่หัวกระดาษรายชื่อผู้ชายของจิ๋นกูทันที

   "นั่นคุณทำอะไร" ศิลาถามเสียงงุนงง

   "ก็ขีดฆ่าชื่อคุณออกจากรายการน่ะสิคะ"  ศิลาตารุกวาบแปลก ๆ ที่อ่านไม่ออกว่โกรธหรือไม่พอใจ

   "คุณทำอย่างนี้ทำไม" เสียงเขาดังเหมือนฟ้าผ่าเลย

   "คุณจะได้เป็นอิสระจากเรื่องนี้เสียทีไง"  เธอตอบเขาเสียงเรียบเฉยเมยจนน่าโมโห เบญจาดีดนิ้วดังเปาะจน ศิลาสะดุ้ง

   "นั่นฉลาดมากเลย"

   "โง่มากน่ะสิที่ไปแต่งงานกับไอ้ผู้ชายสั่ว ๆที่จิ๋นกูหามาให้" เขาตะคอกเบญจาเสียงลั่นอีกหน

   "พี่ไม่มีสิทธิ์มาว่าอะไรพี่มาลีอีก เพราะพี่ถูกขีดฆ่าชื่อออกไปแล้วไม่ต้องแต่งงานกับเขาไม่ต้องยุ่งกับเขาอีกต่อไปพี่จะมาโกรธทำไม"

   "ใช่...." จิ๋นกูเสริม  "ตกลงตามนี้ฉันจะต้องไปแล้ว"  มาลีพร ตัดบทซ้อนเสียงของจิ๋นกู

   "คุณจะไปไหน" ศิลารู้สึกหายใจไม่ออก

   "ฉันจะไม่เป็นภาระของคุณอีกต่อไป คุณจะได้ไม่ต้องโกรธคนอื่น  เพราะฉันอีกไม่ว่จะเป็นพ่อแม่ลุงป้าพี่ชายพี่สะใภ้หรือแม้แต่จิ๋นกูลาก่อน"  ศิลา ลากมือเธอจนหมุนกลับมาหาเขาไม่ให้เธอเดินจากไป

   เขาอยากจะตะโกน ใส่เธอว่าจะเดินหนีไปเฉย ๆ หลังจากโผล่มาถล่มโลกของความสงบของเขาให้พลิกคว่ำในคืนเดียว แต่ถ้าขืนทำอย่างนี้เธอจะไปทันที และจะไม่มีวันกลับมาอีกตลอดไป เขาพยายามกล่ำกลืนความรู้สึกคุกรุ่นลงอย่างอยากเย็นในหัวอก

   "คุณจะไปอย่างนี้ได้ยังไงไม่ยุติธรรมสำหรับผมเลยนะ ที่คุณจะผละจากไปเหมือนผมไม่มีประโยชน์ไร้ค่าอย่างนี้"

   "ฉันไม่อยากให้คุณเสีย เพราะฉัน"

   "คุณจะอยู่ที่นี่จนกว่าผมจะตัดสินใจได้ว่าจะทำยังไง กับเรื่องนี้ดีก่อน ไม่ดีหรือในเมื่อใคร ๆ ในครอบครัวผมส่งคุณมาให้ผมรับผิดชอบ แต่ยังไม่ทันที่ผมได้พูดอะไรกับพวกเขาคุณก็ไปซะแล้วผมจะตอบตัวเองได้ยังไงว่าได้พยายามแล้ว" เขาไม่รู้ตัวหรอกว่าเบญจา และจิ๋นกูเห็นลางแพ้ของเขาแล้วแม้ มาลีพรที่ไม่คุ้นกับอุปนิสัยส่วนตัวของเขาจะไม่เห็นก็ตาม

   "ฉันจะไม่อยู่เป็นภาระใคร" มาลีพร พยายามอธิบายอย่างอัดอั้น

   "คุณจะอยู่" เขายืนยันอย่างดึ้อดึงไม่ยอมปล่อยแขนเธอด้วย

   "คุณไม่อยากแต่งงานจำได้ไหมการอยู่ที่นี่จะทำให้คุณเดือดร้อนถ้าพ่อแม่คุณไม่พอใจแล้วถ้าฉันจะไปพิจารณาคนใหม่มันจะไม่สะดวก" เขาแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินที่เธอพูดประโยคว่าเขาไม่ต้องการแต่งงานกับเธอ ถ้าเธอจะดื้อเขาจะดื้อยิ่งกว่าเธอคอยดูสิ

  "ยังไงก็ไม่ใช่ตอนนี้จริงไหม..คุณจะกลับไปหาพ่อแม่ผมได้ยังไงพวกเขายังป่วยอยู่ พวกเขาบอกคุณเองให้ผมเป็นคนดูแลคุณชั่วคราวในระหว่างที่พวกเขาไม่สบาย"

   "เปล่า...พวกเขาไม่ได้พูดว่าให้คุณเป็ฯคนดูแลฉันพวกเขาเพียงแต่ให้ฉันมาพักบ้านของคุณในระหว่างที่พวกเขาไม่สบายอยู่เท่านั้นไม่มีใครบอกว่าให้คุณดูแล"

   "ก็เหมือน ๆ กันนั่นล่ะ อยู่บ้านผมหรือว่าให้ผมดูแล ถ้าผมอยู่ก็ต้องมีคนพูดอย่างนี้แหละจริงไหม"

   "อย่างงั้นหรือ" มาลีพร ยังไม่อยากปักใจเชื่อคำพูดของเขา

   จิ๋นกูโบกมือที่ถือกระดาษรายชื่อ "แล้วนี่ตกลงจะเอายังไง"

   ศิลาหันไปขึงตาใส่ "เรื่องนี้จะพูดกันใหม่เมื่อพ่อยอมมาหาผม" นี่คือข้อยุติที่ดีและเขาได้เปรียบจะไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ ทั้งสิ้นจนกว่าเขาจะเจอจอมวางแผนซ้อนแผนสี่ห้าชั้นของคนในครอบครัวเขาทั้งหมด

   "ถ้าพวกเขายังไม่สบายอีกหลายวัน" จิ๋นกูนึกห่วงธุรกิจแม่สื่อของตน

   "เราก็จะรอ" ศิลาตัดบทอย่างมีชัย

   "งั้นพวกเราไปหาอะไรกินกันเถอะ" เบญจา ชวน เพราะไม่เห็ว่าทำไมต้องอยู่ต่อไปในเมื่อได้บทสรุปไปแล้ว

   "ดีพี่ยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้า" ศิลาพเยิดหน้า

   จิ๋นกูเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตั้งหม้อซุปไก่เอาไว้บนเตาไฟจึงรีบเดินลงไปก่อน เบญจา ก้าวตามไป

   เขาผายมือให้กับมาลีพรให้เดินนำเขาไปก่อน ตามมารยาทสุภาพบุรุษ แค่เพียงเธอเดินผ่านหน้าเขาไปวูบเดียวเท่านั้นเขาก็ก้าวเดินตามไป มันเกิดขึ้นฉับพลันที่ท้องไส้ของเขารู้สึกปั่นป่วนเหมือนมีคลื่อนยักษ์กวนอยู่ภายในต้องสะอึกจนตัวงอ อยู่เฉย ๆ โลกก็มืดวูบในทันใดไปต่อหน้าเขา ทำให้เท้าที่ก้าวออกไปเซและอ่อนพับจนร่างสูงใหญ่ของเขาทรุดฮวบลงไปกับพื้นดังตุ๊บ

   "ว้าย"  มาลีพร อุทานด้วยความตกใจที่เห็นเขาวูบไปเฉย ๆ ในหางตาที่เธอเดินผ่านเขา สติสุดท้ายของศิลาบอกตัวเอง เขาไม่สบายหนัก......แขนขาไร้เรียวแรงอ่อนยวบยาบ เขาติดเชื้อโรคประหลาดจากคนในครอบครัวของเขามาหรือเปล่าหรือเขาเมาเจ้าหัวอาติโชกกลิ่นฉุนที่อบอวลเขาไม่เลิกตลอดระยะทางเดินทางกลับบ้านพอมาแล้วยังลืมเอาลงจากท้ายรถ ตอนไปตระเวนหาพ่อแม่เขาอีก คิดได้เท่านี้เขาก็หลับสนิทไม่รับรู้อะไรอีกเลย ไม่ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายกรี๊ดกร๊าดของสามสาวต่างวัยที่ร้องและพยายามเข้าช่วยเหลือเขา

ตอนที่ 9

   "พวกเจ้าทำอะไรหลานชายที่ล้ำค่าของฉันไปแล้ว"  ไฉ่ฝ่ง โวยวายลั่น เมื่อจักรรายงานคำวินิฉัยของหมดว่า ศิลา ไม่สบาย เพราะเกิดจากอาการแพ้อาติโชก ฉัตร เบ้หน้าให้ลินดา ที่พยามยามหลบสายตาของอริสาที่นั่งอยู่อีกฟาก

   "มันคือผักชนิดหนึ่ง"  ฉัตร พยายามช่วยพี่ชาย

   "ลูกชายของเราเป็นคนกินอาหารได้ทุกชนิดมาตั้งแต่เด็กไม่เคยเห็นแพ้อะไร"  ลินดาพูดค่อยๆ "เขาไม่น่าแพ้หัวอาติโชก รสชา่ติมันก็คล้ายหัวปลีกล้วยธรรมดานั่นเองนี่คะ"  ไฉ่ฝ่งหันมามองสะใภ้คนรองเขม็ง

   "แต่ตอนนี้มันแพ้ขึ้นมาแล้ว"

   "ก็น่าจะแพ้หรอกค่ะ" อริสาออกความเห็นไม่สนใจสายตาดุ ๆ ของสามีที่เพ่งมองมาปรามไม่ให้เธอพูดในเวลานี้

   "ก็เล่นเอาหัวอาติโชก มาทำ สลัดทำต้มทำแกง ทำผัด ทำเค้ก ทำไอศกรีม แถมยังมีท๊อฟฟี่ไม่รู้มันมี น้ำหอมหรือยาดม กลิ่นอาติโชกด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้ นายศิลา ไปอยู่ในงานตั้งหลายวันคงเล่นอาติโชกเข้าไปเป็นตันเลยมั้ง"  ไฉ่ฝ่งลมออกหูด้วยความโกรธ

   "ก็แผนวิเศษของผัวหล่อนน่ะสิ ให้ศิลาไปงานอาติโชก"  มันชักจะบานปลายแล้ว จักร จึงลุกขึ้น หันไปเอ็ดภรรยาที่พูดไม่คิดว่าจะจี้ใจมารดาของเขาว่า อ่อนไหวแค่ไหน กับหลานชายหัวแก้วหัวแหวนคนนี้

   "หยุดพูดเถอะน่าอริสา...." จักร หันไปหาไฉ่ฝ่ง  "คุณแม่ใจเย็น ๆ สิครับหมดบอกว่าไม่ร้ายแรงหรอกครับ"

   "สลบเหมือดอย่างนั้นนะ ไม่ร้ายแรง" 

   "หมดบอกว่าอาจจะเป็น เพราะสูดกลิ่นหัวอาติโชกแก่จัดที่เขาใส่มาในรถหลายชั่วโมงเกินไปในอุณหภูมิความร้อนที่ศิลาเปิดเครื่องทำความร้อนแรงไปหน่อย จึงทำให้เมา โดยไม่รู้ตัวและพอมาเจออากาศเย็นในนิวยอร์คก็เลยน๊อก"  จักร พยายามอธิบายสิ่งที่หมดพูดให้เขาฟังแก่มารดา ไฉ่ฝ่ง ชี้นิ้วกราดไปทั่วทั้งลูกชายและลูกสะใภ้

   "ฉันให้พวกแกวางแผนให้หลานชายได้แต่งงาน ไม่ใช่ฆ่าด้วยไอ้ผักหน้าตาประหลาด ๆ นั่น"  จักร ยกมืออย่างยอมแพ้

   "เอาละครับ ผมผิดเองที่เป็นคนคิดแผน อาติโชกขึ้นมาคิดไม่ถึงว่าศิลา จะแพ้มันหนักขนาดนี้"

   "ไม่ร้ายแรงน่า" ฉัตรช่วยพี่ชายอีกคน  "คุณแม่ครับหมอบอกว่า ศิลา ได้รับยาแก้แพ้ไปแล้ว อีกสองวันก็ออกมาเดินป๋อแล้ว เหมือนไม่เคยเป็นอะไรมาก่อนที่นอนสลบแบบนั้น เพราะหมอให้ยาแก้แพ้นอนหลับนาน ๆ เท่านั้นเอง"

   "จริงนะ" ไฉ่ฝ่งยังไม่อยากเชื่อ จนทุกคนพยักหน้ารับรองพร้อมกันทีเดียวสี่คนรวดจึงยอมคลายอาการเกร็ง ฉัตร พยายามอีกครั้ง เพื่อให้มารดาไม่ต้องกังวลมากนัก

   "นับว่ามันเป็นผลดีนะ"

   "ดียังไง"

   "ก็แม่หนูมาลีของพวกเรามีโอกาสทำให้ไอ้หัวดื้อของพวกเราใจอ่อนนะสิ"

   "จริงหรือ" ไฉ่ฝ่ง ยังสงสัย

   "ก็ดูท่ามันจะใจอ่อน ไปยกแรกแล้วนะ"

   "แกรู้ได้ยังไง"

   "ก็เขาไม่ไล่มาลี ออกจากบ้านเมื่อคืนกลางดึกน่ะสิครับ"

   "จริงด้วย" หลายเสียงเห็นด้วยทันที

   "อืมม์ น่าคิด" ไฉ่ฝ่ง ลูบแขนตัวเองอย่างใช้ความคิด  "ไม่ใช่นิสัยมันใช่ไหม ว่าจะไม่ยอมทนอะไรยิ่งถ้ารู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร"

   "แล้วเขารู้หรือว่าเด็กผู้หญิงคนนี้เป็ฯใคร" ลินดา สงสัยขึ้นมา

   จักร และฉัตร หัวเราะขึ้นพร้อมกัน อริสา จึงทึ้งแขนสามี  "บอกมานะว่ารู้ได้ยังไง"

   "ใช่...รู้ได้ยังไง" ไฉ่ฝ่งถาม  จักรยอมหยุดหัวเราะ

   "แค่พวกเราสั่งแม่หนูมาลีให้อย่างพูดเรื่องที่เราพูดให้ศิลาฟังเท่านั้น"

   "แค่นั้น" ผู้หญิงทั้งสามอุทานอย่างไม่เชื่อถือเท่่าไร  ฉัตรจึงต้องช่วยอธิบาย

   "พวกเราก็รู้ว่า นายศิลา นั่นน่ะฉลาดจะตายไป และเรื่องมากจนดุเดือดใครเห็นก็กลัวจนตัวสั่นแล้วมันต้องซักมาลี จนต้องหลุดปาก จนได้น่ะสิว่า มาลีเป็นใคร และคนเดาได้ว่าต้องเป็นใคร ไม่งั้นมันโทร.มาโวยวายแล้วนี่เงียบกริบเลย"

   "อย่างกับว่าจะเก็บเอาไว้เอง" จักร วิจารณ์

   "จริงง่ะ" หลายคนกระตือรือร้น

   "ก็สำเร็จน่ะสิ" ไฉ่ฝ่ง ทุบมือตัวเองอย่างสมใจ

   "ยัง.....ครับคุณแม่" ฉัตร เบรกมารดา

   "ทำไมก็มันไม่ได้ไล่หนูมาลีของเราก็แสดงว่ามั้นชอบแล้วไม่ใช่หรือ"

   "คิดหรือว่าไอ้อื้อนี้มันจะยอมรับ" ฉัตร ถาม

   "จริงด้วย" ลินดาพยักหน้ารับ  "เมื่อเช้ายังอาละวาด ค้นหาพวกเราซะรอบ ยังกับว่าจะฉีกตึกหาพวกเราเลย"

   "มันจะหาพวกเราทำไม" ไฉ่ฝ่ง ถาม

  "ก็มาบอกให้พวกเราเอาสาวน้อยจากเมืองไทยคนนั้นคืนน่ะสิ"  จักร พูดให้ทุกคนฟัง

   "อ้าว"  พวกผู้หญิงไม่เข้าใจอยู่แล้ว

   "ก็ฟอร์มว่ามันไม่ชอบน่ะสิ"  จักร ตอบ

   "บาง....ที.." ลินดา สนใจความคิดของลูกชายเหมือนกัน

   "อย่าใจอ่อน...คนนี้แน่จริงไม่เหมือนคนอื่น ๆ "  ฉัตร บอกภรรยา

   "แล้วเราจะทำยังไงต่อไป"  อริสา สงสัย

   "เริ่มแผนสองสิ" ไฉ่ฝ่ง หัวเราะขึ้น  "ก็เราเตรียมแผนสองเอาไว้ไม่ใช่หรือ ที่จะให้มันคลั่ง เพื่อแสดงตัวออกมาให้ได้"

   "ดี" หลายคนร้องพร้อมกัน  แต่ลินดาลังเลใจคิดไม่ตกตามประสาแม่ ๆ ทั่วไป

   "มันเหมือนพวกเรารุมตาศิลาหรือเปล่า"

   "พูดอะไรอย่างงั้น" จักร รีบโว้ย

   "พวกเราอยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องดีนะไม่ใช่ฆ่ามัน" ฉัตร พยายามปลอบ

   "แล้วมันจะชอบใจ พวกเราที่หาเมียได้ดีกว่าที่มันหาเองแล้วยังได้ทดแทนบุญคุณไปในตัวอีกด้วย..."  ไฉ่ฝ่ง ชี้ขึ้นเพดานห้อง "อย่าลืมสิว่ามาลี คือลูกสาวของเพื่อนที่ดีของพวกแก ที่ช่วยให้พวกแกตั้งรกรากได้สำเร็จ ฉันสอนพวกแกไม่ใช่หรือว่าคนเราห้ามลืมบุญคุณคนเด็ดขาด"

   "ครับ" จักร และฉัตร รับพร้อมกัน ผู้ใหญ่ของครอบครัวทั้งห้า ยังคงสนทนาต่อไปอีกสักพักใหญ่ จิ๋นกูและเบญจา ก็กลับมาพร้อมกับอาคมและไอริณ

   "เป็นอย่างไรบ้าง"  ไฉ่ฝ่ง ถามหลานชาย

   "หมดให้อยู่สักสามวัน เพราะศิลามีไข้ทับอาการแพ้"

   "พวกเราให้มาลีอยู่เฝ้า" ไอริณ พูดเจือเสียงหัวเราะ

   "ขำอะไร" ไฉ่ฝ่ง สงสัย อาคมจึงตอบแทนภรรยา "เธออาสาเฝ้าไข้นายศิลาเองครับย่า" มีเสียงฮือฮาเล็ก ๆ แต่จิ๋นกูหน้าบึ้งตึง

   "มันไม่ใช่หน้าที่แม่หนูคนนั้นพวกเขาควรให้ฉันทำหน้าที่นี้ ฉันถนัดพยาบาลและดูคนป่วยอย่างที่สุดทุกคนในโซโหรู้ดีถ้าไม่สบายต้องนึกถึงฉัน" หลายคนทำหน้าสยดสยองอย่างลับ ๆ แต่จักร ยื่นหน้าเข้าไปนิ่วหน้ากับจิ๋นกู

   "นายศิลาไม่ได้ไปคลอดลูกเขาจะไม่กินน้ำแกงไก่ตุ๋นขิงของจิ๋นกูแล้วเขาไม่ใช่ใกล้ตาย ไม่ต้องไปรอเปลี่ยนเสื้อผ้าศพ แล้วนายศิลา ไม่ได้ออกหัดเป็นอีสุกอีใส เพราะเป็นไปแล้วสมัยเด็ก ๆ ผมว่าจิ๋นกู อย่าไปยุ่งเขาตอนนี้ดีกว่ามีหวังนายศิลามันจะบ้าเอา"  หลายคนยิ้มแก้มโป่งกับการแจ้งงานถนัดที่จิ๋นกูทำให้กับชุมชนคนจีนในนิวยอร์คที่ใช้บริการของจิ๋นกูรวมไปถึงรับจ้างไหว้เจ้าให้ด้วยถ้าบ้านไหนทำไม่เป็น คนฟังหน้าบึ้งจน ไฉ่ฝ่งต้องโบกมือ

   "ไม่เป็นไรน่า...อาจิ๋น...ฉันเรียกเธอไม่ได้มาให้ทำงานนี้สักหน่อยฉันให้เธอมาเป็นสื่อให้หลานชายฉันไง" จิ๋นกู งงอยู่อึดใจหนึ่ง

   "ก็ไฉ่ฝ่งหยี่ยี้ไม่ได้ให้ฉันหาลูกสาวบ้านไหน แต่ให้หาลูกชายมานี่น่า"

   "ก็เหมือนกันหรอกน่า" จักร รีบขัดขึ้น "หาผู้หญิงหาผู้ชายก็เหมือนกันคุณแม่ก็ให้ค่าป่วยการจิ๋นกูเท่าเดิมนั่นล่ะ"

   "นี่อย่าพูดเหมือนฉันงกเงินอย่างนี้" จิ๋นกูมีสีหน้าไม่พอใจ " ถ้าไม่สำเร็จพวกเขาไม่ได้แต่งงานกันฉันก็ไม่รับเงินหรอกนะ"

   "เฮ้ยพูดอะไรอย่างงั้น คนเราทำงานต้องมีค่าแรง แม้จะไม่เอาค่าตัว ก็ต้องได้รับค่าตอบแทน จะให้ทำงานเปล่า ๆ ได้ยังไง ถึงผลจะเป็นเช่นใดก็ต้องจ่ายค่าเสียเวลาให้"  สีหน้าของจิ๋นกูดีขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดของไฉ่ฝ่ง

   "แหม...เกรงใจจริง ๆ " ทุกคนเมินหน้าไปแอบยิ้มกับข้างฝาบ้านแทนหน้าของจิ๋นกู  แต่ยังมีข้อกังขานิดหน่อยอยู่ดี

   "แต่เราให้แม่หนูคนนั้นเฝ้าคุณศิลาอย่างนั้นมันจะไม่งามนะ"

   "ไม่งามยังไง" ลินดา ขึงตาไม่พอใจขึ้นมาบ้าง

   "อย่าโกรธนะแม่ลินดา...ไฉ่ฝ่งหยี่ยี้...ให้ฉันหาลูกชายโสดตั้งแต่แมนฮัตตัีนไปจรดสเตเทินไอส์แลนด์มาให้แม่หนูคนนี้เลือกเป็นสิบ ๆ คน ตอนนี้ลูกชายของคุณสละสิทธิ์ไปแล้ว เกิดมีคนอื่นที่หนูคนนี้เลือกเขารู้เข้าว่ามาลีไปนั่งเฝ้านอนเฝ้าลูกชายของคุณ อย่างกับแฟนจะลำบากตอนแนะนำนา"

   ลินดาหน้าบึ้งในเสียงหัวเราะเล็ก ๆ ของคนอื่น ฉัตร ยื่นหน้าเข้ามาขวาง  "ไม่เห็นยากอะไรเลยก็บอกเขาไปสิว่าพวกเราเป็นญาติกัน"

   "พวกคุณก็รู้ดีว่าไม่ใช่" จิ๋นกูบ่นงึมงำ ทุกคนรู้ดีว่าสาเหตุที่ทำให้จิ๋นกูเป็นกังวลก็เพราะว่า อาชีพแม่สื่อ ขึ้นอยู่กับชื่อเสียงว่าต้องซื่อตรงไม่โกหกลูกค้า ผู้หญิงผู้ชายที่พวกเขาชักพามาให้เป็นคู่กันส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสเห็นหน้าและฐานะครอบครัวที่แท้จริงแม่สื่อเท่านั้นที่จะไปสืบข้อมูลให้พวกเขา ใครจะใช้แม่สื่ที่โกหก เพราะอนาคตลูกสาวลูกชายของพวกเขาขึ้นอยู่กับคำพูดของแม่สื่อ ถ้าโกหกจะอยู่ในอาชีพนี้ได้ไม่นาน จิ๋นกูจึงเคารพกฏข้อนี้มาก

   "โอ้ย....ใช่สิทำไมจะไม่ใช่" จักร พยายามเกลี้ยกล่อมตามความถนัดของเขา "มาลี กำพร้าพ่อแม่ตายหมดแล้วเวลานี้มาอยู่ นิวยอร์คไม่มีใครและมีพวกเราดูแลแทนพ่อแม่ของเขาก็ถือว่าอยู่ในปกครองของพวกเราไม่ญาติ ก็เหมือนญาติน่าจริงไหม ถ้าเขาเป็นอะไรไปพวกเราต้องเดือดร้อนไปดูแลอยู่ดีจะเป็นคนอื่นไปได้ยังไง"

     เบญจา ฟังบิดากล่อมแม่สื่อที่มีชื่อเสียงโด่งดังของไชน่าทาวน์แล้วอยากหัวเราะ จักรเก่งขนาดกล่อมแม่สื่อพูดเก่งช่างบรรยายอย่างจิ๋นกูจนเคลิบเคลิ้มได้สบายแต่ทำไมลำบากนักในการกล่อมพี่ชายของเธอให้แต่งงานไม่ได้อยู่ตั้งหลายปี หรือเรื่องทุกเรื่องต้องมีข้อยกเว้น เธอคิดอย่างไตร่ตรอง............

   ศิลาหวงความโสดยังกับอะไรดีพ่อของเบญจาและอาของเธอพยายามจับคู่เขากับสาว ๆ ของลูกเพื่อนบ้าง นักธุรกิจ ที่ทำการค้าระหว่างกันอยู่หลายปีแต่ศิลารอดเงื้อมือของทั้งสองไปได้ทุกครั้้ง จนศิลา ซื้อแมนชั่นที่สุดถนนยี่สิบหก เรียบเซ็นทรัลปาร์ค ทั้งสองฮึดลุกขึ้นมาปัดฝุ่นตื้อศิลาให้แต่งงานอีกครั้ง เพราะถือว่าการซื้อบ้านยอ่มหมายถึง ศิลา อยากแยกครอบครัวแต่งงาน  แต่ไม่มีผู้หญิงให้เห็นหน้า ทั้งสองจีึงชะงักไปนิดหนึ่ง

   วันหนึ่งก็มีหวังขึ้นมาเมื่อมีคนมาแจ้งว่าเพื่อนเก่าผู้มีพระคุณที่ประเทศไทย เสียไปแล้วทิ้งลูกสาวเอาไว้เพียงคนเดียวพวกเขาจึงติดต่อไปหา

   เบญจา ไม่ได้อยู่ฟังแผนการมากมายของผู้ใหญ่ในครอบครัวด้วยคำกำชับว่า ห้ามพูดให้ศิลารู้เด็ดขาดเธอยังหัวเราะเห็นเป็นเรื่องขันไม่คิดว่าจะมีใครสนใจข้อเสนอของพ่อและอาของเธอ แต่ไม่น่าเชื่อที่มีการตอบรับกลับมาหาฉัตรว่าตกลง ในที่สุดเจ้าสาวจากเมืองไทยก็มา.......เบญจา หัวเราะคิก ขึ้นมาไม่สนใจว่าผู้ใหญ่ทั้งหมดในห้องจะมองเธอด้วยสายตาปรามในความไม่สำรวม

   พวกเขาควรจะชินได้แล้วกับชีวิตสาวอเมริกาในดินแดนแห่งเสรีภาพที่มีเทพีเสรีภาพ ตัวเบ้อเริ่มที่ปากแม่น้ำฮัดสันยืนตัวแข็งทื่อชูคบเพลิงประคองใบประกาศเสรีภาพในอ้อมแขน ผู้ใหญ่พวกนี้คิดว่าพี่ชายของเธอเป็นหินยังไง  ผู้หญิงอย่างมาลี ไม่ได้ผ่านเข้ามาบ่อย ๆ ในชีิวิตของพวกผู้ชายหรอก เบญจา ส่ายหน้า...เสียเวลาคิดหาหนทางไปทำไมในเมื่อสองคนนั้นน่ะไม่เห็นต้องให้ใครมาจับคู่หรอกพวกผู้ใหญ่ไม่รู้จักมองเลยว่าพี่ชาย ลูกอาของเบญจา น่ะแทบจะไม่ยอมปล่อยมือมาลีทั้งที่ถูกใส่เตียงไปโรงพยาบาลอย่างนั้น อย่างนี้เหรอต้องการไล่ไปที่อื่น.......

ตอนที่ 10

    ผิวหนังคันยิบ ๆ แต่ศิลาบง่วงเกินกว่าจะตื่นขึ้นมาเกา นอกจากครางในลำคอด้วยความหงุดหงิด  หมดให้ขาเขาเต็มที่เพื่อทำการรักษา  ศิลาอยากจะหัวเราะกับเรื่องนี้ แต่ขำไม่ออก เขาแพ้หัวอาติโชก  รถกู้ชีพทำให้เขาฟื้นมาได้ยินเสียงโวยวายของผู้หญิงอยู่รอบตัวราวกับเกิดกลียุค

 

    เขาเป็นอะไร  เบญจาร้องลั่น

 

    ตายแล้ว เสียมาลี ไม่ต้องสงสัย

 

    ไม่ตายหรอกเขาออกหัดตัวจึงขึ้นเม็ดแดง ๆ จิ๋นกูตอบ

 

    เขาแพ้อะไรบางอย่าง อย่างรุนแรง  บุรุษพยาบาล แจ้งแก่ญาติคนป่วย เสียงขรึม ขณะรัดเข็มขัดตรึงศิลา กับเตียงเข็น  เพื่อจะยกพาลงจากชั้นสองของแมนชั่น

 

    ทำไมเขาจึงหมดสติฉับพลัน เบญจาร้องถามอยู่ข้าง ๆ   ศิลารู้สึกแรงเขย่า แน่ใจได้เลยว่า พวกเขากำลังยกร่างบนเปลเตียงเข็นพับได้ลงบันได ที่น้องสาวเขาคงวิ่งตามลงมา

 

    มีอาการ พ้หลายระดับนี่ขั้นรุนแรงครับ  มีเสียงเดิมตอบ

 

    ศิลา อยากจะลืมตาขึ้นแล้วเอ็ดน้องสาวว่าเลิกเซ้าซี้ซะที ก็มีแรงกระแทกและลมเกิดจากการเข็นกระดอนกระเด้งไป มันทำใ้ห้เขาคลื่นไส้ อยากจะอาเจียนจึงต้องหลับตาลงใหม่  เสียงเข็นรูดไปกับพื้นแล้วกระแทกตึงตังรอบตัว จึงรู้ว่าถูกพามาถึงรถพยาบาลแล้วทุกอย่างก็เงียบไปอีกครั้ง  นอกจากได้ยินเสียงบุรุษพยาบาลคนเดียวและแรงเหวี่ยงไปมาของรถที่แล่นอย่างเร็วจี๋

 

    หายใจไม่ได้  ศิลา ส่ายหน้าตามความจริงว่าเขาหายใจลำบาก  จึงมีการเพิ่มระดับออกซิเจนในหน้ากากของเขา  ไม่นานเขาก็มาถึงโรงพยาบาล หมอก็รุมตรวจความดันการเต้นของหัวใจ  เจาะเลือดทำนั่นทำนี่ และก็ฉีดยาหลายชนิดเข้าร่างกาย มันทำให้เขาดีขึ้นนิดเีดียวแล้วมหมอคนหนึ่งก็เบิกตาเขาให้มองสบตาด้วย

 

    อย่าเพิ่งหลับ  ศิลา พยักหน้า ครับ

 

    กินอาหารอะไรเข้าไปภายในหกชั่วโมงนี้

 

    ไม่ได้กินอะไรเลย

 

    สิบสองชั่วโมง           ไม่

 

    สิบแปดชั่วโมง         แซนวิชไส้ครีม อาติโชก

 

    ยี่สิบสี่ชั่วโมง          อาติโชก ต้มซุปอาติโชกไอติมอาติโชก เค้กอาติโชก  พูดแล้วทำให้ศิลาคลื่นไส้ ทำเสียงประหลาดในลำคอ  หมอช้อนคอ เขาลากให้นั่งแล้วยื่นกระโถนมารอใต้คาง ไม่มีอะไรออกมานอกจากเสียงประหลาด

 

    มันย่อยหมดแล้ว หมอหนุ่มพูดกับเขาเสียงเบื่อหน่าย

 

    นั่นแปลว่าอะไร      อาติโชกเข้าไปสู่กระแสเลือดของคุณ เรียบร้อยแล้วสิครับ มิสเตอร์....คุณแพ้อาติโชกที่กินเข้าไปอย่างรุนแรงครับ

 

    ไม่แค่กินผมดมมันมาเกือบยี่สิบชั่วโมง   ศิลา สามารภาพความจริงที่สยองที่ออกไป เมื่อรู้ผลแล้วว่าตนเองเป็นอะไร

 

    หมอหนุ่มกรอกตา  พระเจ้าคุณทำอะไรน่ะ

 

    ผมได้รางวัล อาติโชกเน่าเป็นของขวัญสี่ลังเต็มท้ายรถระหว่างเดินทางจากนิวเจอร์ซี่ มาถึงนิวยอร์ค

 

    มิน่าเล่าคุณถึงมีไข้สูงขนาดนี่  หมอหนุ่มบ่นอุบ  เอาเถอะเวลานี้คุณปลอดภัยแล้วจำไว้อย่าหวังโชค เมื่อเจอหัวอาติโชกอีก จงรันฟอร์ยัวร์ไลฟ

 

    แน่ใจได้เลย        เราจะให้ยาแก่คุณ จะง่วงมากแต่ทำให้คุณหายมิสเตอร์  แล้วจากนั้นโลกก็เงียบเย็นสบายแต่คันหน่อย ๆที่ผิวหนังความง่วงทำให้ไม่อาจตื่นขึ้นมาเกาได้

 

   บ่อย ๆ มากที่เขาลืมตาตื่นขึ้นมา จะรู้สึกว่ามีใครคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างเตียง มือของเธอนุ่มเย็นเบามากเกินกว่าจะเป็นนางพยาบาล  ฤทธิ์ยาทำให้เขาหลับกลับไปอย่างเดิมอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะได้รู้ว่าเธอเป็นใคร

 

    จวบจนครบยี่สิบสี่ชั่วโมง...ศิลา ตื่นขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับความสดชื่นหายง่วงเป็นปลิดทิ้งเหมือนเขาไม่เคยเมาฤทธิ์ยาหรือง่วงจนบังคับตัวเองไม่ได้ต้องนอนร่ำไป  สบายมาก...เมื่อเขาลืมตาขึ้น ประสาทหูของเขาทำงานครบเต็มที่

 

    ซืด.....เสียงคนสูดจมูกเบามากในห้องปรับอากาศอบอุ่นพอเหมาะที่เงียบกริบของโรงพยาบาล  เป็นเสียงคนร้องไห้...เขานิ่วหน้าทันที  เขาแพ้หัวอาติโชก ที่กระหน่ำ กินมาจากเทศกาลหัวอาติโชก แล้วหมอก็ฉีดยาให้เขานอนพักไม่ได้เป็นอย่างอื่นจนอาการหนักน่าเป็นห่วงนอกจากคันแล้วก็เป็นลมไข้ขึ้นนิดหน่อย ใครกันจึงมาร้องไห้เสียใจอย่างหนักคล้ายมีใครตายอย่างนี้

 

    เขาผงกหัวขึ้นจากหมอน หันไปหาที่มาของเสียงที่ข้างหน้าต่าง แค่เห็นเบื้องหลังของรูปร่างเพรียวระหงบอบบาง ความทรงจำของเขาพุ่งกลับเข้ามาอย่างรวดเร็ว

 

    มาลี.....ผู้หญิงที่ประกาศว่ามานิวยอร์คเพื่อแต่งงานกับเขาตามคำสั่งของพ่อของเขากับลุงจักร  เสียงเธอร้องไห้ทำให้หัวใจของเขาเจ็บปวดรวดร้าว รู้สึกคล้ายตนเองเป็นหนูสกปรกในท่อแสนน่าเกลียด อะไรจะทำให้เธอเสียใจได้ ถ้าไม่ได้คำพูดที่ไม่มีเยื่อใยของเขา

 

    มาลี    ศิลาเรียกเธอด้วยเสียงแผ่วสำนึกผิด  ทำให้เธอสะดุ้งรีบเช็ดน้ำตาก่อนจะหันกลับมา

 

    คุณตื่นแล้ว  เธอเดินเฉไปที่ประตู

 

    จะไปไหนมาลี เขาถามด้วยความสงสัย

 

    จะไปตามหมอว่าคุณตื่นแล้ว  เขาส่ายหน้า  นั่นที่หลัง มานี่ก่อน  เธอจึงยอมหันกลับมาอย่างเชื่อฟัง

 

    คุณอยากให้ฉันทำอะไรให้คุณหรือคะ         เข้ามาใกล้กว่านี้หน่อย  เขาสั่งเมื่อเธอหยุดไกลกว่าสองก้าวจากเตียง  มาลีพร  จำใจก้าวเข้าไปใกล้อีกก้าว เมื่อเขายืดกายนั่งบนเตียงเรียบร้อยแล้ว

 

    มานี่สิ น้ำเสียงเขาเริ่มรำคาญ  เธอจึงก้าวเข้าไปยืนข้างเตียงใกล้พอที่เขาเอื้อมมือไปไล่ที่หางตาแตะความเปียกชื้นไว้ที่ปลายนิ้วเมื่อหงายมันขึ้นดู

 

    ผมทำใช่ไหม  เขาตรง ๆ  เธอเบิกตากว้างรีบส่ายหน้าในความเข้าใจของเขา

 

    ไม่....ไม่ใช่...อย่าเข้าใจผิด เขาพ่นลมหายใจพืดออกมาแรง ๆ  นรกน่ะสิ..เสียงเธอฟังดู..อู้อี้..เขารู้ว่าเธอต้องอับอายที่ให้เขารู้ว่าเธอร้องไห้  จะพยายามร้องไห้อย่างเงียบที่สุดก็ตามอยากจะปลอบเธอแต่คิดถึงความทุกข์ใจของเธอที่เขาเป็นคนสร้างก็เปลี่ยนใจ

 

    ถ้าเขาใจอ่อน ก็จะต้องแต่งงานกับเธอแหงเลย เขายังไม่อยากแต่งงานมีอะไรให้เขาไปทำอีกเยอะแยะสรุปแล้วเขาจะยังไม่แต่งงานในอีกห้าปีเป็นอย่างน้อย  เธอเป็นคนดี....น่ารัก..เธอไม่ควรเป็นคนทำลายแผนของเขา

 

    ฟังผมให้ดีนะมาลี  เธอพยักหน้าพยายามฟังความคิดของเขา  แม้อยากจะบอกกับเขาว่าเขาเข้าใจผิด เธอไม่ได้ร้องไห้ เพราะเขา...ก็ไม่ใ่ช่ซะเลยทีเดียว  เธอคิดแล้วอัดอั้นใจกับสถานสภาพในเวลานี้ของตนเอง  ไม่อาจกลับเมืองไทยเพื่อจะให้ชีวิตอย่างที่หวังแม้อยากกลับไปสารภาพความผิดไม่แน่ใจได้เลยว่าศาลจะรับฟังว่าเธอมีเจตนาช่วยมาลี ให้พ้นเงื้อมือของเกษม  เพราะมาลีตายไปแล้ว  ไม่มีใครเป็นพยานความบริสุทธิ์ใจของเธอได้  และเธอเข้าใจด้วยว่าเขาไม่อยากแต่งงานกับเธอ  แต่เธอไม่มีทางเลือก..คงจะต้องเลือกใครสักคนจากรายชื่อที่จิ๋นกูหามาให้

 

    ผมไม่ได้รังเกียจคุณ ศิลา พยายามอธิบายอย่างลำบากใจ  ผมมีแผนการณ์ของชีวิตอีกห้าปีที่ต้องทำก่อนแต่งงาน

 

    ฉันไม่โทษคุณแล้วคุณจะโทษตัวเองทำไม

 

    นั่นยิ่งแย่ใหญ่  เขาไม่รู้จะบอกให้เธอเข้าใจได้อย่างไร

 

    ถ้าคุณมีเวลามากพอที่จะคิดเรื่องนี้ 

 

    ฉันบอกคุณแล้วว่าฉันมีเวลาไม่มาก  แล้วญาติพี่น้องของคุณก็ช่วยแก้ไขปัญหานี้แล้ว ด้วย...อย่าวิตกเลยค่ะ

 

    ขอบคุณที่เข้าใจ  เขารับอย่างหงุดหงิด  เธอต้องบ้าแน่ที่คิดจะแต่งงานกับคนพวกนั้น ตามรายชื่อที่เขาเห็น ไอ้พวกนั้นไม่เห็นจะมีใครดีสักคน  เขาจะต้องพูดเรื่องนี้กับพ่อและลุงจักรว่าไม่ควรให้เธอแต่งงานกับคนพวกนั้น

 

    คุณศิลาคะ  เธอเรียกเมื่อเห็นเขาใจลอยอีกแล้ว

 

    หือ.... เขาขานอย่างหงุดหงิด

 

    คุณไม่อยากให้ฉันไปตามหมอหรือคะ  เพราะหมอสั่งว่าจะอนุญาตให้คุณกลับบ้านได้ในวันนี้ทันทีที่คุณตื่น  เขาถอนใจ...ดีเหมือนกันเขาจะได้ไปหาพ่อกับลุง  จอมวางแผนคู่นั้นสักหน่อย

 

    คุณไปตามหมอเถอะ  มาลีพร ออกไปจากห้องเหมือนเธอพาเอาความสดใสสว่างไปด้วยศิลาเห็นมันชัดเจน น่าตกใจเขาเพิ่งเจอเธอไม่นาน เธอไม่น่ามีอิทธิพลกับเขามากขนาดนี้  ไม่ได้การแล้ว...เขาต้องรีบพาเธอไปส่งให้กับพ่อแม่ของเขาเร็วที่สุด  มันอันตรายที่ใกล้เธอ....พักใหญ่คนที่กลับเข้ามาพร้อมกับหมอ ไม่ใช่มาลี แต่เป็นอาคมพี่ชายของเขา

 

    เป็นอย่างไงไอ้เสืออาติโชก อาคมทักอย่างร่าเริง ศิลาตีหน้ายักษ์ให้พี่ชาย  ถ้านายพูดถึงอาติโชกฉันจะต่อยหน้านาย  หมอแตะฐานคอของศิลาระหว่างที่เขาขู่พี่ชายแล้วพูดว่า

 

    โอเค...คุณแข็งแรงพอแล้ว ที่ผมจะปล่อยคุณให้ออกไปแตะเจ้าหัวอาติโชกให้หายแค้นได้ แล้วถ้าคิดจะต่อยใคร เพราะอาติดชก ผมขอแนะนำว่าตลอดชีวิตนี้ คุณห้ามสัมผัสอาติโชกเด็ดขาด เพราะมันมีฤทธิ์ฆ่าคุณได้ในหมัดเียวเหมือนกัน  ศิลา หน้างอหงิกเมื่อหมอเดินออกไป อาคมทุบหลังน้องชายแล้วโยนกระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็กให้

 

    เปลี่ยนเสื้อผ้าซะฉันจะพานายไปส่งบ้าน  ศิลาเปิดซิปกระเป๋าดึงเสื้อผ้าก้าวลงจากเตียง

 

    มาลีไปไหน       เมียฉ้นชวนไปจ่ายเงินแล้วก็เอายาที่หมอให้นายเอาไปกินที่บ้านด้วย

 

    ศิลา เปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดของโรงพยาบาล  มาสวมชุดที่อาคมนำมาให้อย่างรวดเร็ว

 

    ฉันยังไม่กลับบ้าน       นายจะไปไหน  อาคมสงสัย

 

    พาฉันไปบ้านพ่อที        นายจะไปทำไม

 

    พามาลีไปคืนให้กับพ่อนะสิ  เพราะฉันกลับบ้านแล้วเธอก็ต้องกลับไปอยู่กับบ้านนั้น ผู้คนจะได้ไม่นินทา

 

    โอ้ยเรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอก  เพราะฉันพานายไปส่งที่บ้านก็จะให้ไอริณช่วยมาลีเก็บของอยู่แล้ว

 

    งั้นรึ  พอคนอื่นมีแผน ก็ทำให้ศิลา ชักลังเลใจ

 

    “”เราจะพามาลีไปอยู่ที่บ้านของฉัน   อาคมพูดหน้าตาเฉยที่สุด  แต่สำหรับศิลาพื้นห้องกลับยุบตัวได้ไปวูบหนึ่ง

 

ตอนที่ 11

 

    ทำไมมาลีต้องไปอยู่้บ้านนาย  ศิลาถาม พี่ชายเสียงห้วน  มีบางอย่างคุกคามเขากับความรู้ว่าอาคมจะพอมาลีไปอยู่ที่บ้านด้วย

 

   นายก็รู้ว่าพ่อแม่ ลุงป้าและคุณย่าไม่ค่อยสบายและพวกท่านก็ฝากฝังให้ให้มาลีไปอยู่กับเรา เพราะจิ๋นกูไปรายงานหมดแล้วว่านายไม่เต็มใจรับมาลีเอาไว้ในบ้าน  อาคมอธิบายง่าย เหมือนบอกกับเขาว่าลมพัดถูกผิวมันก็เย็นธรรมดาไม่มีอะไรผิดปกติ  แต่ศิลาน่ะแสบร้อนไปทั้งตัวโวยลั่น

 

   ผมไม่เคยพูดคำว่าไม่เต็มใจรับมาลีให้อยู่บ้านผม

 

   ก็นายพูดว่าจะไม่แต่งงานกับเขา  ศิลาอยากจะบีบคอจิ๋นกูแม่สื่อคนดังแห่งนิวยอร์ค ที่คาบข่าวนี้ไปบอกคนที่บ้่านนั้น  อาคมตีไหล่น้องชายแล้วหัวเราะเบา ๆ

 

   ไม่ต้องห่วงหรอก อยู่บ้านฉัน เมียฉันจะดูแลมาลีอย่างดีแล้ว หนุ่ม ๆ แถวบรู๊คลินก็มีหลายคนสนใจสาวน้อยจากเมืองไทยอยู่แค่เราประกาศออกไป มีหวังหัวกระไดบ้านฉันไม่แห้งแหงเลย

 

   ไม่มีทาง ศิลาตะโกน  พี่ไม่มีอำนาจจะทำอย่างนั้นเรื่องนี้ต้องพูดกับพ่อก่อนผมจะไปหาพ่อเดี๋ยวนี้ล่ะ

   พ่อไม่อยู่บ้านหรอก

 

   ไปไหน        พาทุกคนที่ไม่สบายไปหาหมด

  

   พาทุกคนที่ไม่สบายไปหาหมอ            ผมรอก็ได้

 

   ตามใจถ้านายจะทำอย่างนั้น  แต่ระหว่างที่นายรอพ่อที่บ้านนั้น ฉันจะให้ไอริณไปช่วยมาลีเก็บข้าวของเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา

  

   ไม่มีทาง  ศิลาตะโกนคำนี้อีกครั้ง  อาคมเกือบกลั้นหัวเราะไม่อยู่

 

   นายกำลังทำตัวไม่มีเหตุผลนะ เมื่อกี้นายยังบอกเลยว่าจะให้พามาลีไปจากบ้านของนาย แล้วนี่ก็มากลับคำ นายจะเอายังไงกันแน่วะ

 

   ผมบอกว่าจะให้เขาไปอยู่บ้านพ่อไม่ได้ไล่เขาซะหน่อย  อาคมทำหน้าตายสนิทกับคำเถียงอย่างข้าง ๆ คู ๆของน้องชาย

 

   มันก็แปลเหมืือน ๆ กันล่ะน่า

 

   ไม่เหมือน  ศิลาแผดเสียงอย่างลืมตัว

 

   นายบอกว่าคนจะนินทา ถ้าเขาอยู่บ้านนาย นี่ไปอยู่บ้านแันไม่มีใครนินทา  เพราะมีไอริณกับพาฝันอยู่ด้วย

 

   แผนเปลี่ยนแล้ว

 

   แกพูดอะไรของแกวะ

 

   ที่ผมให้เขาไป  เพราะคิดว่าเขาจะกลับไปอยู่กับพ่อ

  

   นายก็รู้ว่าพ่อกับคนทั้งบ้านไม่สบายให้มาลีไปอยู่ด้วยไม่ได้

 

   งั้นเขาก็จะไม่ไปไหนอยู่ที่บ้านของผมต่อไป

 

   เอางั้นหรือ...รบกวนนายแย่เลยนะ

 

   ไม่   อาคมคิดว่าถ้าขืนเขายั่วน้องชาย ต่อไปมีหวังถ้าศิลาไม่ต่อยเขา  เพราะทนไม่ไหวเขาเองนั่นล่ะที่จะต้องนอนลงกลิ้งหัวเราะกับพื้นไม่เลิกด้วยความขำสุดขีด  น้องชายของเขาไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน ไม่เลยสำหรับเรื่องผู้หญิง ที่จะทำให้ศิลามาดหลุดขนาดนี้ได้

 

   แล้วนายจะเอายังไง  อาคมพยายามกล้ำกลืนความขำแล้วถามขึ้นมาในที่สุด

 

   มาลีจะไม่ไปไหน เขาจะต้องอยู่บ้านผมไปจนกว่าพ่อกับแม่มารับเขากลับเมื่อพวกท่านหายป่วยอาการดีขึ้นแล้ว

 

   อาจจะหลายวันนา  อาคมหยั่งเชิงอีก

 

   เมื่อไรเมื่อนั้น  ศิลาพูดเสียงห้วนจัดกับอาคม

 

   ประตูเปิดออกขึ้นขัดจังหวะสองหนุ่มพี่น้อง ไอริณเดินคล้องแขนมาลีหิ้วถุงยาเดินเข้ามาในห้อง  ตามด้วยรถเข็นของบุรุษพยาบาล

 

   คุยอะไรกันคะสองพี่น้องหน้าตาซีเรียสจัง  ไอริณทักทั้งสองตามปรสาคนตรง  ศิลาเมินหน้าไม่ตอบอาคมเดินไปหาภรรยา

 

   ผมบอกเขาถึงแผนการณ์จะให้มาลีไปอยู่กับพวกเราที่บ้านศิลาเขาไม่เห็นด้วย

 

   อ้าว  แต่มาลีนั่นล่ะที่แปลกใจเธอเดินไปหาเขา

 

   คุณศิลาคะ

 

   ไม่ต้องพูดเลย  เขาห้ามเสียงดุ   กลับไปบ้านกับผม  พูดตัดบทเอาดื้อ ๆ ก่อนเดินไปขึ้นรถเข็นที่บุรุษพยาบาลเปิดรอรับ  ผมไม่ขึ้นนั่งได้ไหม ผมอยากเดินไปเอง  บุรุษพยาบาลผิวสียิ้มจนเห็นฟั้นขายใส่

 

   เสียใจอย่างมากครับนี่คือกฏไม่เช่นนั้นคุณไม่มีสิทธิ์ออกจากโรงพยาบาล

 

   ศิลา หันกลับไปมองคนอื่น ๆ ทุกคนส่ายหน้าไม่ได้เขาปฏิเสธพร้อมกันเขาจึงก้าวขึ้นนั่งบนรถเข็นอย่างไม่มีทางเลี่ยง  มาลี รีบเดินตามรถเข็นที่ศิลานั่งออกำปอย่างรวดเร็ว  อาคมรับถุงยามาจากภรรยาใส่ลงในกระเป๋าเสื้อผ้าที่เขานำมาให้ศิลาแล้วหิ้วมาคล้องแขนไอริณพาออกเดิน

 

   น้องชายคุณเป็นอะไรไปคะ จึงคัดค้านเรื่องทีเราจะพามาลีไปอยู่บ้านของเราฉันคิดว่าเขาจะตีปีกดีใจเสียอีก

 

   นายศิลาเป็นคนคิดมาก  อาคมพูดพร้อมก้ับรั้งภรรยาให้เดินคู่กับเขาไปด้วยอย่างอารมณ์ดี

 

   เขาคิดว่าบ้านเราไม่ดีที่ตรงไหน

 

   ไม่เขาไม่คิดว่าบ้านเราไม่ดี แต่เขาคิดว่าแถวบ้านเรมีฉลามชุกชุม  ไอริณเบิกตาโตอย่างไม่เชื่อหู

 

   บ้านเราอยู่คอนโอมิเนี่ยมนะคะ ถึงมันจะตั้งอยู่ริมแม่น้ำฮัตสันก็ตามอย่างนั้นหรือจะมีฉลาม  อาคมเบ้ปาก

  

   บางทีอาการแพ้ไอ้หัวอาติโชกทำให้ศิลานิสัยเปลี่ยนเป็นโรคขี้ระแวงขึ้นมาก็ได้มั้งคุณรีบ ๆ กันเถอะขืนเราช้าอาจทำให้อาติโชกในสายเลือดของหมอนี่พุ่งขึ้นมาอีกก็ได้  ไอริณเดินตามแรงดึงของสามีแต่ก็ยังอดพึมด้วยความฉงนใจไม่ได้

 

   ในแม่น้ำฮัตสันนี่นะมีฉลาม....ศิลาเขาเป็นเอามากจริงๆ

 

   ระหว่างทางกลับบ้าน บ้านหลังที่อยู่สุดถนนสายยี่สิบหกตรงข้ามเซ็นทรัลปาร์คภายในรถของอาคมไม่ได้เงียบกริบ  เพราะอาคมชวนคุยสารพัดกับภรรยาและทุก ๆ คนที่ทั้งตอบและร่วมสนทนาด้วย  แต่ศิลาไม่ยอมตอบคำถามหรือคุยกับพี่ชาย เขาไม่กลัวใครจะว่าเขาเสียมารยาทและเขาไม่แคร์ว่าพี่ชายจะน้อยใจด้วย เขานั่งกอดอกตัวเองแน่นตามองตรงไปข้างหน้า  ทำให้มาลีอึดอัดใจอยู่ไม่น้อย  แต่จนปัญญาจะกระทุ้งให้เขารักษากริยากับพี่ชายของเขา  พอรถจอดเทียบที่ฟุตบาทหน้าบ้านเขาก็พูดขึ้นเอง...

 

   ขอบใจที่ไปรับมาส่ง...แต่ไม่ต้องลำบากเข้าไปบ้านของฉันหรอกมาลีจะพาฉันขึ้นไปเองได้  แล้วเขาก็เปิดประตูรถลงไปเอง  มาลีรีบตะกายลงจากรถโดยลากเอากระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็ก ติดมือลงไปด้วย สองสามีภรรยาไม่ได้ลงจากรถ แต่ไขกระจกหน้าต่างยื่นหน้าออกมาพูด

 

   ถ้าไม่มีอะไรให้ฉันช่วย ฉันกับไอริณไปก่อนนะ

 

   อย่าลืมกินยาที่หมอให้มานะมันอยู่ในกระเป๋าเสื้อผ้าแล้ว  ไอริณยื่นหน้าผ่านอาคมร้องบอกกับมาลี

 

   อาคมออกรถไปอย่างรวดเร็ว  ทั้งสองยืนอยู่ที่ถนนมองท้ายรถของอาคมเป็นตาเดียวกัน อึดใจต่อมามาลีพรหันกลับมาหาคนตัวสูงกว่าเธอ เอ็ดตะโรใส่เขา  คุณแย่มาก

 

   อ้าว...คุณมาว่าผมทำไม      คุณเป็นคนเหลือขอ  เธอพูด ขณะที่หันหลังเดินขึ้นบันไดเจ็ดก้าวของแมนชั่นโดยมีเขาเดินตามติด ๆ ด้วยความฉุนเฉียวพอกัน

 

   คนนิสัียไม่ดี  เธอพูดกับกุญแจบ้านที่ไขประตูให้มันเปิดออกอย่างกระแทกกระทั้น

 

   คุณว่าผม ศิลาเถียง ใส่เบื้องหลัีงที่เธอเดินเข้าประตูผลักประตูปิดตามหลังเกือบกระแทกใส่ดั้งจมูกเขา

 

   คนไม่มีน้ำใจ  เธอตะโกนเข้ามไหล่มาเมื่อผลักประตูบานทีสองชั้นในไปอีก

 

   เขาต้องรับประตูแล้วเดินตามหลังเธอเข้าไปในบ้าน แล้วหยุดเท้าตัวเองเกือบไม่ทันเมื่อเธอหันขวับกลับมาอย่างกะทันห้ัน

 

   อุ๊ย...ทำไมไม่บอกก่อนหยุดผมเกือบชนคุณแล้วนะ  ศิลาอุทานอย่างเสแสร้งเพื่อหลบดวงตาที่ดุเดือดของเธอ  มาลีพร ปัดมือของเขาออก

 

   ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลยคุณทำให้พี่ชายของคุณอับอาย  ศิลา กลอกตาแล้วเบ้หน้า  ผมทำอะไร

 

   พี่ชายของคุณพยายามช่วยเหลือคุณอยู่นะ ทำไมคุณถึงไม่รับข้อเสนอของเขา  เขานิ่วหน้าแล้วเท้าสะเอวโต้เธอด้วยเสียงเขียวพอกันบ้าง

 

   นี่ผมเพิ่งจะรู้นะว่าคุณเป็นพวกอพยพที่ชอบเร่รอนไปบ้านคนนั้นที คนนี้ที  มันแทงใจเธอเหมือนคมมีดจนตัวงอ  ศิลา ตกตะลึงตกใจที่เห็นอาการอย่างนั้น

 

   มาลี....คะณเป็นอะไรเจ็บที่ไหน...มีอะไรบอกผม  ชื่อของคนอื่นที่เขาเรียกเธอทำร้ายจิตใจของเธอมาก

 

   เธอปัดมือที่เอื้อมมาของเขาออกอย่างไม่ใยดี  ไม่ต้อง...

 

   เขาชักมือออกมามองเธอเขม็ง  มีอะไรที่ผมพูดใช่ไหม

 

   ฉันไม่มีบ้าน เธอพูดเสียงเรียบ ไร้ความรู้สึกแต่ดวงตาเป็นประกายวาว  คุณจะเรียกฉันว่าเรฟูจิ คนอพยพก็ได้ฉันไม่มีที่ไปจึงต้องมาอเมริกา มาแต่งงานกับคนแปลกหน้าที่ตนเองไม่รู้จักว่าเขาจะดีจะร้ายหรือบ้าก็ไม่รู้นี่คือชีวิตของคนอพยพ

 

   ศิลา อยากจะกัดลิ้นตัวเอง รู้สึกเหมือนเขาทุบตีเธอจนเลือดไหล  แต่มองไม่เห็นบาดแผลหรือเลือดสักหยดเขาก็ยังรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดของเธอ

 

   ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น  เขาพยายามแก้ไขความผิดที่ทำไปโดยไม่ได้ตั้งใจ  เธอยื่นกุญแจบ้านคืนให้กับเขา

 

   ฉันจะไปอยู่กับพี่ชายของคุณ  เขาปัดมันทิ้งเหมือนเธอยืนของร้อนให้กับเขา

 

   ผมไม่ได้คุณไปอยู่ที่อื่นหรอก  น้ำเสียงเขาโกรธนิด ๆ ไม่ได้วิงวอน ไม่เขาเป็นคนไม่เคยวิงวอนใคร เขาจะไม่ทำมันแม้จะเพื่อเธอแต่เขาจะบังคับเธอด้วยความอ่อนโยน

 

   คุณบอกว่าผมแย่มากเป็นคนเหลือขอนิสัยไม่ดี ไม่มีน้ำใจ คุณตัดสินผมโดยไม่เคยให้โอกาสผมพิสูจน์ให้คุณเห็นว่าผมไม่ใช่คนอย่างนั้นทั้งที่ผมยินดีให้คุณอยู่บ้านของผมจนกว่าจะหาทางแก้ไขปัญหาของเราได้

 

   มันไม่ใช่ในตอนแรกจำได้ไหมว่าคุณไม่เต็มใจ

 

   แต่เวลานี้มันเปลี่ยนไปแล้วผมเต็มใจ  แต่คุณไม่ให้โอกาสผม ถ้าคุณไป คุณนั่นล่ะที่ไม่มีน้ำใจให้กับผม

 

   เธอพูดไม่ออก    ฉันทำเพื่อคุณนะคะ

 

   ผมต้องการอย่างนี้คุณจะไม่ไปไหนจนกว่าเราจะตกลงกันได้ต่อหน้าพ่อแม่ผลอย่างน้อยคุณควรช่วยให้ภาพพจน์ของผมดีขึ้นไม่ใช่หรือ 

 

   เธอนิ่งตัดสินใจไม่ได้  ศิลาลากมือเธอขึ้นมากุมอย่างอ่อนโยน

 

   มาลีอยู่ต่อเถอะนะอย่างไปเลยผมขอร้อง

 

   คุณอยากทำอย่างนี้จริง ๆ หรือ

 

   ใช่ผมอยากแก้ไขในสิ่งที่ผมทำไม่ดีกับคุณ

 

   ไม่ต้องเลยค่ะฉัน....

 

   เขาแตะนิ้วที่ริมฝีปากนุ่มของเธอให้หยุดพูด  มาลีพรตัวแข็งกับสัมผัสที่สนิทสนมเบิกตามองเขา

 

   อย่าพูดเลย อย่าเริ่มอีกในเมื่อพวกเราได้ข้อสรุปแล้วว่าคุณจะไม่ไปไหน

 

   ค่ะ   เธอรับคำอย่างว่าง่าย  ไม่ใช่อย่างที่เธอตั้งใจเลยสักนิด แต่เธอไม่มีอำนาจจะต่อต้านเขาได้ไม่เลยกับสัมผัสอันอ่อนโยน เธอได้วางอนาคตของเธอไว้กับเขาไปแล้วโดยไม่รู้ตัว เธอไม่รู้เขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน

 

ตอนที่ 12

 

   มีข้อตกลงใหม่ของเขาทั้งสองเกิดขึ้นระหว่างศิลาและมาลีพรในการอาศัยอยู่ร่วมบ้านเดียวกัน รอจนกว่าอาการป่วยด้วยโรคลึกลับของครอบครัวของฉัตรจะดีขึ้น

 

   คุณนอนในห้องนอนใหญ่เถอะ ไม่ต้องเปลี่ยนที่นอนกันอีกส่วนผมจะไปนอนที่ห้องทำงานที่นั่นมีเตียงใหญ่อย่างที่คุณเห็น  ศิลา สั่งโดยไม่ฟังคำทัดทานจากเธอ

 

   คุณใช้ของทุกอย่างของผมได้ตามใจชอบเหมือนบ้านคุณเอง

 

   ฉันจะซักเสื้อกีฬาคืนให้คุณ

 

   ไม่ต้องเลย ผมไม่ใช้มันมาหลายปีแล้วและ ผมว่ามดูดีกว่าที่ผมสวมมันอีก  เขาทำให้เธอเขินอาย  มันสนิทสนมเกินไปมีแต่คู่รักกันเท่านั้น จึงแบ่งปันเสื้อผ้ากันใส่เธอสัญญากับตัวเองว่าเธอจะไม่แตะต้องเสื้อผ้าของเขาอีก

 

   ผมหิวแล้ว ศิลาพูดขึ้น  เพราะรู้ตัวดีว่าพูดล้ำเส้นไปหน่อยเธอขี้อายเหมือนผู้หญิงที่มาจากเอเชียทุกคนเลยที่ไม่ค่อยกล้าผู้ชาย  ยังนึกแปลกเลยว่ทำไมเธอจึงตั้งเป้าชีวิตว่าจะแต่งงานกับคนแปลกหน้า

 

   เธอคงไร้เดียงสาจนไม่รู้หรอกว่าผู้ชายกับผู้หญิงแต่งงานกันแล้วน่ะยิ่งกว่าแบ่งเสื้อผ้ากันสวมเสียอีก คิดแล้วสะท้อนใจน่าเสียดาย...ใครนะจะเป็นคนที่สอนเธอเรื่องนี้..ก็คงต้องเป็นผู้ชายคนใดคนหนึ่งที่เธอเลือกขึ้นมาจากรายชื่อของจิ๋นกู  ไม่อยากให้เธอเลือกใครเลย...

 

   เขาเองก็ไม่อาจจะแต่งงานกับเธอได้เช่นกัน แผนของเขาจะขยายงานเปิดกิจการขยายสาขาเพิ่มห้าปียังอีกยาวไกล  เวลานั้นเธอจะเป็นยังไงบ้างนะอาจจะมีลูกสองสามคนแล้ว  ความรู้สึกบางอย่างฉีกทิ้งที่หัวใจเมื่อคิดว่าเธอจะมีลูกให้กับผู้ชายอื่น  มาลีพรไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรนอกจากเห็นเขาหน้าตาเครียดใจลอยไม่พูดไม่จาอีก  จึงไปเปิดตู้เย็นดึงกล่องใส่อาหารสองสามใบออกมาวางเรียงเต็มโต๊ะกลางครัว

 

   คุณอยากจะกินอะไรคะ..ฉันจะอุ่นให้คุณกินค่ะ คุณกินอาหารหนัก ๆ ได้ไหมคะหรือว่าต้องการอาหารอ่อน ๆ อย่างซุปโจ๊กอะไรอย่างนั้น  เธอก้มหน้าก้อมตาเลือกดูอาหารที่จิ๋นกูทำมาใส่กล่อง ให้เธอหยิบเตรียมมาอุ่นให้ศิลากินได้ทันทีง่าย ๆ

 

   เขามองเธอแล้วรู้สึก ยากที่จะบรรยาย มันแปลกที่บ้านเขามีผู้หญิงมาอยู่ด้วย  เมื่อก่อนเขาเคยคิดว่าน่ารำคาญ แต่เมื่อเธออยู่ที่นี่มันทำให้รู้สึกอบอุ่น  เขาเงียบไปเธอจึงเงยหน้าขึ้นมอง  ศิลา จึงหลบไม่ทันนอกจากเสเมินหน้าไปมองที่อื่นแทน เขาหน้าแดงเหมือนเขินอาย ๆ มาลีพรคิด...แต่เรื่องอะไรกันล่ะ...

 

   คุณต้องการอะไรคะ

 

   ผมกินได้ทุกอย่างน่าแปลกเวลานี้ผมรู้สึกหิวมากคงกินได้ทั้งหมดที่คุณเอาออกมาโชว์ตรงหน้า  คำว่าหิวของเขาทำให้เธอยอมละทิ้งความสงสัยหันกลัีบไปจัดการอุ่นอาหารให้เขากิน แล้วทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปด้วยดี

 

   เขากินข้าวผัดหนำเลียบใส่หมูสับกับเกี๊ยวน้ำกุ้งหนึ่งชามไม่ได้กินมากมายอย่างที่เขาพูดเลยมาลีพร เลือกอาหารเหมือนเขาจึงเหมือนช่วยกันกินไม่มีของทิ้งเหลือเสียหาย ทั้งสองช่วยกันเก็บกวาดทำความสะอาดอย่างรวดเร็ว  เขามองนาฬิกามันบอกเวลาบ่ายจัดแล้ว

 

   คุณควรจะนอนพัก เธอเริ่มก่อน

 

   ผมนอนมานาตั้งยี่สิบสี่ชั่วโมงไม่ง่วงหรอกผมจะออกไปข้างนอก

 

   อ่อ  เธอทำอะไรไม่ถูก เพราะคิดไม่ออกว่าจะทำอะไร หลังจากเขาไปแล้ว  สมัยที่อยู่บ้านพ่อของเขาเธอไม่เคยเหงา  เพราะมีคนผลัดมาชวนคุย ชวนพูดและทำอะไรในบ้านได้ทั้งวัน  เพราะที่นั่นมีคนมากกว่าที่นี่บ้านของศิลาหลายเท่า

 

   ไปด้วยกันสิ  เขาชวนดื้อ ๆ    ไปไหนคะ

 

   ผมไปนิวเจอร์ซี่หลายวันกลับมาก็เข้าโรงพยาบาลไม่รู้ว่างานของผมไปกันถึงไหนแล้ว

 

   ไม่เหมาะมั่งที่ฉันจะไปด้วยถ้าคุณต้องทำงาน

 

   คุณรู้หรือว่าผมทำงานอะไร

 

   ลุงจักรบอกว่าคุณบริหารตลาดไทขายสินค้าสำหรับภัตตาคาร และซุปเปอร์มาร์เก็ตต่าง ๆ ที่ต้องการอาหารสดและอาหารแห้ง

 

   คุณไม่อยากไปดูหรือ                อยากค่ะ....แต่...

 

   งั้นจะลังเลทำไมไปกับผมสิ              ไม่รบกวนหรือคะ

 

   ผมเป็นเจ้าของมีระบบบริหารของมันอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้้นผมจะไปไหนไกล ๆ หลายวันได้อย่างไร  ถ้าไม่ีมีคนทำงานให้ผม เราเข้าไปตรวจอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ เท่านันเอง  ทั้งสองจึงเปลี่ยนเสื้่อผ้าลงไปที่รถของเขา

 

   ศิลา นิ่วหน้าอุทานขึ้นมาก่อนจะถึงรถของเขาเสียอีก เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาเอาอาติโชกสี่ลังไว้ท้ายรถ  อาติโชก

 

   ไม่ต้องกลัวหรอกค่ะ ฉันจะช่วยคุณเอง  มาลีพร อาสาขึ้นมาแต่เขาใช้แขนปาดตัวเธอออกเดินเข้าไปเปิดท้ายรถขึ้นมา กลิ่นอาติโชกสดหอมกรุ่นของพืชสด ๆ ลอยขึ้นมา  ศิลา ยกมันขึ้นมาทีเดียวสองลังเดินลิ่วไปโยนทิ้งใส่ถังขยะใบใหญ่หน้าบ้านแล้วย้อนกลับมาเจอมาลีพร กำลังงัดลังอาติโชกขึ้นมาจากท้ายรถ

 

   ไม่ต้องเลยอยู่เฉย ๆ   เขาหอบอีกสองลังไปทิ้งแล้วเดินย้อนกลับเข้ามาใหม่เปิดประตูออกให้เธอขึ้นไปนั่งก่อนที่เขาจะขึ้นนั่งประจำที่คนขับ

 

   คุณไม่เป็นอะไรนะคะ  เธอถามด้วยความเป็นห่วง

 

   ผมสบายดี เขาพูดแล้วติดเครื่องยนต์ทันทีอุ่นเครื่องมันสักครู่

 

   นั่นมันอาติโชกนะคะ

 

   ผมแพ้จนต้องนอนหมอบ เพราะไปกินมันเข้าไปน่ะสิ  แต่ดมกลิ่นก็ไม่มีอะไรคุณอย่ากลัวเลยว่าผมจะแพ้มันอีกเป็นครั้งที่สองไม่มีวันที่ผมจะเข้าใกล้จานอาติโชกอีก

 

   รู้อย่างนี้ค่อยสบายใจหน่อย  เขาเปิดเครื่องทำความร้อนภายในรถ ด้วยหางตาเห้นเธอถูมือกับแขนคล้ายขับไล่ความหนาวเย็น มาลีพร เงยหน้ามองตึกสูง ๆ เมื่อรถแล่นผ่านไปในการจราจรที่เริ่มติดขัด เพราะเป็นเขตใจกลางเมือง

 

   ร็อกกี้เฟลเลอร์ บิวดิ้งอยู่ถนนเดียวกันกับตึกเอ็มไพร์สเตทหรือคะนี่  เธออุทาน ด้วยความตื่นใจที่เห็นตึกสูงรูปทรงกรวยแหลมที่โด่งดังมาเกือบร้อยปีอยู่ปลายทางข้างหน้า

 

   คุณชอบมันไหม ศิลาถาม เมื่อเห็นเธอดูตื่นใจ

 

   ฉันรู้จักมันจากหนังสือเท่านั้น

 

   เขาเปิดให้ขึ้นไปดูชั้นบนสุดด้วยถ้าคุณสนใจผมจะพอคุณขึ้นไปดู

 

   จริงนะคะ  เธอร้องด้วยความตื่นเต้น  ฉันได้ยินมาว่าเขาจะให้บัตรแสดงที่ระลึกว่าเราเคยขึ้นไปชั้นบนสุดแก่คนที่ขึ้นไปด้วยคุณพาฉันไปได้ไหม  เธอเขย่ามือเขาอย่างลืมตัวคล้ายเด็กแสดงความอยากในสิ่งทีใฝ่ฝัน

 

   เขาพยักหน้าหัวเราะไปด้วย  ได้สิ...ได้...แต่คุณต้องหยุดเขย่าผมก่อน  มันอันตรายนะ เพราะผมกำลังขับรถอยู่  เธอหน้าม่อยไปนิดหนึ่งอย่างสำนึกผิด

 

   ฉั้นขอโทษค่ะลืมตัวไปหน่อยหนึ่ง..ฉันไม่อยากให้ตัวเองตกเทรนด์ว่าไหน ๆ มาถึงนิวยอร์คทั้งทีไม่ได้ไปขึ้นตึกเอ็มไพรสเตทที่เป็นสัญญาลักษณ์ของนิวยอร์ก

 

   ความจริงมีหลายตึกที่โด่งดังไปทั่วโลกในถนนวอลสตรีทน่าเสียดายที่ตึกเวิลด์เทรด เหนือใต้ถูกผู้ก่อนการร้ายชื่อบินลาเด็นบงการ ทำลายมันไปซะแล้ว ไม่อย่างนั้น คุณก็จะได้ขึ้นไปอยู่บนจุดที่ถือว่าเป็นตึกที่เป็นศูนย์กลางการค้ืาที่ใหญ่ที่สุดในโลกไม่ควรเลยที่คนเราจะทำลายและทำร้ายคนอื่นจากคำสอนที่เอียงกระเท่เร่แบบนั้น

 

   คำสั่งสอนคนคนอธรรมนำมาซึ่งการกระทำที่ไร้ศีลธรรม  ศิลา หันกลับมามองเธอเต็มตาด้วยความทึ่ง ในช่วงระหว่างรถหยุดตามสัญญาณไฟ  มาลีพร รู้สึกเขินขึ้นมากับสายตาของเขาจนหน้าแดง จนต้องเมินหน้าออกไปมองหน้าต่างโชว์สินค้าที่เปิดไฟร้านค้าเอาไว้สว่างไสว

 

   วันนี้เย็นมากแล้วเราคงขึ้นไปดูวิวบนตึกเอ็มไพร์สเตทไม่ได้ เพราะเขาจะปิดประมาณหกโมงเย็น  ศิลาพูดให้เธอรู้  แม้จะเสียดายเธอก็ต้องพูดให้เขาสบายใจ

 

   เรามากันวันหลังก็ได้ค่ะ

 

   แต่วันนี้ผมมีอะไรให้คุณต้องทำก่อนจะไปที่ตลาดไทของผม

 

   อะไรหรือคะ          เดี๋ยวคุณจะรู้  เขาหันหัวรถ เข้าในตึกจอดรถ รับฝากในย่านการค้ากลางเมืองทันที

 

   เรามาที่นี่ทำไมคะ  มาลีพร ถามเมื่อเงิยหน้ามองป้ายชื่อร้านลาฟิวส์บูติค

 

   เราจะหาเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับอากาศในเดือนพฤศจิกายนไปถึงหมดฤดูหนาวของนิวยอร์กให้กับคุณ  ศิลาตอบเสียงขรึม

 

   เธอก้มลงมองเสื้อกันหนาวราคาถูกตัดจากผ้าร่มยัดใยสังเคราะห์จนหนาที่เธอสวมทับเสื้อไหมพรมถักตัวเก่าโทรมมาหลายปีที่เธอใช้ประจำตลอดหน้าหนาวหลายปีที่กรุงเทพฯ

 

   มันไม่มีอะไรบกพร่องนี่คะมันใส่ให้อุ่นพอแล้วค่ะ  เธอรีบปฏิเสธเสียงแข็ง

 

   เขาส่ายหน้าแล้ว ลากมือเธอที่โก่งตัวคล้ายแมวดื้อให้เดินตามเขาเข้าไปในร้านขายเสื้อผ้าสตรีที่ออกจะดูมีระดับน่ากลั้วราคาจะแพง

 

  ไม่ได้มันไม่อุ่นพอหรอก คุณต้องสวมผ้าขนสัตว์หรืออย่างน้อยก็ไหมพรมทอ ทับด้วยเสื้อแจ็กเก็ตหนังกันลมให้ความอบอุ่นโดยไม่ต้องสวมชุดเหมือนคุณเป็นหมีอวกาศอย่างนี้

 

   ฉันมีเสื้อผ้ามากพอแล้ว  มาลีพร ยังพยายามยังยั้งขาด้วยการเถียงเบา ๆ  ถ้าไม่กลัวอายคนอื่นที่อยู่ในร้านนี้เธอคงเหนี่ยวกรอบประตูไม่ยอมให้เขาพาเข้ามาในร้านขายเสื้อผ้าร้านนี้แล้ว แต่การทำตัวเป็นจุดเด่นน้อยที่สุดจะปลอดภัยกว่าด้วยการตามเขาไปอย่างแข็งขืน เขาทำเสียงลมออกจากจมูกอย่างไม่พอใจ

 

   กระเป๋าที่เล็กกว่ากระเป๋าใส่เครื่องสำอางค์ด้วยซ้ำไปของคุณนั่นหรือจะมาบอกผมว่า คุณมีของมามากมาย พอเถอะผมจะหาเสื้อผ้าหนา ๆ ให้คุณหายสั่นซักหน่อย  สีแดงเริ่มเป็นจุดที่แก้มแล้วแผ่กระจายไปทั่วผิวแก้มด้วยความอับอาย  เขาสังเกตเห็นความกระจอกของเธอว่าไม่ได้เตรียมอะไรมาจากเมืองไทยจนเหมือนขัดสน เธอเชิดหน้าขึ้นมองสบตากับเขา

 

   ฉันรู้ว่าคุณคิดว่าฉัีนแต่งกายไม่หรูแต่การพาฉันมาที่นี่ คุณควรรู้ไว้ด้วยว่า  ฉันไม่มีเงินมากพอที่จะซื้ออะไรสักชิ้นเดียวจากร้านนี้หรอกค่ะ เรากลับกันเถอะ  ศิลาคว้าไหล่หมุนเธอกลับมาเมื่อเธอหมุนจะก้าวออกไป

 

   คุณนี่ถ้าจะไม่เคยรับของจากผู้ชายคนไหนเลยใช่ไหมจึงไม่รู้ว่าการที่ผู้ชายพาผู้หญิงเข้าร้านขายเสื้อผ้า ผู้ชายคนนั้นต้องเป็นคนจ่ายเงิน

 

   ใช่ฉันไม่เคยรับอะไรจากผู้ชายคนไหนทั้งสิ้นและจะไม่เริ่มวันนี้ด้วย  มือแข็งแรงบีบไหล่เธอแน่นไม่ยอมปล่อย ไม่สนใจด้วยว่ามีคนเริ่มมองพวกเขาแล้ว

 

   งั้นคุณต้องเรียนรู้ที่จะรับได้แล้วในวันนี้ ถ้าคุณมาเพื่อเป็นเจ้าสาวจากแดนไกล อย่างนี้คือธรรมเนียม

 

   คุณโกหกผู้ชายอเมริกันงกจะตายไม่ยอมซื้ออะไรให้กับผู้หญิงที่เขาไม่ได้อะไรจากเธอในฐานะที่คุณกับฉันไม่ได้เป็นอะไรกันฉันจะไม่รับของจากคุณ  ศิลาอยากจะจับเธอเขย่านัก 

 

   ทำไมคุณเป็นคนดื้ออย่างนี้ต้องให้ผมบอกหรือว่านี่คือผลประโยชน์ของผม

 

   หมายความว่ายังไง

 

   จะมีคนสนใจคุณได้ยังไง ถ้าคุณแต่งตัวเหมือนลูกหมีเดินได้อย่างนี้ ตราบใดที่ไม่มีใครสนคุณมันอันตรายสำหรับผมที่จะถูกจับให้คู่กับคุณอีก

 

   ในเมื่อให้กันดี ๆ ไม่ได้ เขาก็ต้องโกหกเอาดื้อ ๆ ม้ันแทงใจดำเธอให้รู้ว่าเธอไม่มีเสน่ห์สำหรับเขาและใครเลยและเธอก็เป็นอันตรายต่อความโสดของเขาอย่างน่ารังเกียจขนาดลงทุนเสียเงินปรับโฉมเธอใหม่เพื่อตัวเขาเอง

 

   ก็ได้  เธอเชิดใส่เขา  มันเป้นการลงทุนของคุณนี่จะทำอะไรก็เชิญ ถ้าหากว่า คุณต้องเสียเงินเปล่า อย่ามาโทษฉันก็แล้วกัน  เธอจบด้วยการขึงตาใส่เขาจากนั้นพวกเขาก็เริ่มซื้อเสื้อผ้ากันเขาสั่งให้เธอเข้าไปลองเสื้อทุกชุดที่เขาดึงออกมาจากราวแขวนและ ซื้อทุกตัวที่เธอลอง จนเธอต้องโวยว่าจะไม่ใส่ ถ้าขืนเขาขนซื้อมากขนาดนี้

 

   กว่าทั้งสองจะหยุดการซื้อที่ทั้งทะเลาะและโต้เถียงกันไม่หยุดเธอก็ได้เสื้อผ้าไหมพรมแคชเมียร์สี่ตัวกระโปรงขนสัตว์เนื้อนุ่ม ที่ใส่แล้วอุ่นสบาย อีกครึ่งโลกกับเสื้อแจ็กเก็ตหนังหนึ่งตัวโค้ตผ้าขนสัตว์ตัวยาวอีกหนึ่งตัว หมวกสี่ใบกับผ้าพันคอไหมแคชเมียร์อีกครึ่งโหลแถมเสื้อไหมพรมถักคอเต่าอีกสองตัวที่เขาหยิบเพิ่มตอนท้าย

 

   แม้จะอีหลักอีเหลือ เหลือประมาณที่เขาขนซื้อของมากมายจนชวนขนลุกกับราคาที่เขาต้องจ่ายไป  แต่ดูเขาไม่กะพริบตาด้วยซ้ำที่พนักงานขายโชว์ตัวเลข ให้เขารู้ก่อนจะนำบัตรเงินเครดิตของเขาไปรูด

 

   เขาคงรวยมาก...ไม่แปลกใจเลยทำไมพี่เธอจึงยอมทิ้งทุกอย่างที่เมืองไทยเพื่อมาแต่งงานกับเขา ทั้งสองออกจากร้านลาฟิวส์บูติคฟ้าข้างนอกก็มืดสนิท ถนนเปิดไฟฟ้าสว่างทั่วแล้ว ถุงและกล่องเสื้อผ้าเต็มอ้อมแขนทั้งสองจนบดบังทางเดินให้เห็นไม่ถนัด  เมื่อมีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาปะทะจนของตกจากแขนของศิลา

 

   ไฮ้... เขาอุทานคำสบถอย่างลืมตัว ยังไม่ทันที่เขาจะก้มลงเก็บของที่หล่นตกพื้น  มีแรงตบไหล่พร้อมกับเสียงร้องทักดังลั่น

 

   ไฮ้....ศิลา....มาทำอะไรที่นี่  แค่ได้ยินเสียงร้องทักเขาก็รู้แล้วว่าความยุ่งยากมากเยือน  เพราะนายคนนี้ืคือกมล หนึ่งในรายชื่อต่อจากเขาในรายชื่อผู้ชายที่สมควรจะได้แต่งงานกับมาลี

ตอนที่  13

     มาลีพร มองหนุ่มน้อย หน้าตาเกลี้ยงเกลา ผิวขาวจัดอย่างคนเมืองหนาว  เขาสูงและตัวตรงอย่างนักกีฬาหรือไม่ก็คงเป็นคนไปเข้าโรงยิมฟิสเนสบ่อย ๆ

 

     เขายิ้มกับเธอตรง ๆ หลังตีไหล่ศิลาป๊าบใหญ่  ไฮ้..... เขาทักเธอ  ทำให้เธอต้องยิ้มตอบ ตามมารยาทที่มีติดตัวมาจากประเทศไทยสยามเมืองยิ้ม

  

     ศิลาหน้าบึ้ง คว้าถุงจากพื้นยึดตัว เข้าขวางบังมาลีพรเกือบมิดจากสายตาของเพื่อนของเขา 

 

     ไงศิลา กมล ทักศิลาหน้าระรื่น อารมณ์เขาดีเพราะผู้หญิงที่มากับศิลายิ้มให้กับเขา ถือว่าเธอมีไมตรีตอบ 

 

     ศิลารู้ว่าเพื่อนคิดอะไรจึงตีหน้ายักษ์ใส่  สบายดี....แล้วเจอกันนะ  เขาคว้าแขนมาลีพร ทั้งที่มือเขาแทบจะล้นไปด้วยถุงเสื้อผ้า หวังจะออกเดิน  กมลรีบมาขวางหน้า

 

    เฮ้ย....ทำไมนายไม่มีมารยาทในการทักทายเลย....แนะนำให้ฉันรู้จักคนที่มากับนายบ้างสิ  ไม่มีทางหนีพ้นหรอก....ศิลาคิดด้วยความโมโห   ถ้าเขาวิ่งหนี  นายกมลวิ่งตามอย่างไม่ต้องสงสัย  เขารู้นิสัยเพื่อนคนนี้ดีว่าเป็นนักไล่ล่าแค่ไหนจึงจำใจแนะนำลวก ๆ อย่างขอไปที 

  

   กมล....นี่มาลีและมาลี .......นี่กมล  กมลเบิกตา  สวัสดีครับมาจากเมืองไทยหรือครับนี่  ตาเขาวาวโรจน์ 

 

   ค่ะ  สวัสดีฉันมาจากเมืองไทย  ศิลาอยากจะเอื้อมมือเค้นแก้มเธอให้เลิกยิ้มให้เพื่อนของเขาเพราะกมลต้องคิดว่าเธอให้ท่ามันตามประสาหนุ่มอเมริกันที่เชื่อว่ายิ้มคือคำว่าโอเค   กมลทำผิดมารยาทโดยการยื่นมือให้เธอก่อน มาลีพรไม่รู้จึงยื่นมือไปให้เขารับไปบีบแรง ๆ แล้วยื่นหน้าเข้ามาเพื่อจะจูบแก้มทักทายตามประเพณีของตะวันตก  มาลีพรไม่รู้และไม่หลบ

  

    แต่ศิลารู้ทัน  เพื่อนขี้หลีของเขาจึงทิ้งถุงในมือไปแล้วยื่นฝ่ามือไปที่แก้มของเธอทันทีกับปากของกมลที่ยื่นหน้าเข้ามาประทับเต็มที่  มาลีพรผงะไปด้วยความตกใจถอยออกห่างไปสองก้าว  ศิลาดันใบหน้าของเพื่อนจนเกือบหงาย

 

    นายควรจะมารยาทดี ๆ หน่อยมาลีเพิ่งจะมาถึงนิวยอร์กได้ไม่นานไม่คุ้นกับการทักแบบของแกนะโว้ย

 

    กมลยิ้มกับมาอย่างพอใจ ที่เห็นความหวงของศิลา เพิ่งมาจากเมืองไทยมาเที่ยวหรือครับ 

 

   เอ่อ....ศิลาแย่งตอบสั้น ๆ

 

   ไม่ใช่ฉัน....มาลีพรพยายามแก้ความเข้าใจของกมล    ศิลาไม่ยอมหรอกเขาหันไปขึงตาใส่เธอ 

 

    เฉย ๆ เถอะน่ามาลีนายกมลจะรีบไปแล้ว  กมลไม่ทันสังเกตความหยาบคายของศิลา เขาสนใจสาวน้อยจากเมืองไทยมากกว่า  ดูแล้วศิลาทำไมจึงหวงนัก

 

     คุณพักที่ไหนครับมาลี  มันคาดหวังจะไปหาเธอน่ะสิศิลาคิดด้วยความแค้นใจ  คนมีเป็นสิบล้านในมหานครที่ยิ่งใหญ่อย่างนี้ ทำไมเขาต้องมาเจอไอ้เพื่อนจอมตื้อคนนี้ด้วย

 

    เธอพักที่บ้านฉัน ศิลาขบฟันตัดบท หวังเพื่อนเขาจะเลิกสนใจที่เห็นเธอพักกับเขา  กมลตารุกวาว พักบ้านนายเหรอ

 

    คือว่าเรา... มาลีพรคิดว่าควรอธิบาย    ศิลานิ่วหน้าใส่เพื่อน  เราเป็นญาติกันมีอะไรสงสัยไหม

 

    เดี๋ยวเรา.....มาลีพรมองเห็นแววตาดุเดือดของศิลา  ที่ปรามเธอให้เงียบเธอจึงยักไหล่   เขาจะทำอะไรก็ไม่รู้และเพื่อนของเขาจะเข้าใจยังไงก็ไม่เกี่ยวกับเธอนี่

 

     ผมจะไปเยี่ยมคุณบ้างได้ไหม  กมลยื่นหน้าไปถามมาลีพรโดยเฉพาะ

 

    ไม่ได้.....เรากำลังจะรีบลาก่อนนะ  กมล  ศิลากระชากเสียงตอบแทนเธอแล้วกระตุ้นเธอให้ออกเดิน  ด้วยข้าวของมากมายจนกมลเข้าไม่ถึง  กมลจึงยักไหล่หยุดแค่นั้น เขารู้ดีว่า       ศิลาเริ่มอารมณ์ไม่ดีแล้วมีเส้นขอบเขตของความปลอดภัยอยู่เหมือนกันถ้าเขาจะรู้จักมันว่าควรรุกได้แค่ไหน    วันหน้ายังมี เขาจึงป้องปากตะโกนตามหลังทั้งสองไปเท่านั้น

 

   แล้วเจอกันน่ะครับคุณมาลี    ศิลาออกรถอย่างกระชากกระชั้น มาลีพร  ลอบมองใบหน้าด้านข้างเขาอย่างหยั่งเชิงนิด ๆ ว่าอารมณ์เขาน่าจะอยู่ในระดับใดที่ควรต่อกรด้วยหรือไม่  เขาไม่ได้บ่นหรือโวยวาย น่าจะพอคุยได้

 

  คุณไม่ชอบเพื่อนคนนี้ของคุณหรือคะ เขาเกร็งไปทั้งตัววูบหนึ่งแล้วคลายลงถอนใจเบา ๆ           คุณไม่รู้อะไรหรอก

 

  เขาเป็นคนไม่ดีหรือคะ  แม้จะดีใจที่เธอเข้าใจอย่างนี้แต่ความละอายทำให้ต้องพูดอะไรสักอย่าง 

 

  ไม่ถึงกับเลว แต่เขาก็ไม่น่าไว้ใจนัก  เขาพูดความจริง  เพราะถ้ากมลรู้ตัวว่าอยู่ในลิสท์ของคนที่จิ๋นกูเห็นว่าเหมาะกับมาลีแล้วเธอก็ไม่รังเกียจมันมีหวังมันบุกเข้ามาลากเธอไปแทนเข้าพิธีแต่งงานก่อนพระอาทิตย์ตกพรุ่งนี้แหง  เขารู้ว่ามันเป็นไปได้จากแววตาชื่นชมของกมลที่มองเธอไม่วางตาขนาดเธอมากับเขามันยังไม่สนว่ารองเท้าของเขาเบอร์ใหญ่กว่ามันตั้งสามเบอร์  เธอพยักหน้ารับว่าเข้าใจ

 

    คุณหิวไหม  ศิลาเปลี่ยนเรื่องคุย เพื่อเปลี่ยนอารมณ์ของตนเองและเธอ 

 

   คุณต้องไปตลาดไทของคุณไม่ใช่หรือคะ   เธอแหงนมองท้องฟ้ายามราตรีของนิวยอร์คมันมืดสนิทแล้ว  เขามองตามเธอแล้วพูดขึ้นเสียงเรียบ ๆ 

 

   มันปิดแล้ว คนงานของผมเขากลับไปหมดแล้ว เราค่อยไปกันใหม่พรุ่งนี้เถอะ....มันยังอยู่รอผมไปอีกนาน คุณยังไม่ได้บอกผมเลยว่าหิวไหม  

 

    นิดหน่อยค่ะ    คุณเคยกินฮอตด๊อกข้างถนนในเมืองนิวยอร์คบ้างรึยัง   เขาถามเพราะแน่ใจได้เลยว่าเธอยังไม่เคยชิมลิ้มรสมันแน่เพราะไปอยู่กับครอบครัวของเขาซึ่งเป็นเจ้าของภัตตาคารถึงห้าแห่งย่าไฉ่ฝงไม่เคยยอมให้เอาอาหารที่ท่านเรียกว่าขยะขึ้นโต๊ะเด็ดขาด             คุณย่าคุณบอกว่ามันคือจั้งค์ฟูดส์

 

   ย่าผมนะถือว่าอาหาร  ที่ไม่มีหลักการปรุงอย่างหลายขั้นตอนเป็นขยะใส่ซอสมะเขือเทศทั้งนั้น  เขาหัวเราะ แสดงให้รู้ว่าเขารัก  ย่าไฉ่ฝงมากกว่าคิดขัดแย้งกับท่าน 

 

   แล้วคุณชอบอย่างไหนมากกว่ากัน

 

   ต้องอาหารจีนสิครับ

 

   งั้น

 

   แต่คนเราก็ต้องมีอะไรที่แตกต่างไปจาก  ที่ทำประจำบ่อย ๆ สิครับ   ผมชวนคุณไม่ใช่ว่าผมจะอาศัยฮอตด๊อกข้างถนนบ่อยหรอกแต่ผมจะพาคุณไประลึกถึงความหลังสมัย ผมเป็นวัยรุ่น  เดือนนี้จะออกมานอกบ้านไปยังที่แห่งหนึ่งที่นั่นมีร้านฮอตด๊อกเจ้าประจำที่ผมกินอยู่เสมอ

 

   ฉันสนใจนะคะ

 

  งั้นเราไปกันเลย    ศิลาร้องอย่างรื่นเริง  ราวกับเขากลับมาเป็นวัยรุ่นอีกครั้งหนึ่ง

 

    ฟ้าวส์........เสียงใบมีดใต้รองเท้าสเก็ตของสาวน้อยผมสีทอง  เสียดน้ำแข็งผ่านหน้าไปจนเกิดลมพัดมาถูกผมที่หน้าผากของมาลีพรจนมันปลิวน้อย ๆ

 

   เธอสยิวกายกับลมเย็นแล้วหัวเราะยกฮอตด๊อกที่ชุ้มด้วยซอสมัสตาร์ดและมะเขือเทศ   อันใหญ่ขึ้นกินอย่างเอร็ดอร่อย จนซอสเปื้อนที่มุมปากของเธอ

 

   ศิลายิ้มให้เธอด้วยความเอ็นดูใช้ปลายนิ้วเช็ดป้ายซอสออกให้เธอ  เธอทำตัวแข็งอึดใจหนึ่งแล้วยอมคลายตัวลง

 

  มีซอสที่มุมปากคุณ เขาบอกเสียงเรียบ

 

   เขาไม่ได้คิดอะไรหรอก นอกจากอยากช่วยเท่านั้น.....มาลีพร คิดอย่างปลงตก  จึงหันกลับไปมองลานสเก็ตน้ำแข็งเล็ก ๆ ที่พวกเขามายึดที่นั่งขอบซีเมนต์ที่เย็นเจี๊ยบนั่งกินฮอต

ด๊อกขนมปัง  สอดไส้ไส้กรอกอันยาวลาดซอส  มองไกลออกไปไม่มากนักคือตึกร๊อกกี้เฟลเลอร์  ที่มีคนงานกลุ่มใหญ่ กำลังติดตั้งดวงไฟกับต้นคริสต์มาสขนาดใหญ่สูงเกือบสามสิบเมตรอย่างขมักเขม้นทั้งที่ค่ำแล้ว

 

   นี่เพิ่งกลางเดือนพฤศจิกายนเองทำไมพวกเขาทำต้นคริสต์มาสแล้วคะ  เธอถามด้วยความสงสัย

 

   คุณไม่คุ้นตาบ้างหรือ  กับต้นคริสต์มาสต้นนี้ที่มีตึก  ร๊อกกี่เฟลเลอร์อยู่ข้างหลัง

 

   ฉันไม่ใช่คนนิวยอร์คนี่คะ

 

  อย่างน้อยต้องเคยดูภาพข่าวที่เขาออกไปทั่วโลกบางล่ะน่า

 

  หือ....ประเพณีเปิดไฟต้นคริสต์มาส

 

  ทุกวันที่หนึ่งธันวาคมเขาจะมีประเพณีเปิดไฟต้นคริสต์มาสที่หน้าตึกร๊อกกี้เฟลเลอร์ไงครับ  มาลีพรห่อปากด้วยความตื่นใจ

 

   งั้นฉันก็จะได้ดูมันสิคะ

 

   ผมจะพาคุณมาดูเอง  เขาสัญญา

 

  คุณมาดูเสมอหรือเปล่า เธอถามเขา

 

  คุณคิดว่า  ผมมาที่ลานสเก็ตบ่อย ๆ แล้วไม่ดูมันงั้นหรือผมมาเล่นสเก็ตและกินฮอตด็อกจากคนแก่ผิวสีที่ขายฮอตด็อกที่นี่มาหลายปีแล้วตั้งแต่วัยรุ่น

 

  มิน่าคุณดูคุ้นเคยกับแกจนแกทักว่าหายไปหลายปี

 

  เกือบสิบสองปีมั้ง  ตั้งแต่ผมจบมหาวิทยาลัยแล้วเริ่มลุยงานตลาดไทก็ไม่ค่อยได้มา

 

  คุณคงไม่ว่าง

 

  ไม่มีโอกาสมากกว่า เพราะที่นี่เปิดให้เล่นสเก็ตแค่สองเดือนสามเดือนพอหายหนาวก็เป็นหน้าฝนแล้วมีอะไรที่น่าสนใจกว่าสมัยเด็กไปทำ จึงไม่ได้มาที่นี่อีก

 

  ทำไมวันนี้...

 

  ก็ผมพาเด็กมาน่ะสิ  เขาพูดยิ้ม ๆ ส่งขนมปังชิ้นสุดท้ายของเขา  เข้าปากอย่างสบายใจ

  คุณว่าฉันเป็นเด็ก  เธอโวยอย่างไม่พอใจ

 

  หรือไม่จริงผู้ใหญ่ที่ไหนจะตาโตกับฮอตด็อก  ธรรมดาราดซอสแล้วมานั่งกินที่ริมขอบลานสเก็ตคุณน่ะหลอกง่ายเหมือนเด็ก ๆ  เขาเย้าเธอด้วยแววตาหัวเราะ  เธอหน้าบึ้งไม่จริงจังนัก

 

  ฉันเป็นสุภาพสตรีแล้วนะ

 

  อย่าเพิ่งเป็นวันนี้เลย

  เอ๊ะ.....

 

  จริง ๆ นะผมจะชวนคุณเล่นสเก็ตที่นี่  ถ้าคุณมีมาดเราก็จะอด

 

  คุณอยากเล่นเองน่ะสิ

 

  ใช่สิคุณจะรังเกียจไหม  ไหนเราก็มาแล้วผมเห็นก็อยากเล่น

 

  แต่ฉันเล่นไม่เป็น

 

  ผมจะสอนเองมันหัดไม่ยากหรอก

 

  เราไม่มีรองเท้าสเก็ตมาด้วย

 

  ไม่ยากหรอกน่า  เขาลุกขึ้นเดินไปที่เด็กวัยรุ่นหนุ่มสาวคู่หนึ่ง  ที่นั่งพักเหนื่อยอยู่ขอบลานสเก็ตอีกด้าน  เขาเจรจาอยู่อึดใจหนึ่ง  ก็ได้รองเท้าสเก็ตมาสองคู่  เธอมองเขาตาโต ทำได้ยังไง  ศิลาหัวเราะเสียงดัง

 

  ผมเช่าเขามาหนึ่งชั่วโมง  ยี่สิบเหรียญมาเถอะเวลาเริ่มเดินไปแล้วนะมันอาจจะเหลือแค่สิบเก้าเหรียญสามสิบเซ็นต์แล้วก็ได้ ใช้ให้มันคุ้มหน่อย  มาลีพรกระวีกระวาด รับรองเท้าไปใส่

 

  คุณมีพรสวรรค์  เขาชมหลังผ่านไปสิบห้านาที   เธอวาดแขนออกกว้างเพื่อรักษาความสมดุลเมื่อไสสเก็ตถอยหลังให้เขาดู

 

บางทีฉันจะเข้าแข่งขันสเก็ตน้ำแข็งลีลา  เธอโอ้อวดอย่างนึกสนุก

 

คงอีกห้าสิบปีหรืออีกชาติหน้า ศิลาโต้กลับ   เธอหัวเราะแล้วบิดตัวแค่นิดเดียวปลายรองเท้าก็สะกิดน้ำแข็งกระจุยส่งให้ร่างเธอเซไปข้างหน้า  เขาใจหายวาบไถลตัวอ้าแขนออกรับร่างเธอด้วยสัญชาตญาณที่เขาปลุกขึ้นมาฉับพลัน

 

ตอนที่   14

 

   มาลีพร หลับตาปี๋ด้วยความหวาดเสียวการที่เธอถลาเอาลำตัวส่วนบนพุ่งไปข้างหน้าก่อนอย่างนี้  มีหวังหน้าฟาดพื้นน้ำแข็งไม่ต้องสงสัยเลย   ถ้าหงายหลังก้นกระแทกยังเจ็บแค่ที่ก้นมองไม่เห็นจากภายนอก    เอาหน้าลงถูกับพื้นน้ำแข็งเลือดคงอาบเหมือนถูกกรีดด้วยใบมีด   ความคมของน้ำแข็งที่ถูกขูดจากใบมีดของรองเท้าสเก็ต

 

  ว้าย....ช่วยด้วย

 

  โป๊ก......เสียงดังสนั่นเธอเจ็บแปลบที่หน้าผาก  จนต้องหยีตาขึ้นมองว่าเธอโขกถูกอะไร

 

 อู๊ย.....  เธอร้องครางก่อนเป็นอันดับ  พร้อมกับมีมือสองสามมือช่วยกันฉุดร่างเธอขึ้นจากร่างของศิลาที่เธอนอนทับเขาเอาไว้    เขาลุกขึ้นนั่งคลำคางปอยเธอจึงรู้ว่าหน้าผากของเธอโขกกับคางของเขานั่นเอง   เธอรีบโบกมือให้กับผู้คนที่ช่วยดึงเธอขึ้นจากร่างของศิลาว่าเธอปลอดภัยดีพวกเขาจึงปล่อยให้เธอเข้าไปหาเขา

 

เป็นอย่างไรบ้างคะ  เธอรู้สึกผิดในใจที่ล้มลงไปทับร่างของเขา

 

เขาหน้าง้ำไปนิดหนึ่งก่อนหัวเราะออกมาทั้งที่ยังนั่งจุ่มปุ๊กอยู่บนลานน้ำแข็ง

คุณนี่มันตัวอันตรายจริง ๆ เลยนะ

 

เธอยืดอก  เพราะเห็นเขาหัวเราะเธอจึงไม่เครียด ระวังตัวให้ดีสักวันหนึ่งถ้าคุณเผลอฉันอาจจะเอาหัวอาติโชกใส่ในอาหารให้คุณกิน

 

ไม่มีวัน  ศิลาขึงตาให้เธอทั้งที่เขาหัวเราะไม่หยุด

 

น่าประหลาดเขาโกรธเมื่ออาคมล้อเขาเรื่องหัวอาติโชก  แต่ทำไมเขากลับรู้สึกว่ามันตลก  และขำมากที่เธอกล้าล้อเขาเรื่องนี้ 

เธอยื่นมือให้เขา  ลุกขึ้นมาเถอะค่ะ  คุณเปียกหมดแล้ว  เขาเอื้อมมือออกมา  แบบหดสั้น ๆ ทำให้เธอต้องก้มเข้าไปใกล้เขาอีกนิดเพียงแตะมือเขาก็รวบมือเธอกระชากให้ล้มลงบนตักเขา

ว้าย....  เธอร้องได้แค่นั้นเขาก็พลิกร่างเธอจนตรึงเอาไว้ด้วยแขนเหมือนกอดเอาไว้กับอก

 

อุ๊ย.......  เธอตะลึงนั่งตัวแข็ง  ในอ้อมแขนของเขาท่ามกลางนักสเก็ตที่วิ่งผ่านทั้งสองไปมา  มีเสียงหัวเราะเล็ก ๆ รอบตัวกับการหยอกล้อของคู่รัก  เขายื่นหน้าเข้ามาเกือบชิด   เธอรีบเอามือกันใบหน้าเขาเอาไว้   เขาจะจูบเธอใช่ไหม....ผู้ชายทำอย่างนี้แน่  จากแววตาของเขา

 

อย่านะ   อย่าจูบฉันเด็ดขาด  เธอร้องโวยวายขึ้น

 

ทำให้เขาชะงัก....คล้ายเขาเพิ่งรู้สึกตัวว่าทำอะไรลงไป   เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ ที่รู้สึกอยากจูบเธอขึ้นมาฉับพลัน  ท่ามกลางคนเล่นสเก็ตอยู่หลายสิบคน  ต่อให้ไม่มีใครที่นี่เขาก็ไม่ควรทำ.....เพราะอะไรนั้นหรือ.......ก็ถ้าเขาไม่อยากถูกจับแต่งงานกับเธอ  เขาจะต้องไม่แตะต้องเธอเด็ดขาดอย่างที่เธอห้าม   เขาคลายแขนจากเอวของเธอแล้วลุกขึ้นยืน  ลากเอาเธอลุกขึ้นยืนตามไปด้วย

 

ดึกมากแล้วเรากลับกันเถอะ   เขาพูดกับเธอด้วยเสียงไร้ความรู้สึก  อาจจะมองไม่เห็นความโกรธแต่เธอรู้ได้ว่าเขาโกรธ  เขาให้เงินกับเจ้าของรองเท้าสี่สิบดอลล่าร์แล้วเดินดุ่มออกจากลานสเก็ตน้ำแข็งหน้าตึกร๊อกกี่เฟลเลอร์ไป

 

ไม่รักษามารยาทของสุภาพบุรุษไม่รอเธอไม่สนใจด้วยว่าเธอจะเดินตามเขาไปหรือไม่     มาลีพรอยากจะเดินออกไปอีกทางแล้วไปจากเขาเลยแต่เธอจะไปไหนล่ะเธอมันคนแปลกหน้าสำหรับเมืองใหญ่อย่างนี้

 

จึงจำใจเดินตามเขาไปเงียบ ๆ จนถึงรถและขึ้นนั่งข้างเขาที่ขึ้นไปนั่งรออยู่ก่อนแล้ว   ทั้งสองกลับบ้านด้วยกันอย่างเงียบกริบ    ต่างคนต่างมีความคิดหมกมุ่นอยู่ภายในใจของตนที่แตกต่างกันสุดขั้ว

เธอคิดว่าศิลาโกรธเธอที่ห้ามเขาไม่ให้จูบเธอแลยากที่จะบอกเขาว่าถ้าเขาทำเช่นนั้นเธอจะไม่มีวันแต่งงานกับคนอื่นอีกเลยในชีวิตนี้

 

เขาคงตกใจเป็นลมโดยไม่ต้องอาศัยเจ้าพวกหัวอาติโชกอีกก็ได้   เพราะแค่นี้เธอก็คิดว่ายากสำหรับเธอแล้วที่จะเลือกคนอื่นหลังจากมีโอกาสได้ใกล้ชิดเขาขนาดนี้    แต่เธอจะไม่ทำให้เขาไม่สบายใจ

 

ศิลาเองคิดว่าเธอคงรังเกียจเขาและที่เขาทำมันน่ารังเกียจอยู่ไม่น้อยผู้หญิงที่ไหนจะยอมให้ผู้ชายที่ประกาศต่อหน้าคนทั้งโลกว่ารังเกียจที่จะแต่งงานกับเธอจูบเล่า     นับว่าโชคดีที่เธอเตือนสติเขาเสียก่อน

 

ไม่เช่นนั้นเขาคง....... มนต์เสน่ห์แห่งลานสเก็ตน้ำแข็งไม่จริงจังหรอก.......มันพังหมดแล้ว

มาลีพรเอนตัวลงนอน  บนที่นอนหนานุ่ม   เสียงจากห้องที่ทำงานเขาเงียบไปแล้ว   ศิลาพาเธอกลับมาถึงบ้านเขาก็ขนของที่ซื้อมามากมายก่ายกองไปส่งให้เธอบนห้องแล้วเขาก็หยิบเสื้อผ้าที่เขาต้องการใช้ไปจากห้อง

 

ผมจะไปใช้ห้องน้ำที่ฝั่งตรงข้าม  คุณพักผ่อนเถอะเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว

 

ค่ะ  เธอรับคำง่าย ๆ มองดูเขาเดินออกไป

 

เธอปล่อยหีบห่อข้าวของที่เขาซื้อให้เธออย่างไม่ใยดีไม่เปิดออกชื่นชมอย่างผู้หญิงทั่วไปที่ได้รับเสื้อผ้าข้าวของเยอะแยะขนาดนี้

 

ค้นเสื้อเก่า ๆ ของเธอมาแล้วไปที่ห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟัน  อาบน้ำคงไม่ไหวเพราะหนาวเหลือเกินและเหงื่อก็ไม่มี  ทั้งที่ออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านมามากมาย   แล้วกลับเข้ามานั่งบนเตียงฟังเสียงเขาเดินไปปิดประตูที่ชั้นล่างอีกครั้งแล้วก็ย้อนกลับขึ้นมาเข้าห้องทำงานของเขา

 

เธอได้ยินเสียงคอมพิวเตอร์ที่เขาใช้งานลั่นเบา ๆ อยู่นานพอสมควรเสียงเขาเดินไปมาในห้องแล้วในที่สุดก็เงียบลง 

 

เธอปิดไฟในห้องไปนานแล้ว   เมื่อเอนกายลงนอนราบชักผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวถึงคาง   เธอก็นอนไม่หลับดวงตายังเบิกค้างมองเพดานห้อง  นาน ๆ จะมีแสงไฟจากรถที่แล่นผ่านถนนหน้าบ้านบางคันส่องสะท้อนวูบเล็ก ๆ ขึ้นมารอดม่านหน้าต่างผ้าลูกไม้โปร่งที่เธอรูดเอาไว้ครึ่งๆ

 

ชีวิตเธอจะเป็นยังไงต่อไปนะในเมืองที่ไม่คุ้นเลย    จะมีความสุขไหมความสุขคิดคำนี้แล้วน้ำตาอุ่น ๆ ไหลออกมาที่หางตาผ่านขมับไปเปียกหมอนที่เธอหนุน

 

     ที่ลานน้ำแข็งเมื่อครู่เธอคิดว่าตัวเองมีความสุขเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่พ่อแม่ตายจากไปทิ้งให้เธออยู่กับครอบครัวของมาลีถึงพวกเขาจะไม่ได้ทารุณกรรมอะไรเธอแต่พวกเขาก็ไม่ได้ให้ความสุขกับเด็กกำพร้า  ที่มาอาศัยอยู่ด้วยมากกว่าให้อาหารให้เรียนและต้องรับใช้ลูกสาวเจ้าอารมณ์ของพวกเขาทดแทนบุญคุณ    ความสุขนั้นช่างสั้นนักมันแตกสลายไปเมื่อเขาโกรธเธอจะหวังอะไรจากเขาในเมื่อเขาไม่ชอบเธอ  ที่พาเธอไปที่นั่นก็เพียงเขานึกสนุกชั่วแล่น  พอรู้สึกตัวความจริงก็คือเธอคือตัวอันตรายอย่างที่เขาว่ามาคุกคามความโสดของเขา   พรุ่งนี้ก่อนเถอะ.....มาลีพรคิดอย่างมุ่งมาดใจ

 

ฉันจะไปหาลุงฉัตรกับลุงจักรแล้วเลือกใครสักคนจากรายชื่อที่จิ่นกูหามาให้เขาจะได้เลิกเกลียดเธอสักที   เมื่อเธอไปจากบ้านของเขา

 

ยังไม่ทันสว่างอย่างเธออยากให้มาถึงศิลาก็เข้ามาปลุกเธอตอนสี่นาฬิกา

 

ตื่นเถอะมาลี   เขาเรียกเธอเบา ๆ  แล้วก็ผงะไปเมื่อเธอตื่นด้วยท่าทีตกใจมากเหมือนกำลังฝันร้าย  เธอไม่หวีดร้องแต่ตั้งคำถาม

 

มีอะไร  มีใครเป็นอะไรพวกเขาตายไหม   ศิลาเลิกคิ้วด้วยความฉงนใจ

 

คุณถามถึงใคร  เสียงเขาเหมือนค้อนทุบในหัวสะท้อนกลับไปมาทำให้เธอนิ่วหน้า

 

ไม่มีอะไร  เธอรีบปฎิเสธเสียงสั่น

 

ฉันคงฝันไป

 

คุณฝันร้ายหรือ  เขาถามต่อแต่เธอไม่ตอบกลับชักผ้าห่มขึ้นมาห่มไหล่  เสถามเขากลับไป

 

คุณเข้ามาทำไมนี่ยังไม่สว่างเลย  เขาถอยออกห่างจากเตียงไปก้าวหนึ่ง   เมื่อเธอพูดขึ้นเขาจึงรู้สึกตัวเธอนอนบนเตียงของเขาอยู่มันมีความเย้ายวนอย่างร้ายกาจที่เป็นไปได้มากว่าเขาจะเอนลง ๆ ไปนอนข้างเธอได้ง่าย ๆ  จากผมยาวสยายที่รุ่ยร่ายล้อมกรอบรูปหัวใจของเธอ

 

พยายามดึงสติกลับมาคิดถึงสาเหตุที่เขาเข้ามาปลุกเธอ  ตีสี่แล้วอีกหนึ่งชั่วโมงตลาดไทจะเปิด

 

อุ้ย...งั้นคุณก็จะไปทำงานสิคะ

 

ปกติผมจะไปสายกว่านี้  สักเจ็ดโมงเช้า  แต่ว่าวันนี้จะมาชวนคุณไปด้วย  บางทีอาจจะสนใจ ดูขั้นตอนที่เขาเปิดตลาดเช้ากัน  แต่ถ้าคุณอยากนอนต่อผมจะไปคนเดียว   เธอเหวี่ยงผ้าห่มออกจากตัวทันที

 

ฉันจะไปด้วยคุณรอฉันแต่งตัวสักเดี๋ยวเดียว

 

     พอเธอกระโจนลงจากเตียงเขาเกือบถอนใจด้วยความโล่งอกที่เห็นเธอสวมชุดกางเกงยืดหนากับเสื้อยืดลายดอกเลอะ ๆ เก่า ๆ  ไม่มีความยั่วยวนใจ......ทำให้เขาเปลี่ยนใจคิดที่จะไล่เธอไปจากบ้านของเขา   ถ้าเธอทำตัวดีไม่เซ็กซี่เขาจะยอมให้เธออยู่บ้านเขาไปอีกระยะหนึ่ง  

 

   ผมจะลงไปชงกาแฟที่ในครัว  เขาพูดแล้วหันหลังเดินออกจากห้องไป  เธอมองหลังเขาแล้วขมวดคิ้ว

     ต่อไปนี้เธอน่าจะชินกับการที่เขาเดินหันหลังออกจากห้องเธอเอาไว้ได้แล้ว  ก่อนที่เธอจะรีบเร่งเข้าห้องน้ำจัดการทำธุระส่วนตัวอย่างรวดเร็ว  ด้วยความเกรงใจว่าเขารอเธออยู่

ตลาดไทของเขาคือโกดังขนาดใหญ่ที่มีสินค้าของแห้งเก็บเอาไว้มากมายและมีส่วนของห้องเย็นที่บริการอาหารสดเพียบ  เขามีคนงานเอาไว้บริการกว่ายี่สิบคนนับจากที่พวกเขารวมกับคนที่มาซื้อสินค้า

 

 ตลาดเช้า  จะเริ่มตั้งแต่ตีห้า..  เขาอธิบายให้เธอฟังเมื่อพาเดินไปรอบๆ

 

ร้านอาหารที่ขายตั้งแต่รอบเช้าและรอบกลางวันจะรีบเร่งมาซื้ออาหารสด  ส่วนของแห้งมีบริการขายทั้งวัน  ก็มีแต่ร้านอาหารและภัตตาคารเป็นลูกค้าของเรา

 

แล้วภัตตาคารของลุงจักรกับคุณพ่อคุณล่ะคะ  เขาชี้ไปที่ชายหัวล้านเสียงดังในส่วนของอาหารสด

 

คุณเห็นผู้ชายคนนั้นไหมเขาทำหน้าที่จัดซื้อทุกอย่างให้กับภัตตาคารทั้งห้าสาขาของพวกเราเขานำไปส่งตามแต่ละสาขาที่จะสั่งของแตกต่างกัน  แล้วแต่ระบบการขายและลูกค้านิยมกินอะไรในแต่ละร้านจะต่างกัน  เธอพยักหน้าอย่างนี้นี่เอง  เขาจึงรวยนักเพราะซื้อเองขายเองในวงจรไม่ต้องผ่านตัวกลางแถมขายให้กับคนอื่นด้วย

 

ไอ้...ศิลา  เสียงร้องทักที่ชวนสยองแบบนี้อีกแล้วศิลาคิดด้วยความฉุนเฉียว   ชีวิตนี้เขาจะหนีพวกนี้พ้นไหมนะ.....มาลีพรมองตามเสียงที่เรียกดังจากฟากกองปลาสดที่วางแช่น้ำแข็งทั้งที่อากาศเย็นเจี๊ยบออกอย่างนี้ก็พบชายแปลกหน้าอายุรุ่นเดียวกับศิลายืนโบกมืออยู่ไหว ๆ   เขาไม่สูงนักรูปร่างป้อม ๆ แต่ก็มีความน่าดูคือเขาร่าเริงอารมณ์ดีคล้ายกมล

 

ศิลาเกาหน้าผากแล้วจูงมือเธอเดินหนีแต่ไปไม่พ้นชายคนนั้นมาขวางหน้า

จะรีบไปไหนไม่เจอตั้งหลายวันอยู่คุยกันก่อนสิ...เอ่อ....    เสียงตอบท้ายของเขาขาดหายไป  เพราะเขาเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าคนที่เขาเข้ามาทักมากับผู้หญิงแปลกหน้าที่สวยจนชวนตะลึง

 

อุเหม่...คุณเป็นนางฟ้าใช่ไหม  นี่คำอุทานที่ศิลาอยากจะบ้า   ปัญหาโถมทับเขาอีกรอบแล้วไม่ต้องสงสัย

 

ตอนที่   15

 

เธอไม่ใช่นางฟ้า   ศิลาขึงตาให้กับเพื่อน

 

งั้นเธอเป็นใครคนถามแทบจะไม่ถอนสายตาจากใบหน้านวลงามผ่องของมาลีพรด้วยความหลงใหล   เขาคิดว่าเขากำลังตกหลุมรักอย่างกะทันหัน   ศิลาขบหันกรอดคิดอยู่แล้วว่าเธอคือตัวปัญหาแต่คิดไม่ถึงว่าเธอจะเป็นซุปเปอร์สตาร์ขนาดนี้

 

เมื่อวานกมลก็ทำท่าจะกระโจนใส่เธอ  คนหนึ่งแล้วยังไม่ทันครบยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยนายวรภพก็เข้ามาอีกคน

 

ลูกค้าใหม่ของนายหรือ   วรภพถามเพราะเขาเห็นศิลาพาเธอเดินดูรอบตลาดไท

ไม่ใช่ ศิลาขบฟันตอบ  งั้นเธอเป็นใคร

 

เธอมาจากเมืองไทย   เขาตอบอย่างไม่เต็มใจ

 

มาลีพรมองเขาอย่างเฉยเมยดูว่าเขาจะแนะนำเธอกับเพื่อนของเขาอย่างไรอีกจะเหมือนที่เขาทำท่าประหลาด ๆ กับ กมลเมื่อวานหรือไม่  เธอเห็นมันจากแววตาของเขาว่าโมโหอีกแล้ว  ไม่รู้เขาเป็นอะไรเหมือนคนเป็นโรคประสาทเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายกลับไปกลับมาเธอตามเขาไม่ค่อยจะทัน

 

โอ้.....ดีอะไรอย่างนี้ที่มาเจอคนไทยด้วยกันในนิวยอร์คผมชื่อ  วรภพ  ครับคุณล่ะครับ

 

  เธออยากจะหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าของศิลาที่คงอยากจะบีบคอวรภพที่บังอาจแนะนำตัวเอง   ทั้งที่เขาไม่ยอมแนะนำให้พวกเธอรู้จักกัน

 

ฉันชื่อมาลีค่ะ สวัสดีค่ะ  เธอรีบพนมมือขึ้นไหว้เขาทันที   ถึงอยากจะยั่วให้ศิลาโมโหด้วยการยื่นมือออกไปวรภพตามมารยาททักทายอย่างธรรมเนียมคนตะวันตก    แต่การอบรมสอนเธอว่า  เธอควรทักเขาอย่างคนไทยด้วยกัน  ดูเหมือนทำให้วรภพแสนเป็นปลื้ม

 

มาเที่ยวนิวยอร์คหรือครับ  เขาตั้งคำถาม  ยอดฮิตสำหรับคนเดินทางมาไกล   เธออ้าปากจะตอบเขาก็เห็นแผ่นหลังของศิลาที่เขาเข้ามาบังเธอฉับพลัน

 

ได้ของครบแล้วยัง.......สายป่านนี้คงเรียบร้อยแล้วสินะรีบ ๆ กลับเถอะ  ไม่งั้นนายจะไม่ทันไปเปิดร้านนะ   มาลีพรบิดปากนิดหนึ่ง   เขาทำตัวประหลาดอีกแล้ว

 

วรภพนิ่วหน้าที่ศิลามายืนบังคนสวยจากสายตาของเขาจึงชะเง้อมองไปทางด้านข้าง  ที่ต้องเขย่งเท้านิดเพราะเขาไม่สูงนัก

 

คุณมาลีครับ  ศิลานิ่วหน้ายกมือขึ้นเท้าสะเอว  แต่ไม่มีประโยชน์เพราะมาลีพรเดินออกจากการบดบังของศิลามามองวรภพด้วยความสนใจว่าหนุ่มใหญ่คนนี้จะสนทนาอะไรกับเธอ

 

ว่ายังไงคะ  ศิลาหันกลับมามองเธอด้วยความไม่พอใจที่เธอทำอ่างนั้น  วรภพรีบควักนามบัตรของเขาส่งให้เธอ

 

นี่นามบัตรของผมครับ  เธอรับมาแล้วอ่านข้อความในนามบัตรตามมารยาทแบบแผน

 

คุณวรภพ....คุณอยู่ร้านฉ่าชาหรือคะ

 

มันเป็นร้านขายติ่มซำ  แบบกวางตุ้ง  มีบะหมี่และขนมไข่แบบฮ่องกงขายด้วย  ศิลาอธิบายเสียงห้วน   วรภพไม่สนใจหรอก

 

ผมอยากจะเชิญคุณมาลีไปดื่มน้ำชาที่ร้านของผมสักครั้ง

 

ขอบคุณคะ  มาลีพรพยายามยิ้มให้น้อยที่สุดเพื่อไม่ให้ดูเป็นการทอดสะพานแก่เขาเพราะสายตาที่ชื่นชมเธออย่างเปิดเผยทำให้เธอเขิน  มันคงไม่มากเท่านี้ถ้าไม่มีคนบึ้งตึงอยู่ด้วยเขาทำให้เธอรู้สึกว่าการรับไมตรีจากวรภพเป็นเรื่องไม่ควร

 

ถ้าสะดวกวันนี้...  วรภพพยายามเชิญชวนอย่างรวดเร็ว

 

วันนี้คงไม่สะดวก ศิลาปฎิเสธหน้าตาเฉยเมยแทนเธอ

 

ทำไม  เขาเริ่มรู้สึกว่ามีการกีดกัน

 

มาลีไม่ว่าง

 

จริงหรือครับ  เขาหันไปถามเธอด้วยความเสียดาย  ยังไม่ทันที่เธอจะตอบ  ศิลาแย่งหน้าที่ไปอีก

 

ฉันยังไม่ได้บอกแก  ละมั่งว่ามาลีเป็นญาติของฉัน

 

ญาติงั้นหรือ  สองเสียงอุทานพร้อมกันด้วยประโยคเดียวกันแต่ละคนความคิดอยู่แล้ว  วรภพคิดว่าช่างดีอะไรอย่างนี้เพราะถ้าพวกเขาเป็นญาติกันก็มีสิทธิ์ลุ้น  นายศิลาไม่มีสิทธิ์จีบญาติตัวเองอยู่แล้ว

 

วันนี้ฉันต้องพามาลีไปเยี่ยมผู้ใหญ่หลายที่  ศิลาพูดรับรองอย่างหนักแน่น  มาลีพรนิ่วหน้ากับการกระทำที่น่าละอายของเขาเช่นกัน   เขามีสิทธิ์อะไรมาแสดงกริยาประสาทคล้ายกีดกันไม่ให้เธอคบกับใครแม้ว่าวรภพไม่ใช่คนน่าสนใจเธอก็รู้สึกเขาออกจะทำเกินไป

 

อ๋อ.....คุณมาเยี่ยมญาติผู้ใหญ่หรือครับ

 

ไม่ใช่หรอกค่ะ  ฉันมาเพื่อแต่งงานค่ะ  เธอโพล่งออกไปก่อนที่ศิลาจะแย้งเธอพูดได้ทันอีกหน   วรภพตะลึงลาน

 

ศิลาโกรธจนควันออกหู   คราวนี้เขาไม่เสียเวลารักษามารยาทหรือรักษาหน้าตนเองอีกแล้วคว้ามือของมาลีพรลากเธอให้เดินตามเขาออกไปคล้ายหิ้วตุ๊กตาผ้าขี้ริ้วติดมือเขาไป   วรภพพอหายตกตะลึงก็วิ่งตามทั้งสองออกมา

 

เฮ้ย........นายจะทำอะไรศิลา   ศิลาไม่หยุดจนกระทั่งไปถึงรถของเขา    มาลีพรสะบัดมือที่เหนียวเหมือนมือตุ๊กแกไม่ออก   เธอไม่ร้องขอความช่วยเหลือวรภพจึงไม่อาจยื่นมือเข้าไปสอดได้นอกจากยืนร้องถามเพื่อนของตนด้วยความสนเท่ห์กับกริยาแบบนี้ของศิลา

 

นายศิลา  วรภพแผดเสียงลั่น   ศิลาจับมาลีพรยัดใส่รถเขากระแทกประตูแล้วจึงยอมหันกลับมาแยกเขี้ยวให้เพื่อน  ที่เตี้ยกว่าเขาถึงสองฝ่ามือ

 

ตามมาทำไม 

นายทำอะไรกับคุณมาลี  วรภพเจือไปกับสีหน้าที่ดุดันของเพื่อนถามเสียงอ่อย  ความจริงเขาก็ไม่มีสิทธิ์วิ่งตามมาดูด้วยซ้ำ  แต่เขาเป็นห่วงคนสวย  ที่ถูกศิลาลากออกมาอย่างหยาบคาย

 

ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเรามีธุระที่เร่งด่วนต้องไปทำลาก่อนวรภพ   ศิลาพูดแล้วผละไปเปิดประตูรถข้างคนขับก้าวขึ้นไปนั่ง   วรภพไปเกาะหน้าต่างรถข้างที่มาลีนั่งอยู่  เธอเปิดกระจกรถออกยิ้มให้เขาอย่างขออภัยทั้งที่ภายในใจเธอกรุ่นโกรธเหมือนภูเขาไฟเอ็ดน่าในประเทศกรีซที่พร้อมจะพุ่งพ่นลาวาออกมาทำลายล้างศิลาคนเจ้าอารมณ์

 

สวัสดีค่ะคุณวรภพ  แล้วเจอกันใหม่นะคะ   แค่เธอพูดจบวรภพต้องปล่อยมือออกจากหน้าต่างรถ เพราะศิลาบังคับรถให้แล่นออกไปฉิวเลย   ทิ้งให้วรภพนิ่วหน้ากับความคิดของตนเอง    ศิลามีพิรุธ.......เขาคิดอย่างมุ่งมาด   ต้องเป็นเรื่องของสาวน้อยคนสวยจากเมืองไทยแน่ ๆ    ดีล่ะในเมื่อนายศิลาบอกว่าเธอเป็นญาติบางทีเขาอาจหาข่าวได้จากญาติตัวจริงของศิลาเองก็ได้ไม่เห็นง้อมันเลย......ฮึ.......วรภพคิด

 

คุณเป็นอะไรไป   มาลีพรเริ่มก่อนด้วยความฉุนเฉียว

 

ฮึ.....  ศิลาตอบเธอด้วยเสียงที่พ่นออกจากจมูก ตาเขามองตรงไปข้างหน้า  สนใจไฟท้ายรถคันข้างหน้าเขม็ง   การจราจรบนถนนเริ่มคับคั่งเพราะเป็นชั่วโมงเร่งด่วนช่วงเช้าเหมือนมหานครใหญ่ ๆ ทั่วโลกที่ผู้คนตื่นเช้าขับรถออกจากบ้านพร้อมกันทั้งเมืองเพื่อแย่งกันเบียดเสียดยัดเยียด  ตัวเองเข้าสู่ตึกระฟ้าที่รายรอบอยู่ทั่งเมืองจนเป็นกำแพงล้อมถนนทุกสาย

 

ทำไมทำอย่างนั้น  เธอยังไม่ยอมให้เขาทำแค่ลมที่พ่นออกทางจมูกหรอกเพราะนั่นไม่ใช่คำตอบ

 

อย่างไหน  เขาถามเป็นคำตอบกลับมา

 

คุณ....ทำไมเราต้องรีบออกมาข้างนอกให้เจอรถติดแบบนี้

 

นึกว่าคุณจะถามถึงนายวรภพซะอีก

 

นั่นก็ด้วยคุณทำให้เราต้องอายที่มีมารยาทแบบนั้น

 

นายวรภพโตแล้วไม่ขี้น้อยใจหรือคิดมากหรอกแม้มันจะมีผมบางไปหน่อยก็เถอะ

 

คุณมีเพื่อนกี่คน  เธอเปลี่ยนเรื่องเร็วจนเขาฉงน

 

คุณอยากรู้ไปทำไม

 

ฉันสงสัยว่าคุณจะไม่ชอบเพื่อนของคุณเลยสักคนเดียว

 

คุณเพิ่งเจอไปแค่สองคนเท่านั้นเอง

ก็เห็นคุณหงุดหงิดกับพวกเขาทั้งสองคน  ศิลาอ้าปากแล้วหุบฉับเกือบจะหลุดปากไปแล้วว่า ก็ทั้งสองคนเป็นคนที่อยู่ในรายชื่อของจิ่นกูที่จะเสนอให้เธอแต่งงานกับพวกมันน่ะสิ

 

กมลตาวาวคราวนี้วรภพตาหวานฉ่ำถ้าทั้งสองคนรู้ว่าตนเองอยู่ในรายชื่อว่าเป็นหนุ่มโสดให้เธอเลือก  เจ้าสองคนนั้นมีหวังแข่งกันเสนอตัวให้เธอยิ่งกว่านี้อีก

 

พวกเขานิสัยไม่ดีใช่ไหม  เธอตั้งคำถามให้เขาเมื่อเห็นว่าศิลาใจลอย

 

ใช่  คราวนี้เขาจะไม่ช่วยพวกมันแล้วศิลาคิด

 

เรื่องอะไร  เธอสนใจ

คุณอย่ารู้เลยพวกเราคงไม่เจอกันอีกแล้ว  เขาตัดบทเพื่อให้ตัวเองบาปน้อยลงก็สองหนุ่มนั่นน่ะ  มีชื่อเสียงว่าเป็นคนขยันไม่กินเหล้าไม่สูบบุหรี่เอาการเอางานจนเรียกว่ายอดเด็กกตัญญู   มาลีพรมองออกไปนอกเมื่อรถแล่นไปได้ทีละน้อยเพราะสภาพการจราจรที่ติดขัด

 

คุณบอกว่ามีธุระกำลังรีบ  เธอพูดอย่างไตร่ตรอง

 

จะไปไหนคะถ้าต้องการไปคนเดียวให้ฉันลงที่ไหนก็ได้ค่ะ  แล้วคุณก็ไปได้เลย  ไม่ต้องห่วงฉันหรอกค่ะ  เขาเบรกรถหยุดต่อท้าย  รถข้างหน้าที่ไม่เคลื่อนแล้วหันควับมามองเธอตาขวาง    เธอไม่เข้าใจอารมณ์ของเขาเลยจริง ๆ

 

คุณเพิ่งมาถึงนิวยอร์คได้ไม่กี่วันจะไปไหนอย่างไรถูก

 

ถ้าคุณบอกฉันว่าไปบ้านพ่อแม่คุณอย่างไรฉันคิดว่าหาทางไปเองได้

 

คุณจะไปหาพ่อแม่ผมหรือ

 

ค่ะ

 

พวกเขายังป่วยอยู่นะตามที่พี่คมบอก

 

ฉันอยากจะไปดูพวกท่านก็เป็นกันหลายคนและอายุก็มากแล้ว  ทุกคนบางทีฉันอาจเป็นประโยชน์ช่วยท่านทำอะไรเล็ก ๆน้อย ๆ ก็ได้   เขามองเธอด้วยสายตาที่อ่านอยากว่าเขาคิดอะไร

 

พวกเขาห่วงว่าคุณอาจจะติดเชื้อ

 

เหลวไหล  ฉันแข็งแรงดีและมีความรู้เรื่องพยาบาลคนป่วยเบื้องต้นดีไม่มีทางที่จะติดเชื้ออะไรอย่างที่ว่าง่าย ๆ เอาล่ะคุณบอกทางหรือวิธีนั่งรถเมล์แก่ฉันสิคะว่าไปบ้านพ่อแม่คุณอย่างไร

 

ไม่ต้องหรอกผมจะไปส่งคุณเอง

 

คุณมีธุระ

ก็เรื่องเดียวกันกับคุณนั่นล่ะไปหาพ่อผม

 

อย่างนั้นหรือค่ะแล้วงานที่ตลาดไทของคุณล่ะคะ  เธอยังห่วงว่าตนเองจะเป็นภาระให้เขาต้องทิ้งงานมาดูแลเธอ

 

ผมทำงานเสร็จแล้วที่เหลือคนของผมทำเองได้แล้ว  เธอเห็นเขาตรวจและเซ้นเอกสารกับเช็คสั่งจ่ายเมื่อเข้าไปที่ออฟฟิศแล้วเมื่อตอนห้านาฬิกา  ตั้งแต่พวกเขาไปถึงทันที   จึงพยักหน้าให้เขา

 

ค่ะ  เธอนั่งรถไปบ้านพ่อแม่ของเขาพร้อมกับเขาภายในรถที่เงียบกริบ เพราะต่างคิดถึงเรื่องที่จะต้องพูดต้องทำเมื่อไปเจอฉัตรและจักรด้วยหัวใจที่หนักอึ่ง

 

ตอนที่    16

 

    บันไดทางขึ้นแมนชั่นของครอบครัวพ่อแม่ศิลา  ดูไม่เงียบเหงาเมื่อสองหนุ่มสาวไปถึง  มีข้าวของเครื่องใช้บางอย่างที่ถูกบรรจุหีบห่อวางกองจนเป็นแถวเรียงตามบันไดทั้งเจ็ดขั้น  มีจิ๋นกูส่งเสียงบงการสั่ง  เด็กชายอายุอยู่ในวัยรุ่นสองคนให้ขนมันไปใส่ท้ายรถบรรทุกเล็ก ๆ ที่ประทับตราตัวอักษรภาษาจีนว่าฮู้   ตัวใหญ่อยู่ข้างตัวถังรถ   ศิลาขมวดคิ้วแน่น เมื่อพามาลีพรเดินเข้าไปถึง

 

ทำอะไรจิ๋นกู   เสียงทักที่ดังคล้ายตะโกนทำให้จิ๋นกูหันกลับมาสนใจ

 

อ้าวคุณสองคนไปไหนมา  จิ๋นกูถามแทนคำตอบ

 

ก็มาที่นี่......ขนข้าวของไปไหนกัน   จิ๋นกูชี้ไปที่รถบรรทุกเล็กคันที่จอดอยู่เทียบทางเดินหน้าแมนชั่น

 

ขนของไปวัดสิ  ตอบตรงอย่างไม่ให้คนฟังเข้าใจเท่าไร

 

ไปทำอะไร  ศิลาพยายามอดทน

 

ทำงานศพน่ะสิถามได้คุณลืมแล้วหรือว่าฉันเป็นใครงานศพ  งานแต่งงานออกลูกหรือแม้แต่แม่สื่อ  ทุกคนเรียกจิ๋นกูทั้งนั้น

 

ใครตาย  ศิลาอุทานด้วยความตกใจ

 

พ่อของ......  เขาไม่ฟังให้จิ๋นกูพูดให้จบด้วยซ้ำไป ก็กระโจนขึ้นบันไดไปทีเดียวสองครั้งถึงขั้นสุดท้ายเปิดประตูไม้กรุกระจกเข้าไปอย่างรวดเร็วไม่หยุดถอดเสื้อโค้ทกันหนาวแขวนที่โถงเล็ก ๆ ก็เปิดประตูกันอากาศออกชั้นในเข้าไปดิ่งไปที่ห้องรับแขกเร็วเหมือนจรวด  

    มาลีพรไม่ต้องรอให้เขาชวนเธอวิ่งตามเขาไปติด ๆ เพราะใจไม่ดีเช่นกันว่าท่าทางตื่นตกใจของเขาทำให้หวาดไปด้วย  แล้วก็เกือบหงายหลังเพราะชนเข้ากับแผ่นหลังของเขาเต็มที่  ที่ศิลาหยุดกึกยืนตัวแข็งโดยไม่ให้สัญญาณ    เธอประคองตัวเองให้ยืนได้แล้วยื่นหน้าออกมาจากเบื้องหลังมองเข้าไปในห้องรับแขกด้วยความสยองว่าอาจจะเจออะไรที่ทำให้ศิลายืนตัวแข็งนิ่งได้

มีคนนั่งอยู่เต็มโซฟาชุดใหญ่ภายในห้องรับแขกทุกคนก็หันกลับมามองทั้งคู่เป็นตาเดียวกัน   คุณย่าไฉ่ฝ่งนั่งคู่กับเบญจาที่ยกมือที่กำลังนวดไหล่ของท่านค้างไว้พอกับปากอ้าออกด้วยความฉงนใจ

 

ลินดานั่งบนเก้าอี้คู่ที่ตั้งฉากติดกับเก้าอี้ของอริสา  ทั้งสองหันมามองในท่าที่ดูก็รู้ว่าเพิ่งแยกจากกันเพราะมีคนมาขัดจังหวะ

 

จักรนั่งไขว่ห้างคู่กับฉัตรทั้งสองดึงบุหรี่ออกมาจากปากถือค้างเอาไว้ควันบุหรี่ลอยเป็นสายขึ้นหล้ายหมอกตรงหน้าทั่งสองเพ่งตามองกลับมา   ครอบครัวของเขาทุกคนสบายดี  ดูสุขภาพจะแข็งแรงพอที่จะอยู่ไปได้สักร้อยปี  ไม่มีใครเป็นอะไรหรือไอสักแคร้กให้เขาเห็น

 

ใครตาย  ศิลาแผดเสียงลั่นห้องรับแขก  มาลีพรย่นหน้าเพราะเธอยืนอยู่ใกล้เขาที่สุด  ฉัตรสับขาจากนั่งไขว่ห้างมา  มานั่งตัวตรงมองลูกชาย

 

เอะอะ  อะไรกันนี้

 

จิ๋นกูบอกว่าพ่อตาย  ศิลาตะโกนทำให้มีเสียงฮือฮาสั่นห้องขึ้นมา

 

อ๊า....พูดจาอัปมงคลนะศิลา  จิ๋นกูร้องเอะอะมาจากข้างหลังเดินเข้ามาตีไหล่เขาด้วยความโมโห

 

ฉันยังไม่ได้เคยพูดสักคำว่าพ่อของคุณ....วุ้ย...ไม่พูด....ไม่พูดคำเฮงซวยอย่างนี้ในบ้าน

 

  ศิลาหน้าบึ้ง   ก็ผมถามจิ๋นกูบอกว่าพ่อ

 

ฉันพูดว่าพ่อของอาหล่านสิยะ ใช่พ่อของคุณที่ไหน  ศิลาหน้ามุ่ยรู้สึกอับอายที่ตนเองเข้าใจผิด   ย่าไฉ่ฝ่งไม่สนใจอ้าแขนเรียกมาลีพร

 

หนูมาหาย่า   ศิลาคว้าแขนของเธอเอาไว้ไม่ให้เดินเข้าไปหาไฉ่ฝ่ง

 

อย่าไปหาคุณย่า

 

ทำไม   ทุกคนถามพร้อมกันไม่เว้นแม้แต่เบญจา

 

ก็คนบ้านนี้ไม่สบายกันไม่ใช่หรือแล้วมาลีจะเสี่ยงไปที่เข้าไปใกล้ย่า

 

เชอะ  ไฉ่ฝ่งค้อนหลานชาย

 

ฉันสบายดีหายแล้วมานี่มาลีมาหาย่าไม่เจอกันหลายวันคิดถึงเหลือเกิน   มาลีพรจึงสะบัดแขนเขาออกเดินไปหาไฉ่ฝ่ง   ทำให้ศิลาอารมณ์กรุ่น ๆ หงุดหงิดหันรีหันขวาง

 

ในเมื่อคนตายเป็นพ่อของอาหล่านทำไมพวกเราต้องเตรียมข้าวของไปวัด  พวกเราไม่ใช่ญาติของเขา

 

แต่พวกเราเป็นเพื่อน  จักรตอบลอย ๆ

 

ไอ้คนขวางโลก  ฉัตรด่าลูกชาย    ยิ่งทำให้ศิลาหน้าบึ้งเพิ่มขึ้นอีกกว่าเดิม   ไฉฝ่งกอดไหล่มาลีพรอย่างเอ็นดูเพ่งมองหลานชายพยศ

 

คนที่ตายไม่ใช่พ่อของแกก็น่าจะดีใจได้แล้วและจิ๋นกูมาช่วยที่นี่เพราะฉันสั่ง  ฉันจะเป็นเจ้าภาพงานสวดของเขาคืนนี้เป็นคนแรก  ฉันจะเลี้ยงข้าวต้มเจก็จำเป็นที่จะต้องมาเอาของใช้จากบ้านเราสิจะใช้ของที่ภัตตาคารได้ยังไง

 

   มารยากันทั่วบ้าน....ศิลางึมงำนินทาคนในครอบครัวของเขาอย่างเหลืออดจนไม่กลัวบาปกรรม    ได้โรคป่วยลึกลับหายไปอย่างกะทันหันเพราะต้องไปเป็นเจ้าภาพงานศพนั่นเอง      ดีล่ะในเมื่อทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าอย่างนี้แล้วขาดแต่พี่ชายและพี่สะใภ้กับหลานสาวตัวน้อยเท่านั้นแต่ก็ถือว่าองค์ประชุมอยู่กันพร้อมหน้า

 

ดีแล้วที่วันนี้อยู่กันครบหน้า  ศิลาพูดขึ้นตรง ๆ

 

ผมมีเรื่องจะพูด.....อย่าเพิ่งลุกไปสิครับลุงจักร  ศิลาท้วงเมื่อจักรลุกขึ้นยืน


ขอโทษนี่ก็สายแล้วฉันต้องไปดูซิงสาขาสามของเราหน่อยถ้าฉันต้องไปงานศพคืนนี้ ควรจะเคลียร์งานให้เสร็จก่อนบ่าย  หนี....ศิลาขบขัน

 

ลุงยังมีเรื่องอาติโชกที่ให้ผมไปเอามาจากนิวเจอร์ซี่  จักรพยักหน้าทำหน้าเศร้า

 

เฮ้อ.......อย่าพูดถึงมันเลย  ลืมซะเถอะล้มแผนนี้ซะเราจะไม่เอาหัวอาติโชกมาทำอาหารแล้วล่ะ

 

ทั้งที่ผมเกือบตายเพราะมันนี่นะ  ศิลาโมโหเดือดขึ้นมา

 

ก็เพราะมันเกือบฆ่าแกน่ะสิลุงคิดว่าเรายกเลิกโครงการนี้ดีกว่าเอาล่ะลุงกำลังรีบไปก่อนล่ะนะ  จักรหันไปลามาดารแล้วลอยนวลออกไปหน้าตาเฉย

 

เดี๋ยวสิครับ  ศิลาพยายามท้วง  เขาจะไม่ยอมให้จอมวางแผนคนนี้หนีไปเฉย ๆ มีแรงตีที่ไหล่ทำให้เขาหันกลับไปมองเห็นฉัตรพเยิดหน้าให้

 

อย่าเพิ่มพูดอะไรวันนี้เลยพวกเรากำลังยุ่ง  ลินดาตามมาคล้องแขนสามี  ไปกันเถอะคุณ

 

พ่อกับแม่จะไปไหนครับ

 

พวกเราไม่ได้ออกจากบ้านมาสามวันเต็ม ๆ แล้ว  ต้องออกไปดูกิจการของพวกเราน่ะสิแกคิดว่าพวกเรามีเงินขึ้นมาได้เพราะขี้เกียจหรือไงไปกันเถอะคุณ  ฉัตรชวนภรรยาออกเดินหน้าตาเฉย

 

ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณพ่อนะครับ  ฉัตรผินหน้ากลับมานิดเดียวก่อนถึงประตู

เรื่องอะไรก็รอให้ลุงแกมาฉันจะคุยด้วย   วันนี้ฉันกับแม่กำลังรีบ  แล้วทั้งเขาและลินดาก็เดินจากไปไม่ฟังเสียงศิลาอีกต่อไป    เขาหันกลับมาเจอป้าสะใภ้ของเขาถือกระเป๋าเดินออกบ้าง

 

ฉันมีภัตตาคารที่ต้องดูแลแห่งหนึ่งเหมือนกัน  อริสาพูดยิ้ม ๆ แล้วเดินออกไปเลย

 

หนีไปกันหมด  ศิลาพึมด้วยความโกรธ

 

ยังมีฉันไงถ้าแกอยากจะคุยไฉ่ฝ่งพูดด้วยความรื่นเริงใจ   เขาเดินเข้าไปใกล้มองสองสาวที่นั่งขนาบย่าของเขาแล้วนึกขยาด   ย่าของเขาไม่ใช่คนที่จะต่อกรด้วยง่าย ๆ

 

คุณย่ามีอะไรที่จะพูดกับผมหรือครับ

 

แกต่างหากที่อยากคุญไม่ใช่หรือ  คนอื่นไปหมดแล้วเหลือแต่ฉันอยากคุยไหม  เขากรอกตามองเพดาน  ถ้าเริ่มเดี๋ยวนี้มีหวังยาวแน่

 

ช่างเถอะครับ  เอาไว้ทีหลังก็ได้  เขาคอยมาตั้งหลักก่อน    จิ๋นกูเดินกลับเข้ามาในห้องอีกครั้งหลังเดินกลับออกไปเมื่อครู่ที่ศิลาโต้เถียงอยู่กับจักรเข้าไปรายงานไฉ่ฝ่ง

 

พวกเราขนของขึ้นรถหมดแล้ว  ไฉฝ่งรวบมือทั้งเบญจาและมาลีพร

 

เจ้าสองคนไปกับย่า  ศิลาเบิกตา  คุณย่าจะพามาลีไปไหนครับ

 

ไปวัดกับย่าน่ะสิย่าจะให้สองคนนี้ไปช่วย  อะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ หน่อย

 

พวกเขาจะทำอะไรเป็นคุณย่ามีจิ๋นกูก็น่าจะพอแล้ว  ไฉ่ฝ่งมองหลานชาย  รอดแว่นด้วยสายตาเคร่งขรึม

 

แกมีอะไรจะใช้สองสาวนี่หรือ

 

เปล่าครับ

 

งั้นก็อย่ามายุ่ง

 

แต่ว่า.......คุณย่าครับ

 

เขาไม่ใช่เมียแกไม่ต้องมาตอมหึ่งอยู่แถวนี้เหม็นขี้หน้า   ไฉ่ฝ่งไล่ไม่ไว้หน้าหลานชาย  ด้วยสำนวนที่ทำให้คนอื่นฟังแล้วต้องหน้าแดงไปด้วย จะไปไหนก็ไปซะ   ศิลาบึ้งหน้าตาคว่ำ  แล้วเดินดุ่มออกไปตามที่ถูกไล่  มาลีพรหันไปหาไฉ่ฝ่ง

 

คุณย่ารอหนูนะคะ  เดี๋ยวหนูจะกลับมา  เธอพูดเร็วปรื๋อแล้ววิ่งตามศิลาออกไป   สามคนที่เหลือมองสบตากัน  จิ๋นกูตบมือฉาดเข้าหากัน

 

ช่างเหมาะเจาะอะไรอย่างนี้

 

นั่นแปลว่าอะไรคะ  เบญจาไม่เห็นเข้าใจภาษาของจิ๋นกูเลย

 

ก็แปลว่าพวกเขาเหมาะสมกันน่ะสิ  ไฉ่ฝ่งแปลให้หลานสาวฟัง

 

แปลว่าอย่างนั้นหรือคะ  เบญจาไม่อยากเชื่อ

 

พี่ศิลาน่ะโวยวายอยู่ท่าเดียวว่าจะไม่ยอมแต่งงานกับพี่มาลี

 

แล้วเขาจะเต็มใจ  ไฉ่ฝ่งรับรอง

 

คุณศิลาคะ  มาลีพรวิ่งมาทันเขา  ที่ถนนหน้าบ้านพอดี  เขาหยุดหันมาเพื่อรอให้เธอวิ่งลงมาหาเขา

 

คุณจะไปไหนคะ

 

ไปทำงานสิ  เขาตอบง่าย ๆ

 

คุณไม่เป็นไรนะคะ  เธอถามเขาด้วยเสียงห่วงใย  เขาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม  มาลีพรยกมือขึ้นคล้ายทำอะไรไม่ถูกเมื่อเธอพูดขึ้น

 

ฉันรู้ว่า.......อาจเป็นเพราะฉัน....คุณอย่าโกรธคนในครอบครัวคุณนะคะ

 

คุณคิดว่าคนทั้งบ้านรุมผมเพราะคุณ

 

ไม่ใช่ฉันแล้วจะเป็นใครคุณพ่อคุณลุงคุณไม่ยอมฟังในคำพูดที่คุณจะให้ท่านรับฉันกลับมาอยู่ที่นี่พวกเขาคิดว่าต้องรับผิดชอบที่ฉันมาถึงนิวยอร์คแล้วเท่านั้นเองไม่มีใครเกลียดคุณหรอกค่ะ   เขารู้ว่าเธอไม่สบายใจกับเรื่องนี้เช่นกัน

 

แต่ฉันสัญญาว่าฉันจะพยายามพูดกับพวกท่านว่าฉันขอย้ายกลับมาอยู่กับพวกท่านจะขออาศัยอยู่กับพวกท่านไม่นานฉันจะรีบหาใครสักคนแต่งงานไปกับเขา ทุกคนจะกลับมาคืนดีเหมือนเดิม  เขาคว้าหมับเข้าที่ไหล่   บีบบังคับให้เธอมองหน้าเขาแววตาเขารุกวาบเหมือนมีประกายไฟอยู่ในนั้น

 

ผมไม่ได้ไล่คุณให้ออกไปจากบ้านผมสักหน่อย

 

ถึงคุณไม่ไล่ฉันก็ไม่ควรรบกวนคุณนาน ๆ ฉันควร....

 

หยุดพูดได้แล้ว  เขาตะคอกเธออย่างลืมตัว  เธอทำให้เขาใจหาย  ที่ยืนยันว่าจะแต่งงานกับคนอื่น  และจะย้ายออกจากบ้านของเขา    ทั้งที่เขาพูดกับเธอและตั้งใจพูดกับพ่อกับลุงจักรแต่พอเธอพูดมันเหมือนเสียบมีดพุ่งเขาปักกลางอกเขา

 

จะไม่มีอะไรหรือเปลี่ยนแปลงอะไร  ในเวลานี้จำได้ไหมนี่คือข้อตกลงของเราจนกว่าผมจะได้พูดกับพ่อและลุงจักร  ถ้าไม่ได้พูดทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมเข้าใจไหม

โอ้ย.....เธอร้องจากแรงกดที่เขาบีบไหล่เธอ   ศิลารีบคลายมือออก

 

ขอโทษที่ผมทำให้คุณเจ็บ  ผมไม่ได้ตั้งใจ  แต่คุณเข้าใจที่ผมพูดไปไหมว่าข้อตกลงของเรายังคงเหมือนเดิม  เธอพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ  เขามีความรู้สึกที่ปั่นปวนในใจจนต้องปล่อยมือจากไหล่เธอ

 

สัญญากับผมสิ เธอไม่มีทางเลี่ยงจึงต้องรับปาก ค่ะ  เขาพยายามหักห้ามใจ  ที่จะไม่ลากเธอเข้ามาในวงแขนแล้วปลอบว่าทุกอย่างจะดีขึ้นเพราะเขารู้ดีว่าไม่เหมาะที่นี่เป็นหน้าถนนใหญ่

 

วันนี้คุณอยู่กับคุณย่าก็แล้วกันผมจะไปทำงานสักหน่อยแล้วผมจะกลับมารับคุณกลับบ้านเองเราเจอกันที่ในงานนะ

 

ค่ะ เธอรับคำอย่างว่าง่าย   แล้วมองเขาเดินไปตามถนนหน้าแถวแมนชั่น  ไปยังที่จอดรถ เขาไปแล้ว  แต่เธอยังยึดมั่น  กับคำพูดของเขาว่า   เขา จะมารับเธอ  กลับไปยังบ้านของเขา   แล้วเธอก็เริ่มรอตั้งแต่วินาทีนั้นไป

 

ตอนที่  17

 

   ตลอดวันนั้นศิลากลับไปที่ตลาดไทสะสางงานของเขาด้วยหัวใจที่แกว่งไกว  แววแห่งความอาทรห่วงใยของเธอติดตาเขาไม่รู้หาย  ความสวยทำให้ผู้คนสนใจเธอแต่แววตาของความซื่อสัตย์ภักดีของผู้หญิงตะหากที่ทำให้หัวใจของผู้ชายอ่อนละลาย   คนโง่เท่านั้นที่ไม่ต้องการให้ผู้หญิงของตัวเองห่วง   หัวใจเขากระตุกวูบหนึ่งด้วยความรู้สึกเจ็บร้าว

 

   เขาจะไม่แต่งงานกับเธอเพราะเธอมีแววตาห่วงใยเขาแคร์ที่ครอบครัวของเขารุมเขาด้วยความหมางเมิน  ไม่ยอมพูดถึง  เรื่องการที่เลือกเธอมาให้แต่งงานกับเขา   หัวใจเขากระตุกอีกรอบ

 

แต่งงาน......ช่างเป็นคำพูดที่น่ารังเกียจอะไรอย่างนี้  เขายังไม่อยากแต่งงาน.....

 

มาลีโผล่เข้ามาในชีวิตของเขาไม่กี่วันเขาจะไม่ให้เธอ  ทำลายแผนการในชีวิตของเขาให้ย่อยยับด้วยการแต่งงาน

 

ศิลาสะบัดหน้า.....  ยังไงครอบครัวของเขาก็ไม่หลบซ่อนแล้ว  เพราะต้องทำงานศพของเพื่อนของพวกเขาจนกว่าจะเรียบร้อย

 

เขาต้องวางแผนเตรียมใจดี ๆ ไปเจรจาต่อรองกับพ่อของเขาให้รู้เรื่องว่าไม่ควรจับมาลีให้แต่งงานกับใครที่เลือกขึ้นมาจากกระดาษรายชื่ออย่างมั่ว ๆ   เขาน่ะห่วงและจริงใจนะ  ไม่อยากให้เธอเลือกใคร  อย่างรีบร้อนแล้วจะเสียใจ   ภายหลังที่ได้ใครก็ไม่รู้ที่ไม่รักเธอชีวิตจะพังทลาย

 

เขาโกหกตัวเองอย่างน่าตาเฉยว่าเขาหวังดี   ความจริงแล้วเธอเป็นคนที่ผู้ชายรักเธอได้ไม่ยากหรอก  จากความใสซื่อและสวยจนชวนตะลึงอย่างนี้   เขาเองก็เห็นมาแก่ตาแล้ว......

กมลหลงทันทีที่พบเธอวรภพบ้าไปเลย   อย่างนี้แค่พ่อกับลุงของเขาแย้มออกไปว่าเธอกำลังจะเลือกใครสักคนที่เหมาะสมเพื่อแต่งงาน   คนพวกนั้นจะมาหาเธอพร้อมดอกไม้กับช็อกโกแลตแล้วก็เอนตัวนอนเป็นพรมเช็ดเท้าต่อหน้าเธอเพื่อหวังให้เธอเลือกพวกมันสักคนขึ้นมาอย่างเต็มใจ   คิดแล้วร้อยในหัวอก...กับภาพที่ตัวเองสร้างขึ้นมาในมโนภาพ

 

บ้ากันไปหมดแล้ว  ศิลาด่าทุกคนและตัวเขาด้วยก่อนจะลุกพรวดขึ้นจากโต๊ะทำงานของเขาอย่างหงุดหงิดมาเดินไปเดินมาในห้องทำงานของเขา  เมื่อตัดสินใจไม่ได้จึงคว้าเสื้อโค๊ตของตนจากตาขอแขวนข้างประตูมาสวม

 

เขาคิดจะไปตามหาต้นตอคนที่ทำให้เขาไม่มีความสงบในจิตใจ   เป็นเวลาหกโมงเย็นแล้ว  จะไม่มีลูกค้ามาที่นี่อีกแล้ว  ทุกแผนกของตลาดไทปิดตัวพนักงานเก็บกวาดทำความสะอาด  ส่วนอาหารสดจะทยอยเก็บ  ส่วนของแห้งเก็บให้เข้าที่  พร้อมกับตรวจนับส่งยอดให้กับหัวหน้าแผนกปิดตลาดรอที่จะเปิดทำการใหม่ในอีกสิบเอ็ดชั่วโมงข้างหน้า

 

ศิลาเดินผ่านช่องเก็บเงินเบ็ตตี้ลี  คนทำบัญชีและฝ่ายการเงิน เงยหน้าขึ้นทักเขา

 

สวัสดิ์ค่ะเจ้านาย  เขาจึงหยุดเพื่อทักทาย

 

สวัสดีเบ็ตตี้

 

เจ้านายจะกลับเลยหรือค่ะเบ็ตตี้ถามเสียงสั่น

 

ครับคุณคงส่งยอดกับเจ้าหน้าที่ธนาคารแล้วใช่ไหม  เขาถามกิจวัตรประจำวันที่เจ้าหน้าที่ธนาคารจะมารับเงินสดจากเบ็ตตี้เมื่อเธอรวบรวมยอดขายในบ่ายสี่โมงเย็น    สีหน้าของเบ็ตตี้ดูซีดกว่าปกติทำให้เขาสนใจ

 

ค่ะ  เธอตอบเสียงแผ่ว

 

คุณไม่สบายหรือเปล่า  ศิลาไม่ยอมไป   เขาเดินเข้าไปใกล้เคาน์เตอร์ฝ่ายการเงินรู้สึกแปลกว่าทำไมวันนี้เธอจึงอยู่คนเดียว

 

ดิฉันสะ....สบายดะ......ดีค่ะ....

 

จริงหรือ  ศิลายังเดินเข้าไปใกล้ เบ็ตตี้รีบยกมือขึ้นห้ามเขา

 

อย่าเข้ามาค่ะ.......อย่า....

 

คุณเป็นอะไร   ศิลาถามเดินเข้าไปใกล้อีกก้าวเกือบจะถึงเคาน์เตอร์แล้วก็ต้องผงะไปด้วยความตกใจที่มีหนุ่มวัยรุ่นผิวสีสองคนโผล่พรวดขึ้นมาจากใต้เคาน์เตอร์พร้อมกับปืนในมือ

พวกเขาคาดใบหน้าด้วยผ้าพันคอเหลือแค่ลูกตาวาวตื่นเต้น  แต่เสียงที่รอดออกมาจากใต้ผ้าปิดหน้าดังเหมือนฟ้าผ่า

 

ก็เป็นการปล้นน่ะสิวะ  อีกคนใช้ปืนจิ้มที่ขมับของเบ็ตตี้คุกคามข่มขู่

ถ้าเอะอะนังนี่ตาย  การเคลื่อนไหวของทั้งสองทำให้คนงานที่ยังไม่กลับตื่นตัววูบไหวเสียงดัง   ทำให้สองโจรตัวสั่นเครียดและคุกคามเบ๊ตตี้มากขึ้น   ศิลาหันไปตะโกนบอกคนงานให้อยู่ในความสงบ  เขาหวังใจว่าจะมีใครสักคนที่อยู่ไกลออกไปฉลาดคิดที่จะโทรเรียกเก้าหนึ่งหนึ่งแจ้งเหตุให้คนมาช่วย   แต่สถานการณ์ตรงหน้าเขาต้องเผชิญบีบให้คิดแก้ไขโดยด่วน

 

อย่าทำอะไรเบ็ตตี้นะ  เขาตะโกนบอกพวกมันเสียงดัง

 

ถ้าเราได้เงินเราจะปล่อยคนคนที่ไม่ได้บังคับเบ็ตตี้พูดทันที  ศิลาเบิกตาขึ้นอย่างไม่เข้าใจ

หมายความว่ายังไงที่ว่าได้เงิน ก็นายยืนอยู่หน้าตู้เก็บเงินแล้วไม่ใช่หรือ  เขาหันไปหาเบ๊ตตี้อย่างงุนงง

 

ทุกวันพนักงานธนาคารมาเอาเงินไปแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นจะต้องเหลือเงินสดอย่างน้อยพันกว่าเหรียญไว้เผื่อสั่งจ่ายหรือเอาไว้ทอนเงินในวันรุ่งขึ้น   มันจะถูกเก็บไว้ช่องลับของเชฟ   เบ๊ตตี้เป็นคนซื่อสัตย์และเถรตรงจึงไม่ยอมที่จะส่งเงินให้พวกมัน

 

โธ่เอ๋ย.....ศิลาคิดด้วยความโกรธที่มีความเป็นไปได้ในเรื่องนี้

 

ส่งเงินให้พวกเขาไปเบ๊ตตี้  ศิลาแผดเสียงลั่น

 

ชีวิตของคุณสำคัญกว่าเงิน  สองโจรแม้จะปิดหน้าเอาไว้ตั้งครึ่งหน้า  ก็ยังสังเกตออกได้ไม่ยากว่ามีท่าทีโมโหเดือดคนที่ไม่ได้จับตัวเบ๊ตตี้เอาไว้แว้ดขึ้น

 

นี่คือปัญหา  ศิลาหันไปตะโกนใส่เบ๊ตตี้ที่มีสีหน้าไม่สบายเลย

 

ผมบอกให้ส่งเงินให้พวกเขาไปเปิดเชฟแล้วหยิบเงินให้พวกมันไปได้ยินไหม

 

ได้ยินค่ะ  เบ๊ตตี้ตอบเสียงสั่น

 

แต่ทำไม่ได้

 

ทำไม  มีเสียงถามจากเบื้องหลังของศิลามากกว่าห้าเสียง  เมื่อหันกลับไปมอง  จึงเห็นคนงานห้าหกคนที่มายืนคุมเชิงมามองเหตุการณ์อยู่เต็มไปหมด   ศิลาหันกลับไปหาที่เคาน์เตอร์การเงินอีก

 

ไหนพูดทีสิว่าทำไมคุณจึงหยิบเงินให้พวกเขาไม่ได้

 

ก็เพราะนังนี่มันกลืนกุญแจเชฟเข้าไปในท้องของมันแล้วน่ะสิ  จอมโจรในผ้าปิดหน้าแว้ดอีกรอบด้วยความหัวเสีย

 

อะไรนะ  หลายเสียงอุทานพร้อมกับศิลา   เบ๊ตตี้ตีหน้าแหย ๆ ตอบด้วยความภาคภูมิแบบผู้หญิงเฟื่อง ๆ หน่อย ๆ

 

ฉันทำตามวิธีหยุดยั้งไม่ให้โจรได้ของไปตามใบแนะนำของนิวยอร์ค  ดีพีที่แจกให้กับพนักงานเก็บเงินทั่วนิวยอร์คสิคะว่าจะทำให้โจรเข็ดไม่ได้ของพวกมันจะผละจากเราไปฉันจึงกลืนกุญแจเชฟเข้าไปในท้องเลย   ศิลาซัดหน้าผากตัวเอง

 

กลุ้มใจ  เขาได้พนักงานดีเกินไปซะแล้ว...... เบ๊ตตี้เอ๊ย......คิดบ้างไหมว่าถ้าไม่ได้เงินแล้วแถมยังไม่ยอมผละจากไปอีกจะรับมือกับพวกมันอย่างไร  เห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้ผลจริงอย่างใบประกาศแนะนำสักนิด

 

     ในงานพิธีทำศพของชนชาวจีนในวัดลัทธิเต๋าในนิวยอร์คก็ไม่ผิดเพี้ยนจากวัดเต๋าที่ไหนในโลก  มีพระสวมชุดจีวรสีเหลืองถือไม้ธูปดอกบัวเคาะกระโหลกไม้สวดทำนอง  ส่งวิญญาณผู้ตายหลายทำนองตั้งแต่ช้าเร็วจนถึงหวลไห้อาลัยเหมาะบรรยากาศการจากไปอย่างยิ่ง

 

     เมื่อสวดจบแรกพระก็เข้าไปพักผ่อนปล่อยให้แขกเหรื่อที่มาในงานเข้าไปเคารพศพผู้ตาย   มาลีพรมองไปรอบแล้วหันกลับมากระซิบกับเบญจาที่นั่งพับกระดาษเงินกระดาษทองเตรียมเอาไปเผาส่งให้คนตายไปใช้ในปรภพตามความเชื่อของลัทธิเต๋า

 

แขกเยอะจังนะคะ   เบญจาหันกลับมากระซิบตอบ

 

ก็เพราะว่า  พ่ออาหล่านเป็นเจ้าของร้านซักรีด  ผู้คนรู้จักกันทั้งถนน มีเสียงเคลื่อนไหวที่หน้ากระถ่างธูปซึ่งตั้งอยูหน้าโลงศพทำให้สองสาวหันไปมอง

 

จิ๋นกูแกสวมผ้าดิบและผ้ากระสอบทับตัว  คลุมหัวด้วยผ้าดิบไปนั่งหน้ากระถ่างธูป  ยังไม่ทันที่มาลีพรจะตั้งคำถามกับความสงสัย  ก็ต้องสะดุ้งกับเสียงร้องไห้อันดังกังวานห้องจากปากจิ๋นกู

 

หือ......ฮา....หือ.....ฮา......เศร้าเหลือเกิน  มีการพิราบรำพันอีกยาวเหยียดล้วนแล้วแต่เป็นคำรำพันถึงความอาลัยอาวรณ์เหลือแสนเป็นภาษาจีนกวางตุ้งออกจากปากจิ๋นกู

 

มาลีพร หันมามองเบญจาและมองคนอื่น ๆ รอบห้อง  ไม่มีใครมีสีหน้าประหลาดใจหรือรู้สึกอะไรกับเสียงร้องไห้อันดังขนาดนี้

 

ไม่มีใคร....คิดเข้าไปปลอบแล้วให้จิ๋นกูหักห้ามใจบ้างหรือน้องเบน  มาลีพรกระซิบกับเบญจาค่อย ๆ ไม่อยากให้ใครได้ยิน  เบญจายังไม่ทันจะตอบก็มีเสียงหัวเราะเบา ๆ  ของบุรุษจากเบื้องหลังสองสาวจึงทำให้ทั้งสองหันกลับไปมองด้วยความไม่พอใจ   เขาเป็นบุรุษจีนรูปงามสูงโปร่งดวงตาเป็นประกายระริก

 

พี่ตรี  เบญจาอุทานด้วยความยินดี    ตรียกนิ้วขึ้นทำนองให้เธออย่าทำเสียงดัง

 

คนอื่นมองมาทางเราแล้วเบน  เบญจานิ่วหน้าให้เขา

 

พี่ตรีนั่นล่ะที่หัวเราะทำให้คนอื่นมองมากกว่า  ตรีมองมาลีพรมากกว่าจะใส่ใจกับคำตัดพ้อของสาวน้อยเบญจา

ก็ขำเธอน่ะสิ  ทำไมบอกเพื่อนไปล่ะว่า   จิ๋นกูแกกำลังทำงานอยู่ไม่ได้อาลัยอาวรณ์ลุงจีพ่ออาหล่านหรอกเพราะพวกเขาไม่ใช่ญาติกัน  มาลีพรเบิกตากว้าง

 

พวกเขาไม่ใช่ญาติกันแล้วทำไมจิ๋นกูดูร้องไห้โศกเศร้านัก  เบญจาเพิ่งจะรู้ว่า  มาลีพรไม่รู้เรื่องอะไรเลย

 

จิ๋นกูแกรับจ้างร้องไห้หน้างานศพครับ  ตรีตอบอย่างขำเต็มที่   มาลีพรอ้าปากค้าง

 

รับจ้างร้องไห้  ตรีพยักหน้าให้เธอ

 

คนรวยคนดีมีคนชอบตามประเพณีของคนจีนกวางตุ้ง  จะมีคนมาร้องไห้หน้างานศพ  แสดงถึงความอาลัยเหมือนชาวคริสต์จะมีคนมาร้องเพลงไว้อาลัย  แต่การร้องไห้หน้าไฟมันเป็นศาสตร์อย่างหนึ่งที่ทำกันไม่ได้ง่าย ๆ จึงจำเป็นต้องจ้างคนมาร้องแทนลูกหลานคนตายครับผม   มาลีพรมองเขาหน้าเหรออยู่พักหนึ่งที่อยู่ ๆ ก็มีหนุ่มหน้าตาดีโผล่เข้ามาอธิบายเรื่องประเพณีงานศพให้เธอฟัง    เขาเป็นใครกันนะ...... 

 

ตรีเข้าใจแววตาที่สงสัยสุด ๆ ของเธอ   มันเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจได้อย่างแรงจนเขาต้องก้าวข้ามห้องมาหาเธอตั้งแต่เห็นครั้งแรกแล้ว   เขาหันไปหาเบญจาที่ยังตีหน้าง้ำไม่เลิกตามประสาเด็กสาวเอาแต่ใจ

 

นี่เบนจะไม่แนะนำพี่กับเพื่อนของเธอเลยหรือจ๊ะ  เบญจาหน้าหุบกับคำตำหนิที่ดูอ่อนโยน  ยังไงเขาก้ตำหนิเธอนั่นแหละแต่ด้วยมารยาทจึงต้องแนะนำขึ้นว่า

 

พี่มาลี....คะ....เบนขอแนะนำให้รู้จักนี่คือพี่ตรี...ทนายความชื่อดังของเขตย่านไชน่าทาวน์.....พี่ตรีคะนี่พี่มาลีเพิ่งมาจากเมืองไทยมาพักกับครอบครัวของพวกเราค่ะ   เขายื่นมือให้เธอแต่มาลีพรไม่ยื่นมือออกไปเธอยกมือขึ้นไหว้เขา

 

ยินดีที่ได้รู้จักครับ  ยังไงซะเขาก็พอใจแม้จะไม่ได้สัมผัสมือกับเธอ

ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ...คุณเป็นทนายความหรือคะ  เธอสนใจเขาตรีคิดอย่างเป็นปลื้มก็เธอถามถึงอาชีพที่เขาเป็นอยู่

 

ตอนที่   18

 

  ฉัตรตักข้าวต้มเจที่ประกอบด้วยเต้าฮู้เห็ดหอมถั่วลันเตา  แครอท  หั่นเป็นลูกเต๋าชิ้นเล็ก ๆ ต้มในน้ำซุปผักผสมข้าวสวยบานกำลังเหมาะใส่ปากอย่างอร่อยลิ้น

 

ฝีมือแม่อร่อยไม่ตกเลยนะพี่จักร  จักรหันกลับมามองน้องชายตาดุ

 

แกห่วงแต่กินอยู่ได้

 

ทำไม  ฉัตรทำตาปลิ้นกับพี่ชาย  จักรถือถ้วยข้าวต้มกระซิบกับน้องชายกลัวว่าผู้คนที่เดินอยู่รอบโต๊ะอาหารจะได้ยิน

 

ลูกชายแกหายหัวไปไหนวะฉัตร  ฉัตรเกือบสำลักเขารีบกลืนเต้าฮู้ทอดกรอบที่รสชาติคล้ายแทนหนังปลาบนน้ำซุปแล้วนิ่วหน้าใช้ความคิด

 

ก็เบนบอกว่าเขาจะตามมานี่นา

 

เบนฟังมาจากใคร  จักรไม่ไว้ใจเพราะศิลาทำได้ทุกอย่างที่จะวิ่งหนีการแต่งงาน

 

หนูมาลี  ฉัตรตอบ

 

อย่าห่วงเลยน่าถ้าศิลารับปากมาลีว่าจะมาเขาต้องมาสิ

 

ไม่ห่วงงั้นรึ....  จักรขึงตาให้

 

แกเปิดตามองหรือเปล่าว่ามีอะไรเกิดขึ้นแถว ๆ นี้

 

อะไร

 

โน้นไง  บุ้ยปากให้ฉัตรมองไปยังฟากตรงข้ามของห้องโถงหลังห้องจัดพิธีศพที่พวกเขาใช้จัดตั้งโต๊ะอาหารเลี้ยงแขกที่มาในงานศพหลัง   งานพระสวดไปเรียบร้อยแล้ว   ฉัตรมองตามก็เกือบสะดุ้ง   เห็นตรีถือถ้วยข้าวต้มคลอเคลียอยู่ใกล้ ๆ มาลีพรที่กลุ่มแขกฝั่งโน้น

 

เฮ้ย........ ฉัตรอุทานเกือบปล่อยถ้วยข้าวต้มหลุดจากมือ

 

ฉันไม่ทันสังเกตได้ยังไงว่ามีคนมาตอมสาวน้อยของพวกเรา

 

ฉันดีใจนะที่แกยังคิดว่าหนูมาลีเป็นคนของพวกเราดูนายไม่สนใจอะไรมากกว่าข้าวต้มเจของนาย จักรต่อว่าน้องชาย

 

พูดอะไรอย่างนั้น  ฉัตรวางถ้วยข้าวต้มกับโต๊ะยาวที่จัดวางไม่สนใจมันอีกต่อไป

 

ฉันไม่ทีนเห็นว่านายตรีมันเข้ามาในงานด้วย  แต่ตอนนี้เห็นแล้ว  คงต้องเข้าไปจัดการ

 

เดี๋ยวก่อน  จักรเบรกน้องชายเอาไว้

 

มีอะไรอีกล่ะ

 

นายสังเกตอะไรไหม

 

อะไร  ฉัตรพยายามคิด

 

ดูหนูมาลีของเราจะสนใจนายตรีไหม  ฉัตรชะงักเพ่งมองข้ามโต๊ะข้าวต้มเจข้ามไปอย่างจดจ้อง

 

พวกเขาคุยคุยกัน  ฉัตรยังมองโลกในแง่ดี

มีคนผลัดเข้าไปคุยหลายกลุ่มแล้วก็ถอยออกไปก็หลายคนแล้ว  แต่นายตรียังไม่ยอมไปไหน  จักรตั้งข้อสังเกตอย่างเข้มข้นเพื่อผลประโยชน์ของตนเองเพราะเขาถือว่ามาลี  คือคนของครอบครัวเขาไปกว่าครึ่งแล้ว  ตั้งแต่เธอตอบรับการแต่งงานของหลานชาย

 

งั้นเราก็เข้าไปสิ  ฉัตรตัดสินใจ

 

ฉันว่าอย่าเพิ่งดีกว่า  จักรเปลี่ยนแผน

 

ทำไม

 

ฉันอยากจะดูว่าไอ้ศิลามันจะคิดยังไงที่มีคนมาแย่ง

 

ถ้าพลาดก็ชวดพอดีฉัตรไม่ไว้ใจชะตาของลูกชาย

 

คนอย่างนายศิลาแกเลี้ยงมันมากับมือไม่รู้นิสัยมันหรือยังไงส่งให้มันจะส่ายหน้าถ้าดึงออกไปมันจะวิ่งตามสุดชีวิต

 

ไม่เหมือนกัน   นั่นมันของเล่นนี่มันผู้หญิงนะพี่จักร

 

ไม่ว่าจะเป็นของเล่นหรือผู้หญิงฉันว่าศิลาไม่ยอมปล่อยหลุดมือหรอก

 

ใช่ไม่อย่างงั้นก็ไม่ใช่หลานคุณแม่สิน่า  ฉัตรรับคำอย่างเห็นด้วยกับพี่ชาย

 

แล้วเราจะเอายังไงต่อ  เข้าไปไล่ไอ้ตรีกันไหม  มีมือเอื้อมมาจากข้างหลัง  ตีทั้งสองพี่น้องแรง ๆ พร้อมกันดังป๊าบ

 

จะไล่ใครไปไหนไอ้เสือสองตัว  ทั้งสองหันไปเกือบบริภาษคนที่บังอาจแอบเข้ามาอย่างเงียบ ๆ ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่าเป็นใคร

 

ท่านนายกจี๋  จักรอุทาน

 

ฉัตรยิ้มแหยให้กับนายกสมาคมชาวจีนแห่งโซโห    พี่จี๋

 

ฉันได้ยินมาว่า  มีหลานสาวจากเมืองไทยมาอยู่ด้วยหรือจักร  นายกจี๋จิงฉวนถามอย่างใส่ใจ

 

มีใครบอกพี่หรือครับ  จักรพยายามถ่วงเวลา

 

โฮ้ยต้องให้ใครบอกฉัน....โน้น  ดูสิพวกหนุ่มวิ่งกันพล่านซุบซิบกันใหญ่ว่าบ้านนายมีหลานสาวสวยมากมาจากเมืองไทยพวกเขาสงสัยว่านายจะจับคู่เขาให้กับใครสักคนในนิวยอร์ค   ฉัตรและจักรนิ่วหน้าพร้อมกัน

 

     ถ้าคนพวกนี้รู้ขนาดนี้ทำไมไม่คิดบ้างว่าพวกเขาก็มีลูกชายที่เหมาะสมอยู่ในบ้านอีกหนึ่งคนถ้าอยากได้ลูกสะใภ้น่าจะหามาเองไม่ใช่เที่ยวมามองหาจากคนที่คนอื่นหามา   นายกจี๋บุ้ยใบ้ไปที่ตรี

 

ลูกชายฉันดูจะสนใจหลานสาวของพวกนายนะ

 

พวกเราเห็นแล้ว  สองพี่น้องตอบพร้อมกันอย่างไม่พอใจแต่ไม่อาจพูดได้มากกว่านี้เพราะนายกจี๋เป็นพี่ใหญ่อยู่แถวโซโหที่โด่งดังเหมือนลูกชายเขาที่เป็นทนายความชื่อดังสำหรับคนจีนที่มีปัญหาเรื่องข้อกฎหมายที่ซับซ้อนของสหรัฐอเมริกาเป็นคนที่ต้องมีเหตุผลดีจึงจะปฎิเสธพวกเขาได้

 

ฉันอยากเชิญครอบครัวของพวกนายไปดื่มน้ำชากันหน่อย     จี๋จิงฉวนชวนตรง ๆ

 

เราต้องถามคุณแม่ก่อน จักรพยายามบ่ายเบี่ยง

 

ฉันไปถามมาแล้วน้าไฉ่ฝ่งบอกว่ารอให้ศิลาว่างพวกนายจะไปทั้งบ้านไม่ต้องเกรงใจนะฉันจะนัดเมียฉันมาด้วย  มันชักจะไปกันใหญ่แล้วล่ะมั้ง...สองพี่น้องคิดอย่างโกรธแค้นลูกชายตนเองที่ยังไม่ออกปากรับรองการแต่งงานทำให้ไม่อาจที่จะพูดออกไปเต็มปากเพื่อไล่จี๋จินฉวนและลูกชายได้ถนัด

 

    ไอ้ศิลา.......ไอ้บ้าเสือกหายหัวไปไหนาของมันจึงไม่มาปรากฎที่นี่เพราะแค่ผู้คนเห็นศิลาที่นี่ก็คงไม่มีใครกล้ามาสนใจจักรคิดด้วยความโกรธ   ความไม่สนใจของศิลาทำให้ผู้คนเข้าใจผิดคิดว่าพวกเขาไม่ได้เตรียมการให้กับลูกชายสำหรับผู้หญิงจากเมืองไทย

 

เราจะคุยกันทีหลังดีไหมพี่  จักรหาทางออกด้วยการแบ่งรับแบ่งสู้แต่ จี๋จิงฉวนไม่ใช่คนที่ไม่กึ๋นหรือเป็นนายกสมาคมขี้แหยเขาขึ้นมาสูงอย่างนี้ได้เพราะเขาไม่เคยถอยและเป็นคนที่ออกไปยืนข้างหน้าเมืองคนจีนในย่านโซโหทุกครั้งถ้าเกิดมีเรื่อง   เขาคว้าข้อมือของจักรขึ้นมากำเอาไว้เบีบหนักแน่น

 

นี่เป็นเรื่องจริงจังนะจักรฉันไม่เคยเห็นลูกชายของฉันสนใจลูกสาวบ้านไหนมาก่อนเหมือนคราวนี้นี่ฉันเห็นเป็นเพื่อนกันหรอกนะจึงพูดอย่างตรงไปตรงมากับพวกนายสองคนพี่น้องว่าเด็กสาวคนนี้ฉันจองให้ลูกชาย  จักรขบฟันกรอด   ฉัตรสูดลมหายใจเข้าปอดลึก   เรื่องอะไรที่เขาจะกลัวจี๋จิงฉวนพี่ชายของเขาได้คะแนนเป็นรองจี๋จิงฉวน

 

หลานสาวคนนี้มานิวยอร์กด้วยความสมัครใจไม่ได้หมดหนทางไป  ไม่มีใครสั่งให้เธอทำอะไรก็ได้  การตัดสินใจของมาลีคือคำตัดสินว่าต้องการอะไรพวกเราเป็นแต่ลุงแต่อาไม่มีสิทธิ์ไปบงการหรือชี้นำว่าเขาต้องทำอะไรหวังว่าพี่จี๋จะเข้าใจ  ฉัตรพูดเสียงแข็งทำให้จี๋จิงฉวนหน้าตึงไม่พอใจ   จักรใช้มือกันน้องชายออกไป

 

นายไปดูแม่ทีฉัตร  ฉัตรยอมไปง่าย ๆ

 

เขาเองก็กลัวตังเองระงับใจไม่อยู่อาจจะด่าสองพ่อลูกหน้าด้านมาสนใจในคนที่เป็นของลูกชายของเขา   เขาลืมไปว่าศิลาเองตะหากที่ทำให้เกิดภาพอีหลักอีเหลื่อกเช่นนี้   เรื่องอะไรที่เขาจะโทษลูกชายตัวเอง   จี๋จงฉวน  มองจักรตรง ๆ

น้องชายของนายนี่ยังใจร้อนเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนนะ

 

เขาก็เป็นอย่างนี้แต่ก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนมานานแล้ว

 

เรื่องที่น้องชายของนายพูดเมื่อกี้

 

หลานสาวจากเมืองไทยคนนี้มีสิทธิ์จะทำอะไรก้ได้พวกเราบังคับไม่ได้หรอกความจริงพี่จี๋ไม่น่าเดือดร้อนเลย   ถ้านายตรีถูกใจหนูมาลีพวกเราก็จะสนับสนุนไม่กีดกันหรอก   เป็นความจริงใจที่จักรคิดเช่นนี้

 

เขาคิดว่าสุดแต่ความคิดของหลานชายเองว่าจะสู้เพื่อให้ได้มาลีมาเป็นของมันหรือจะปล่อยให้คนอื่นไปก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว

 

นี่ยังเร็วไปไหม  พวกเขาเพิ่งจะเจอกันวันนี้เป็นครั้งแรก

 

คนเราจะชอบหรือไม่ครั้งแรกก็รู้ใจตัวเองแล้วล่ะจักร....ฉันรู้ใจลูกชายของฉันดีว่ามันต้องปิ๊งหลานสาวของแกแหง  นั่นสินะ....มาลีอยู่บ้านนายศิลาตั้งหลายวันแล้วมันมัวแต่ชักช้าไปมุดหัวอยู่ที่ไหนนะถึงไม่มาสักทีจักรคิดอย่างหงุดหงิด    จี๋จิงฉวน เอนหน้าเข้ามากระซิบ

 

นายอาจจะคิดว่าฉันใจร้อนยิ่งกว่าลูกชายแต่ที่ฉันต้องรีบมาเพราะฉันได้ยินแม่ของแกบอกว่าเด็กสาวคนนี้พวกเขาหวังจะให้แต่งงานกับคนที่ดีในนิวยอร์ก

 

อะไรนะจักรตกตะลึงคิดไม่ถึงว่ามารดาของเขาจะเปิดตัวมาลีกับสังคมของคนจีนในนิวยอร์กไปแล้ว  จิงฉวนยังคงพล่ามต่อไป

 

แม่ของนายพูดกับบ้านหลินหยู.....ไอ้หมอนั่นตาโตเท่าไข่ห่าน เชอะ....ลูกของหลินหยูไม่ได้มาวันนี้ด้วยซ้ำไปที่ฉันต้องรีบพูดกับนายเพราะนายตรีสนิทกับหนูคนนั้นของพวกนายออกชัดเจนจะให้ ลูกชายหลินหยูมาแทรกได้ยังไง   นี่เองจี๋ จิงฉวนถึงเข้ามาพูดตรง ๆ   จักรอยากจะซัดหน้าผากตัวเองสักที.....แม่ของเขาคิดจะเล่นอะไรกันนี่   แค่เปิดตัวกับอีกคนก็มีอีกคนมาขอจองตัดหน้ากันแล้ว  จักรยกมือให้กับจิงฉวน

 

อย่าให้ฉันรับปากอะไรทั้งสิ้นและเรื่องนี้จะเป็นไปตามที่ฉันบอกพี่ว่าการตัดสินใจอยู่ที่เด็กหวังว่าพี่จะเข้าใจ

 

ฉันว่าเธอต้องเลือกลูกชายฉัน

 

ไม่ใช่วันนี้น่าพี่จี๋  ห่างออกจาก  ห้องนี้ไปไม่กี่เมตรศพพี่จียังอุ่นอยู่เลย  เราเลือกวันอื่นคุยกันดีกว่าไหมเพื่อไม่ให้เป็นการดูถูกศพคนตาย

 

ก็ได้.......นายพร้อมเมื่อไหร่โทรนัดพวกเราไปได้เลย  จี๋จิงฉวนยอมถอยก้าวหนึ่งเพราะดูจักรก็ไม่ได้กีดกันโวยวายอะไรนอกจากดูความสมัครใจของเด็กสาวคนนั้นเท่านั้นเอง   เขามั่นใจในเสน่ห์ของลูกชายว่ามีไม่น้อยกว่าใครในไชน่าทาวน์  คราวนี้เขาจะได้หลานเชยชมสมใจซะทีกับไอ้พวกหนุ่มหัวสมัยใหม่ที่ไม่ยอมแต่งงานง่าย ๆ ในสังคมเรียนแบบชีวิตคนอเมริกันยุคใหม่ในเมืองใหญ่

ได้เลยแล้วฉันจะโทร. หาพี่เมื่อเราพร้อม  จักรรับปากพร้อมกับแอบคิดในใจว่าอาจจะอีกนานแสนนานหรือหลังจากที่มาลีแต่งงานกับศิลาไปแล้วนั่นล่ะเขาจึงยอมโทร . หาจี๋จิงฉวน   จักรมองไปยังมาลีและตรีที่ยังคุยกันอยู่อีกฟากของห้อง  สงสัยเหลือเกินว่าตรีอาจจะมีเสน่ห์กว่าศิลาได้อย่างไร  ทำไมมาลีจึงสนิทสนมกับมันง่าย ๆ  ทั้งสองคุยอะไรกันนะ

 

ตอนที่   19

 

    ผมชำนาญเรื่องคดีฆาตกรรม  ตรียึดอกพูดอย่างภูมิใจ  ในความเก่งฉกาจในงานที่เขาถนัดและเขามีดีที่จะอวด   หนุ่ม ๆ ในย่านโซโห  ไม่มีใครเทียบความเท่และอาชีพที่เขานับถือได้เท่าเขาอีกแล้ว  ทนายความเป็นอาชีพที่มีเกียรติและทำเงินได้มหาศาลถ้าได้คดีใหญ่ ๆ   มาลีพรกลืนน้ำลายเหนี่ยว ๆ ที่ติดคอลงไป

 

คุณว่าความให้กับคนที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดใช่ไหมคะ  เบญจากรอกตาด้วยความเบื่อหน่าย  เธอไม่ชอบฟังเรื่องรูปคดีและการฟ้องร้องเพราะถือว่ามันยุ่งยากและซับซ้อน  นั่นทำให้ตรีไม่ค่อยชอบเธอที่ไม่ยอมทนฟังในสิ่งที่เขาพูด  วันนี้ดวงตาของเขาเป็นประกายวูบวับ  เห็นแล้วทำให้เธอเจ็บปวดใจเขาไม่เคยมองเธออย่างที่มองมาลีพรสักนิด

 

ใช่สิครับ  ตรีรีบรับทันที

 

ผมว่าความให้กับคนที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดในฐานะฆาตกรมาหลายรายแล้ว  ชิงชัยหนุ่มจากย่านหรองซ์พเยิดหน้าให้อย่างนิยมชมชื่นเช่นกัน

 

เขาว่าความชนะทุกคดีที่เขาจับ  พวกเราเรียกเขาว่าไอ้หนุ่มมือทองของทนายความรุ่นเดียวกันเลยครับ  มาลีพรตื่นเต้นยิ่งนัก

 

ฉันมีเรื่องอยากจะถามคุณ  เบญจามองด้วยความสนใจปัดถ้วยที่หนุ่มอีกคนยื่นมาให้ตรงหน้าออก  คิดว่ามาลีพรสนใจเรื่องเกี่ยวข้องกับกฎหมายหรือสนใจตรีกันแน่

 

ยินดีครับออฟชาร์จสำหรับเพื่อนฝูง  ผมไม่คิดเงินค่าปรึกษา  ตรีแย้มด้วยความใจกว้างกับสาวสวยที่เขาสนใจ

 

คือว่าอย่าง.....ฉันมีเพื่อนคนหนึ่ง มาลีพรเริ่มอย่างคนที่พูดถึงตัวเองในคำถามที่ไม่อยากให้ใครรู้ว่าเป็นตัวเอง

 

เพื่อนคุณทำไม ตรีถามอย่างเอางานเอาการด้วยความภาคภูมิใจที่เขาเด่นที่สุดในวงสนทนานี้ที่ใคร ๆ เงี่ยฟังคำพูดจากเขา

 

คือมีเหตุทะเลาะวิวาทกันเขาเข้าไปช่วยเพื่อนกำลังถูกทำร้าย มาลีพรกลืนน้ำลายพยายามเลือกคำพูดให้สั้นและเข้าใจง่ายที่สุด

 

ว้ายมันเป็นเรื่องน่ากลัวนะ สาวน้อยคุ่ควงของชิงชัยแสดงความตื่นใจ

 

ฉะ...เอ๊ย....เพื่อนของฉันเข้าไปช่วย มาลีพรคิดยังไม่ออกว่าจะเล่าอย่างไรดี

 

ใจเย็น ๆ  ครับเล่าตั้งแต่ต้นสิครับ  ตรีเสนอพูดให้ต่อ

 

เพื่อนของเขาทะเลาะกันกับคู่รักตีเธอล้มลงหัวฟาดกับกระจกเลือดไหลแล้วคู่รักก็เข้าไปบีบคอเพื่อนของฉันเพื่อนฉันจึงเอาตุ๊กตาแก้วฟาดหัวคู่รักของเพื่อนเพื่อช่วยเหลือ....สับสนไหมค่ะคือเพื่อนของฉันจะช่วยเพื่อนของเขา

 

แล้วคนที่ถูกตีหัวเป็นยังไงบ้าง

 

แน่นิ่งไป...คิดว่าเขาน่าจะตาย

 

แล้วเพื่อนที่ถูกบีบคอล่ะ

 

คงตายเหมือนกัน  มาลีพรตอบเสียงอ่อย

 

มีพยานไหมว่าเกิดอะไรขึ้น  ตรีซักอย่างมืออาชีพ

 

ไม่มีใครพวกเขาอยู่กันสามคนเพื่อนของฉันคนนี้จึงหนีไปค่ะ

เขาทำไม่ถูกควรจะแจ้งขอความช่วยเหลือนะ

 

 เขาก็แจ้งแต่เขากลัวจึงหนีไปฉันอยากรู้ว่าเขาจะถูกดำเนินคดีว่าฆ่าคนตายใช่ไหม  แม้จะเจตนาว่าช่วยเพื่อน  มาลีพรถามเขาเสียงรัวตื่นเต้นเธออยากรู้คำตอบ

 

  ลำบาก เพราะไม่มีพยาน ตรีทำท่าใช้ความคิด  เบญจาบิดปากแล้วดีดนิ้วตรงหน้าตรีเหมือนเรียกเขาตื่นจากความหมกมุ่น

 

  อะไรกันพี่มาบีแค่ถามเล่น ๆ แบบทดสอบความชำนาญของพี่เท่านั้นทำไมต้องซีเรียสขนาดนี้ค่ะ  มาลีพรหัวเราะแหยๆ ทำให้คนอื่นหัวเราะตามไปด้วย

 

  ล้อกันเล่นหรอกหรือ มีเสียงฮือหัวเราะอย่างสนุกขึ้นมา  แต่ตรียังคงพูดกับมาลีพรด้วยความเคร่งขรึมเอางานเอาการคิดรักษษความน่าเชื่อถือต่อหน้าเธอ  คนอื่นอาจจะเลิกสนใจเรื่องนี้แม้หัวเราะออกมา   ในเมื่อทดสอบเขา...ตรีคิดว่าเขาจะต้องสอบให้ผ่านให้ได้เพื่อเธอจะได้ประทับใจในตัวเขา

 

ถ้าเพื่อนคุณทำเพื่อช่วยเพื่อนอีกคน  แม้เขาจะตายไปแล้วก็ตามและคนที่ทำร้านเธอก้ตายไปด้วย  เราอาจจะใช้วิธีพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์เข้าช่วยในการสู้คดีอาจจะช่วยได้

 

 จริงหรือค่ะ ทนายความช่วยทำเรื่องได้หรือคะ

 

 ย่อมได้อยู่แล้สิครับ  ตรีรับรองกับเธออย่างเข้มแข็งทำให้คนรอบตัวเลิกคิ้งมองกันยิ้ม ๆ คงมีแต่ เบญจาเท่านั้นที่ไม่รู้สึกขัน  เพราะเธอปวดใจกับท่าทีที่ตรีอาทรต่อมาลีพร ถ้าเขารู้ซะก่อนเถอะว่ามาลีพรมานิวยอร์กเพื่อเป็นเจ้าสาวของศิลา เขาอาจจะไม่มีท่าทีเช่นนี้หรืออีกทีเขาอาจจะยินดี  เพราะศิลาไม่อยากแต่งงานเลยนี่

 

 พี่ชายเธอแท้ ๆ ที่ทำให้เกิดเรื่องอย่างนี้  ถ้าไม่ใช่เขามาลีก็คงไม่มานิวยอร์กแล้วได้พบกับตรี  เบญจานึกอยากเกลียดมาลี  แต่หัวใจที่ยุติธรรมบอกเธอว่า  ถึงมาลีไม่มานิวยอร์ก ตรีก็ไม่มีวันที่จะชายตาแลมายังเธออยู่แล้ว  การที่ ตรีไม่รักเธอไม่ใช่ความผิดของมาลีสักหน่อย

 

 การเป็นทนายความมีรากฐานในการช่วยลูกความของเขาว่าทำเรื่องที่ดูว่าร้ายแรงที่สุดให้เหลือเป็นแค่ร้าย และจากคำว่าร้ายลงมาเหลือจากคำว่าพอใช้จนในที่สุดก็เป็นเรื่องเจรจากันได้  ตรีท่องหลักการของทนายความให้เธอฟัง มาลีพรยินดีหนักหนาว่าบางทีเธออาจจมีช่องทางที่จะพิสูจน์ตัวเองในเรื่องของมาลีกับเกษมว่าเธอไม่ได้เป็นคนสังหารพวกเขา ไม่แม้แต่เรื่องของเกษมเธอก็ไม่ได้เจตนา  แต่เบญจามองท่าทียินดีนี้ด้วยความเข้าใจผิดว่ามาลีพรเป็นปลื้มในสติปัญญาและความเป็นทนายชื่อดังอย่างสาวนิวยอร์กหลงปลี้มตรีกันเกร่อ

 

 เธอจึงผุดลุกขึ้นยืนพูดขึ้น ดูเหมือนแขกจะทยอยกันกลับกันแล้วเราต้องไปหาคุณย่ากันแล้วล่ะพี่มาลี หลายคนร่ำลาแยกตัวไป แต่ตรียังเดินไปส่งสองสาวอย่างใกล้ชิด ทำให้เบญจาอยากจะหันกลับไปไล่เขา หรือไม่ก็ข่วนหน้าหล่อ ๆ เขาสักแควกให้หายโมโห

 

 อาคมและไอริณเข้ามารวมกลุ่มกับครอบครัวของพวกเขา  คืนนี้จะไปนอนที่ไหน อาคมถามน้องสาวเพราะรู้ดีว่าบางทีเบญจา อาจจะกลับไปที่หอพักในมหาวิทยาลัย

 

 ดึกแล้ว คงนอนที่บ้านพ่อค่ะ พี่คม  เบญจาตอบอาคมแล้วหันไปพนมมือไหว้ตรี ขอบคุณที่เดินมาส่งพวกเราค่ะ  ตรีรู้ว่าเธอไล่เขาแล้ว เขาจึงรับไหว้แล้วเริ่มลาคนอื่นที่เป็นครอบครัวเธอตามมารยาท จนถึงมาลีพรเป็นคนสุดท้าย

 

 ผมหวังว่าเราจะพบกันอีกนะครับ 

 

ยินดีเสมอค่ะ  มาลีพรพูดกับเขาอย่างมีมารยาทดี

 

 สวัสดีค่ะนะตรี อาคมลาเพื่อนเป็นการไล่อีกครั้ง  เพราะจักรและฉัตรก็โวยกับเขาเมื่อครู่แล้วว่าจี๋ จิง ฉวน ซึ่งเป็นพ่อของตรีพูดอะไรบ้าง

 

อาคมไม่คิดว่าตรีจะมีส่วนรู้เห็น กับการกระทำของพ่อของเขา แต่สายตาที่เขามองมาลีอย่างอาวรณ์ประกอบอารมณ์ที่บูดบึ้งของเบญจาบอกอะไรได้เยอะว่า ตรีเป็นปัญหาอย่างไม่ต้องสงสัย

 

 นายศิลาอยู่ไหน  อาคมถาม น้องสาวเมื่อตรีเดินผละไปแล้ว

 

เบญจาส่ายหน้า  แต่มาลีพรกระตุกที่หัวใจวูบหนึ่ง  เขาสัญญาว่าจะมารับเธอกลับบ้าน ตลอดเวลาตั้งแต่ช่วงเย็นเธอมองหาเขาในหมู่ผู้คนที่เป็นแขกก็ไม่เห็นเขา  เธอยังคิดว่าเขาอาจจะเหมือนอาคม ที่โผล่เข้ามา กลางงานเริ่มไปนานแล้ว และหายออกไปคุยกันกับคนอื่น ๆ จนกลับเข้ามาใหม่เมื่องานเลิกจริง ๆ

 อาคมไม่พบเขา แสดงว่าเขาคงไม่ได้มา เพราะไม่มีใครเห็นเขาเลยสักคน  จักรเดินเข้ามาสมทบ

 

 กลับกันเถอะ  เขาชวน  ฉัตรเดินประคองไฉ่ฝ่งมีภรรยาและสะใภ้เดินตามมา

 

 ใครจะไปรถใคร  จักรถามขึ้น

 

 เบน......ไปนั่งรถพ่อกับคุณย่าก็แล้วกัน เบญจาตัดสินใจเอง

 

 ดีเหมือนกัน เพราะฉันกับลินดาต้องกลับไปเคลียร์บัญชีที่สาขาสองก่อนจะกลับ  ฉัตรบอกกับทุกคน

 

 งั้นผมไปส่งมาลีเอง อาคมอาสา เมื่อเห็นความลงตัวของคนอื่น  มาลีพรหุบปากลงไม่กล้าที่จะขอติดตามคนอื่น ๆ กลับไปนอนที่บ้านของย่าไฉ่ฝ่ง  ไม่มีใครชวนเธอไปด้วยสักคนเดียวทำให้ไม่กล้าขอ  และเธอคงไม่มีคำตอบให้กับพวกเขาว่า ทำไมไม่กลับไปนอนที่บ้านของศิลา  ในเมื่อเขาไม่อยู่การที่เธอพูดเองกับเรื่องที่ขอย้ายกลับไปอยู่บ้านนั้น จึงเป็นเรื่องยาก เธอไม่อยากทำให้เขาเสียแผนของตนเองและทุกคนก็ดูเห็นว่าควรคงแผนเดิมให้เธออยู่กับบ้านของเขา  อดทนอีกวันคงไม่เป็นไรรอจนกว่าเขาจะพูดกับครอบครัวเขาเองดีกว่า  เธอตัดสินใจได้ในที่สุด

 

 มีใครเห็นศิลาบ้างไหม ไฉ่ฝ่ง ถามขึ้น  ทุกคนส่ายหน้าพร้อมกัน

 

 ฮึ...มันช่างเหลวไหลจริง ๆ  ไฉ่ฝ่งบ่นแล้วสั่งอาคม เจ้าไปส่งมาลีก็แล้วกัน เป็นทางผ่านอยู่แล้วนี่นะ

 

 ครับ อาคมรับคำ  ไอริณ จึงไปจูงมือมาลีพรอย่างถือสนิท

 

 เราไปกันเถอะค่ะ  ทุกคนเริ่ม เดินออกจากวัดลัทธิเต๋าไปช้า ๆ ติดตามแขกคนอื่น ๆ ที่เดินออกกันเกือบหมดแล้ว ต่างลาทายาทคนตายแล้วไปแยกกันจริง ๆ ที่ลานจอดรถ

 

 ไปส่งน้องดี ๆ นะอาคม ไฉ่ฝ่งสั่งอีกครั้ง  ฉัตรกับลินดาก็จากไปด้วยรถอีกคัน  อาคมจึงเปิดประตูรถให้สองสาวขึ้นไปนั่ง มาลีพรเลือกนั่งด้านหลังให้ไอริณนั่งคู่กับสามีของเธอ

 

 ศิลาไปไหนนะ ไอริณพูดคล้ายรำพึง

 เธอไปตลาดไท มาลีพรตอบทันที  คุณศิลาบอกว่าจะไปทำงานก่อนที่จะมางานศพด้วย

 

 ไม่เห็นเขาเลยนี่  อาคมตั้งข้อสังเกต

 

 สงสัยจะมีงานด่วนอะไรมั้ง  ไอริณพยายามหาเหตุผลเพื่อให้มาลีพรสบายใจ  อาคมหุบปากที่จะค้านภรรยาว่า ตลาดไทปิดตั้งแต่หกโมง และไม่เคยมีการทำโอทียกเว้นว่าจะเกิดไฟไหม้ ศิลาจึงจะมาไม่ได้  อาคมไม่รู้ตัวว่าเดาได้ใกล้เคียงความเป็นจริงว่าศิลาจะต้องติดอยู่กับปัญหาที่ร้ายแรงอะไรสักอย่าง จึงไม่มาร่วมงานที่ญาติพี่น้องมากันทั้งบ้าน  เพียงแต่เปลี่ยนจากคำว่าไฟไหม้มาเป็นถูกปล้นเท่านั้นเอง

 

 อยากรู้จริง ๆ ว่ามันทำอะไรอยู่  มาลีพรก็คิดแต่มันเศร้ากว่า  เขาไม่มารับเธอกลับบ้านตามสัญญา เขามีอะไรที่เคืองเธอหรือไม่นะ ที่ไม่ทำตามที่เขาพูดหรือว่าเขาไม่พอใจและอยากจะทำอย่างอื่นแทน  เธอไม่รู้เลยว่าเขาคิดอะไร

 

 แต่ศิลารู้ดีว่ามันแย่มาก เมื่อผ่านการเจรจาแบบมั่ว ๆ กับพวกโจรกระจอกพวกนี้ไประยะหนึ่ง  ตำรวจก็มากันเพียบพร้อมนักข่าว  เขาต้องอยู่  เพราะโจรทั้งสองไม่ยอมที่เห็นตำรวจทำท่าเครียดจัดจะฆ่าเบ๊ตตี้ผู้กล้าหาญของเขาเอาง่าย ๆ  เขาไม่ใช่นักเจรจา  ไม่ใช่นักจิตวิทยา แต่เป็นเจ้าของร้านขายของชำเท่านั้น

 

 ใจเย็น ๆ น่าเพื่อนมันไม่ร้ายแรงอย่างที่คิดหรอก  เขาพยายามพูดตามที่นักเจรจาสอนกรอกหูเขาให้พูด  ไม่รู้เลยว่ามันจะยากขนาดนี้ 

 

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าเหมือนเต่าคลาน แต่ก็หลายชั่วโมงได้อย่างรวดเร็ว  จนเขาเองก็ล้าพอกับตัวประกันและเจ้าสองโจรปิดหน้าฝั่งโน้นที่ต้องจ้องตากันเขม็ง  จนเขาอยากจะตะโกนใส่ตำรวจที่จิกหลังเขาไม่เลิกว่าเขาเหนื่อยก็ต้องสะดุ้งตกใจ เมื่อหลังคาด้านหลังของเคาน์เตอร์ถูกเปิดออกอย่างกะทันหันในเสี้ยววินาที หน่อยจู่โจมบุกเข้าช่วยตัวประกันต่อหน้าต่อตาของศิลา

 

 โครม....เพล้ง.... แล้วแก๊สน้ำตาพุ่งควันกระจายไปทั่วจนแสบตา  ศิลามองอะไรแทบไม่เห็นไปขณะหนึ่ง  มีคนวิ่งกรูกันเข้ามาทั้งสองฝั่งเหมือนจากทุกสารทิศก็ไม่ปาน  มีเสียงปืนดังปังสองนัด  ศิลา ใจหายวาบ คิดถึงเบ๊ตตี้ที่ถูกเอาปืนจี้หัว

 

 เบ๊ตตี้ เขาร้องตะโกนลั่นด้วยความเป็นห่วง  พนักงานผู้ซื่อสัตย์ของตลาดไท  เมื่ออ้าปากเขาก็สำลักแก๊สกลิ่นฉุนจนไอแคร๊กน้ำตาไหล  มีคนลากเขาออกไปแม้ศิลา พยายามจะเข้าไปดูว่าเบ๊ตตี้เป็นอย่างไรบ้าง

 

 เบ๊ตตี้ ศิลาอุทานพร้อมไอไปด้วย

 

 เธอปลอดภัย ตำรวจหน่วยจู่โจมตอบกลับมา

 

 ศิลาจึงยอมเดินตามออกมาอย่างว่าง่าย มีรถพยาบาล มีรถตำรวจนับสิบ ๆ คันจอดอยู่เต็มลานจอดรถหน้าโกดังสินค้าของเขาเปิดแสงสีแดงสลับน้ำเงินวูบวับประกายสะท้อนไปทั่วราวกับเธคบาร์ดิสโก้ มีคนเอาผ้าห่มมาคุมไหล่เขาศิลาจึงรู้สึกถึงอากาศที่หนาวเย็นด้านนอกของยามดึก พวกเขาลากศิลาไปนั่งรอในรถตำรวจคันหนึ่ง

 

 รออยู่ที่นี่คุณยังต้องให้ปากคำกับเราอีกหน่อย  ตำรวจคนหนึ่งพูดเสียงขรึมแล้วก็เดินหายไปในโกดังสินค้า

 

มีคนส่งกาแฟร้อนมาให้เขาดื่มคลายเครียดหนึ่งถ้วย  พวกเขาก็เข็นเตียงล้อเลื่อนพาเบ๊ตตี้ออกมา  ศิลารีบรุดไปที่เตียงทันที  หน้ากากพลาสติกใสของการให้ออกซิเจน ทำให้ดูเธอน่าเป็นห่วงกับดวงตาที่หลับพริ้มหมดสติ

 

 เธอเป็นยังไงบ้าง ศิลาถามด้วยความเป็นห่วง

 

 เธอสบายดี บุรุษพยาบาลตอบยิ้ม ๆ เธอสบายดีไม่ได้ถูกยิงที่ไหนนะ

 

 ไม่....ไม่มีบาดแผลที่ไหนเลยกระสุนที่ถูกยิงออกำปไม่ถูกเธอมันฝังกำแพงที่ไหนสักแห่งเธอปลอดภัยดี

 

 แล้วทำไมเธอจึงหมดสติ บุรุษพยาบาลสองคนที่ยืนขนาบรถหัวเราะขึ้นพร้อมกัน

 

 โธ่เอ๊ย....เธอก็เป็นลมด้วยความโล่งอกน่ะสิ  นี่คือคำตอบ  แต่เราต้องพาเธอไปให้แพทย์ตรวจอาการเผื่อว่าเธอจะเป็นอะไรแทรกซ้อนจะได้รักษา  ศิลาพเยิดหน้าให้ทั้งโล่งอกและก็ยังติดห่วงใย

 

 แล้วอย่าลืมให้หมอเอากุญแจเซฟที่เธอกลืนเข้าไปออกด้วยนะครับ

 

 กลืนกุญแจหรือครับ  บุรุษพยาบาลทั้งสองมองหน้ากัน เธอกลืนทำไม

 

 เพื่อหยุดเจ้าพวกวายร้ายสองคนนั่นไม่ให้เอาเงินที่เธอทำหน้าที่รักษาเอาไว้ในตำแหน่งแคชเชียร์น่ะสิ จนทำให้ล่าช้าแล้วตำรวจก็มาช่วยทัน คนรอบข้างตบมือขึ้นพร้อมกัน

 

 เธอกล้าหาญมาก คนพูดกันเซ็งแซ่

 

 คุณต้องขึ้นเงินเดือนให้เธอ บุรุษพยาบาลคนเดิมพูดขึ้นเมื่อเริ่มเข็นเธอไปที่รถพยาบาล

 

 ศิลาตะโกนตามหลังไป  ผมจะให้ทั้งโบนัสแก่เธอด้วยในความกล้าหาญ  พวกเขาพาเบ๊ตตี้ ขึ้นรถพยาบาลแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว 

 

ศิลาหันกลับมาเจอเจ้าสองวายร้ายถูกคุมตัวไปขึ้นรถตำรวจอีกคันด้วยท่าทีหมดฤทธิ์  ตำรวจหลายคนเข้ามารุมล้อมอีกครั้ง  เชิญไปให้ปากคำกับพวกเราหน่อย  ไม่มีทางเลือกเขาก็ต้องไปอยู่แล้วในฐานะเจ้าของสถานที่และอยู่ร่วมในเหตุการณ์ตลอดเวลา  ศิลา ตะโกนบอกหัวหน้าคนงานให้จัดการดูแลทำความสะอาดสถานที่และปิดตลาดจริง ๆ เสียทีแทนเขา แล้วเขาก็ไปสถานีตำรวจกับตำรวจทั้งหลาย

 

เบญจา กระโดดลงจากโซฟาวิ่งไปในครัวที่ผู้ใหญ่ทั้งบ้านนั่งดื่มเครื่องดื่มร้อนกันหลังเข้ามาในบ้านได้ครู่เดียว

 

 พ่อ  แม่  ย่า....มานี่เร็วค่ะ เบญจาตะโกนแล้ววิ่งกลับไปที่ห้องนั่งเล่นที่เธอเปิดทีวีค้างเอาไว้

 

 มีข่าวพี่ศิลาที่ทีวีค่ะ  เบญจาตะโกนข้ามห้องเข้ามา  ทำให้เลิกที่คิดจะถามว่าทำไมเบญจาจึงตื่นเต้นจนลืมมารยาทไปหมดทุกคนวางถ้วยชาแล้วรีบรุดเข้าไปยังห้องนั่งเล่นทันทีราวกับเหาะได้

 

 มีข่าวว่ามีคนปล้นตลาดไทของพวกเราพี่ศิลาอยู่ในเหตุการณ์เบ๊ตตี้ คนทำบัญชีถูกจับเป็นตัวประกันหลายชั่วโมงค่ะ  เบญจาเล่าเร็วเปรื๋อ เพราะข่าวอ่านไปถึงว่าคนร้ายเป็นใครไปแล้ว

 

 ตายแล้วพวกเราไม่รู้เรื่องเลย อริสาอุทานเสียงสั่น  จักรรีบพามารดาไปที่เก้าอี้ก่อนที่จะเป็นลมไป เขาตะโกนให้ลูกสาวไปเอายาดมมาให้ไฉ่ฝ่งที่เข่าอ่อนเป็นลม

 

เบญจากลับเข้ามาเมื่อข่าวไปถึงการบรรยายการปล้น และเกิดอะไรขึ้นในระยะเวลาที่เบ๊ตตี้เป็นตัวประกันอย่างละเอียดทุกขั้นตอน  เสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้น  จักรรีบเดินไปรับเอง

 

 พี่จักรเปิดทีวี ดูสิได้ข่าวไหม เสียงฉัตรตื่นเต้นมาตามสาย

 

 พวกเราเห็นข่าวของศิลาจากทีวี..แล้ว

 

 ผมจะไปหาลูก             ฉันต้องไปไหม    จักรถามด้วยความยินดีจะไปถ้าน้องชายขอ

 

 ไม่ต้องศิลากับเบ๊ตตี้ปลอดภัยดีผมกับลินดาไปดูก็คงได้พี่จักรอยู่เป็นเพื่อนแม่จะดีกว่า

 

 มีอะไรก็โทร.มานะฉัตร         วานโทร.บอกอาคมด้วย

 

 จะให้บอกมาลีไหมว่าทำไมศิลาไม่กลับมา

 

 ผมว่าอย่าดีกว่าอาคมไปส่งก็คงจะเข้านอนแล้ว ปล่อยให้นายศิลากลับไปบอกเองจะดีกว่า จะได้ไม่ตกใจเป็นกังวล

 

 ตามใจ...ขับรถดี ๆๆ นะฉัตร จักรวางหูแล้วเล่าให้มารดากับทุกคนฟังว่าฉัตรกับเขาพูดอะไรกันก่อนโทร.ไปหาหลายชายคนโต  อาคมและไอริณยังอยู่บนถนนหลังจากส่งมาลีพรที่บ้านของศิลาได้ไม่นาน

 

 ร้ายแรงมากไหมครับ อาคมถามผ่านภรรยาที่เป็นผู้ถือโทรศัพท์

 

 ก็ไม่มีใครเป็นอะไร ตำรวจจับคนร้ายแล้วส่งเบ๊ตตี้ไปหาหมอศิลาอยู่ให้ปากคำกับตำรวจที่สถานีตำรวจ 

 

 ผมต้องไปดูศิลาไหมครับ

 

 พ่อกับแม่ของแกไปดูแล้วล่ะแกไม่ต้องไปหรอก กลับบ้านไปอยู่กับลูกสาวดีกว่า แล้วฟังข่าวพรุ่งนี้ก็แล้วกัน ลุงโทร.มาบอกให้รู้เท่านั้นเอง

 

 จะให้พวกเราไปอยู่เป็นเพื่อนมาลีไหมครับลุง

 

 ไม่ต้องเดี๋ยวจะตกใจไป...ศิลาถ้าให้ปากคำเสร็จคงอยู่ไม่นานเขาก็คงจะถึงบ้านในไม่ช้าให้เขาบอกกับหนูมาลีเองว่า เขาหายหน้าไปไหนมา

 

 งั้นผมเข้านอนเลยนะครับ                 ใช่เจอกันพรุ่งนี้         ราตรีสวัสดิ์ครับ

 

จักรวางหูไปหลังรับคำแล้วอาคมเล่าให้ภรรยาฟัง

 

 มิน่าศิลาถึงหายไปไม่ไปงานคืนนี้เจอปล้นนั่นเอง แล้วเราจะไม่บอกกับมาลีจริง ๆ หรือกลัวว่าจะเป็นห่วงที่ศิลาหายไปเฉย ๆ   อาคมหัวเราะขึ้นมาเฉย ๆ

 

 คุณขำอะไรคะ  ไอริณนิ่วหน้าให้สามีที่ยังตามองตรงไปข้างหน้าที่ขับรถบนถนนยามค่ำคืน

 

 มันเป็นปัญหาของนายศิลาที่จะต้องแก้ตัวเองว่าทำไมไม่ไปรับมาลีตามนัด

 

 แล้วมันตลกที่ตรงไหนคะ

 

 สองคนนี้น่ะปากแข็งว่าไม่อยากแต่งงานแล้วอีกคนก็ว่าอยากแต่งงานกับคนอื่น  คุณไม่สังเกตแววตาของมาลีหรือพอไม่เห็นเงานายศิลาก็หน้าจ๋อยไปเยอะเลย

 

 ก็เห็นคุยกับนายตรีออกสนุกไป

 

 ไอริณน่ะไม่ชอบหน้าตรี ตั้งแต่รู้ว่าเบญจาสนใจตรีมาหลายปีแล้วยิ่งเห็นตรีไปกะหลีกะหลอกับมาลียิ่งไม่พอใจหนัก  เอาไว้ศิลาเรื่องนี้เข้าคงมีสาเหตุไปเหยียบอกนายตรีอย่างไม่ต้องสงสัย

 

 คุณท่าจะลืมว่ามาลีมานิวยอร์กเพื่อแต่งงานกับน้องชายคุณ

 

 ผมจะไม่หึงแทนนายศิลาหรอก

 

 เขาคงไม่ต้องพึ่งคุณหรอก ถ้าอาละวาดไม่ยอมให้มาลีห่างตัวเขาขนาดนี้

 

 ยังสงสัย

 

 คุณจำไม่ได้หรือคะว่าน้องชายคุณต่อสู้กับทุกคนที่พยายามพามาลีไปจากบ้านของเขาในวันที่พวกเขาเสนอให้มาลีมาอยู่บ้านของเรา  อาคมหัวเราะฮึ....ฮึ...ในลำคอ

 

 สงสัยว่ามันรู้ตัวไหมว่ามันหวงมาลีขนาดหนัก

 

 คงไม่มั้ง เขาหัวดื้ออกอย่างนี้คงอยากที่จะยอมรับ

 

 นั่นมันยังไม่รู้นะว่ามีคนสนใจสาวน้อยของมันเป็นทิวแถว

 

 นายตรีนั่นนะ ไอริณถามสามีเสียงสูงอย่างฉงนใจ

 

 คุณไม่รู้หรอกว่ามีคนพยายามมาหาข่าวว่าผู้หญิงสวยจากเมืองไทยที่นายศิลาพาไปซื้อของวันก่อนแล้วยังพาไปที่ตลาดไทเมื่อเช้าเป็นใคร

 

 แล้วคุณว่ายังไง

 

 ผมจะว่ายังไงได้ ก็นายศิลายังไม่ยอมประกาศออกมาซะทีว่าจะแต่งงานกับมาลี ผมจะพูดแทนเขาได้ยังไง

 

 ทำไมไม่พูดว่ามาลีเป็นคู่หมั้นกันท่าคนอื่นไม่ให้สนใจมาลี  อาคมหัวเราะภรรยา  เรื่องอะไรผมจะบอกอย่างนั้นผมไม่ใช่แผนละครน้ำเน่าสักหน่อย จะได้ตอบอะไรอย่างนั้น ถ้าพวกเขาไม่โอเคกันผมก็เสียคนเท่านั้นเอง

 

 มาลีก็หลุดมือน้องชายคุณพอดี

 

ไม่มีทาง อาคมไม่ยอมรับ

 

 คุณรู้ได้ยังไงในเมื่อน้องชายคุณเจอคู่แข่งเยอะขนาดนี้มีหวังแพ้แน่

 

 นายศิลาดื้อได้ไม่นานหรอก            จริงง่ะ

 

พนันกันไหม         ฉันไม่พนัน  ไอริณไม่ยอมเล่นด้วย  แต่ฉันจะลุ้น

 

 จะลุ้นใคร     ก็ต้องลุ้นมาลี

 

ทำไม              ให้เขาตาบอดเห็นน้องชายคุณดีกว่าคนอื่นน่ะสิคะ

 

 ทำไมพูดอย่างนี้       ก็น้องชายคุณน่ารักที่ไหนขี้โมโหออกปานนั้น

 

 ก็น้องชายคุณน่ารักที่ไหนขี้โมโหออกปานนั้น        จริงด้วย  อาคมยอมรับในที่สุด

 

  ศิลา น่ะต้องโมโหอยู่แล้วกับขบวนการที่รัดกุมของตำรวจที่จะเอาผิดกับวัยรุ่นจอมโจรทั้งสอง  ซักปากคำเขานานกว่าสองชั่วโมง  ออกมาพบฉัตรและลินดามารออยู่จึงออกปากว่าให้ทั้งสองกลับบ้าน เพราะทางตำรวจอนุญาตให้เขากลับบ้านได้แล้ว  แต่พอแยกจากกันกับพ่อแม่เขาก็ตรงไปโรงพยาบาลไปดูเบ๊ตตี้เมื่อหมอยืนยันว่าเบ๊ตตี้ปลอดภัยจริง ๆ เขาจึงกลับบ้านคนเดียว

 

 ระหว่างที่นั่งมาในรถก็รู้สึกหนักอกนิด ๆ เมื่อคิดถึงมาลี พ่อแม่ของเขาบอกว่ามีคนไปส่งเธอที่บ้าน แต่ไม่มีใครบอกเธอว่าทำไมเขาจึงไปรับเธอกลับบ้านไม่ได้ตามสัญญา ศิลา รู้สึกแปลกที่ได้ยินตนเองฝึกซ้อมคำพูดกับตัวเองในรถว่าจะอธิบายอย่างไรกับเรื่องที่เกิดขึ้น  แต่เขาแคร์ความรู้สึกของเธอที่เขาไม่อาจจรักษาได้แม้จะจำเป็น

 

 เขาคิดไม่ตกจนย่องเข้าบ้านของตนเองด้วยความเกรงใจว่าจะปลุกเธอตื่นขึ้นมากลางดึก  ทั้งบ้านเงียบกริบไม่มีการเคลื่อนไหว ศิลา ลดมือที่จะเคาะประตูเรียกเธอลง มันดึกเกินกว่าที่จะปลุกเธอขึ้นมารับรู้กับเรื่องตื่นเต้นอีก พรุ่งนี้เธอก็ยังอยู่กับเขาไม่ใช่หรือ คิดแล้วเขาก็เดินเลยกลับไปยังห้องทำงานที่เขายึดเป็นห้องนอนไปซะแล้ว

 

 ศิลา อาบน้ำชำระร่างกายที่เหนื่อยด้วยน้ำอุ่นจัดแรง ๆ เขาเหนื่อยร่างกายฟ้องว่ามันถูกใช้งานอย่างตรากตรำ ด้วยการสั่งให้มันทำงานโดยไม่ได้พักนาน ๆ กับเรื่องปัญหาการปล้นทีตลาดไท  อาจจะมีอาการแพ้อาติโชกที่เขาเพิ่งออกจากโรงพยาบาลด้วยละมั้งจึงทำให้เขาอยากนอนนานสักเดือนหนึ่งเป็นอย่างน้อย คิดแล้ว ศิลาหัวเราะกับตนเอง

 

 นอนหนึ่งเดือนรึ...เขานี่คงขี้เกียจน่าดูเลยที่นอนนานขนาดนั้น เขาเอื้อมมือไปปิดก๊อกน้ำฝักบัวแล้วดึงผ้าเช็ดตัวมาเช็ดตัวเร็ว ๆ แรง ๆ เพราะอากาศเย็นโจมตีเข้ามาอย่างรวดเร็ว  ดึงกางเกงนอนมาสวมแล้วใช้ผ้าเช็ดตามเนื้อตัวไปทั่วเพื่อให้เลือดไหลเวียนได้ง่ายขึ้นเดินออกจากห้องน้ำกลับไปที่ห้องทำงาน ระหว่างที่เขาใช้ผ้าเช็ดผมให้แห้งก็สะดุ้งสุดตัว เมื่อได้ยินเสียงร้องดังมาจากห้องนอนของเขาที่ให้มาลีนอน

 

 อย่า.....อย่านะ....  เขาได้ยินถนัดหู  ว่าเป็นเสียงของเธอ ไม่ต้องรอให้ใครสั่งศิลากระโจมพรวดเดียวออกจากห้อง เขาไปยังห้องนอนด้วยความห่วงใยแต่ต้องชะงักเท้ายืนนิ่งมองไปที่เตียง เธอนอนบนเตียงที่มีผ้าห่มสีครีมพันร่างบิดจนเป็นเกลียวคล้ายถูกพันธนาการจากการดิ้นรนของเธอเอง

 

 ช่วยด้วย....อย่าฆ่าเขา...อย่านะ  ร่างของเธอบิดงอ  ราวกับต่อสู้กับความชั่วร้ายที่น่ากลัวอย่างทรมาน  ควาฝัน....ฝันร้าย...ศิลาก้าวพรวดเดียวขึ้นไปนั่งข้างเธอบนเตียงใหญ่แตะเขย่าเบา ๆ

 

 มาลี.....มาลี....ตื่น ร่างของเธอสะดุ้งงอแล้วพราวพราดลุกขึ้นราวกับถูก เข็มแทงที่กลางหลัง

 

 พี่มาลี  เธอกรีดเสียงร้องดังสุดเสียงจนเสียงนี้ดังสะท้อนกลับมาเข้าหูเธอเอง ความฝันถึงเรื่องร้ายมันทำให้ตกใจกลัวมากพออยู่แล้วนั่นยังไม่เท่าเห็นศิลานั่งมองเธอด้วยสายตางุนงง

 

 คุณศิลา เธอเรียกเขาเสียงแหบแห้ง จากลำคอที่แห้งผาก    เป็นอะไรหรือเปล่า  เขาถามเธอเบา ๆ

 

 ฉันฝันร้าย มาลีพรพูดด้วยเสียงหวาดกลัว   อยากจะเล่าไหม  เธอส่ายหน้าแล้วก็พยักหน้าด้วยความว้าวุ่นใจ  เขาต้องได้ยินแน่ที่เธอตะโกนเรียกชื่อของมาลี เพราะเธอเองยังหูลั่นด้วยเสียงของตนเองเลย

 

  ความหวาดหวั่นแล่นไปตามไขสันหลังจนเนื้อตัวเริ่มสั่นเทาอย่างระงับไม่อยู่  ตั้งแต่เกิดเรื่องเธอยังไม่มีเวลาคิดหรือแม้แต่ร้องไห้กับมันเลยสักแว็บเดียวมันยังคงเก็บอัดเอาไว้ในวิญญาณจนจิตใต้สำนึกฉวยโอกาสที่เธออ่อนแอลากมันออกมาทรมานเธอ ศิลา คิดว่าการได้ระบายเล่าความฝันร้ายออกมาจะทำให้คนเราสบายใจขึ้น  แต่เธอดูหวาดกลัวมากกว่าที่เขาคิด มันต้องเป็นความฝันที่น่ากลัวเอามาก ๆ ร่างกายบอบบางคล้ายเด็กของเธอสั่นระริกราวกับใบไม้ท่ามกลางพายุพัดลมแรง

 

 โธ่... ศิลาอุทานเมื่อได้ยินเสียงฟันของเธอกระทบกัน ช่างหัวเหตุผลทั้งหมดในโลกเขาไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว เอื้อมมือออกไปรั้งร่างเล็กบอบบางที่ยังสะท้านหนาวสั่นเข้ามากอดเต็มอ้อมแขนเขาแนบแน่นถ่ายทอดความอบอุ่นของเขาให้กับเธอ  ราวกับโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ ทั้งที่ความจริงเวลายังเคลื่อนคล้อยต่อไปไม่หยุดร่างที่เย็นชืดของเธอ ลดอาการสั่นระริกลงไปทีละน้อย ๆ จนอาการเกร็งของเธอคลายและหายไปในที่สุด

 

 มัน... เธอพูดเบา ๆ กับอกเขา  ศิลา พยักหน้ากับเส้นผมสลวยเย็นระรื่น หอมกลิ่นพฤกษาเบาบาง น่าประหลาดที่เขารู้สึกสงบตามเธอไปด้วย

 

 คุณปลอดภัยแล้ว เขากระชับอ้อมแขนมากขึ้นจนเหมือนบดร่างเธอกับอกอันเปลือยเปล่าของเขาแต่สำหรับเธอแล้วมันอบอุ่นมั่นคงความเจ็บปวดคือปราการที่ยืนยันความปลอดภัย

 

 ฉันกลัว เธอกระซิบ       ผมอยู่ที่นี่แล้วจะไม่มีวันทิ้งคุณไปไหน  เขาให้สัญญาออกไปอย่างไม่รู้ตัว ทั้งสองนิ่งไปอึดใจหนึ่งยาว ๆ

 

 วันนี้คุณไม่มารับฉันกลับบ้าน เธอต่อว่าเขาเบามาก เหมือนกระซิบ ผมขอโทษ...มีเรื่องฉุกเฉินเกิดขึ้นที่ตลาดไททำให้ผลมาหาคุณไม่ได้  แล้วเขาก็เล่าเรื่องการปล้นให้เธอฟัง

 

 ผมติดอยู่กับพวกเขาไม่อาจจะผละออกมาได้

 

 คุณไม่อยากอยู่กับพวกเขาหรือคะ    ไม่ ศิลา ส่ายหน้า ผมอยากมาหาคุณมากกว่าจริง ๆ นะ เธอเชื่อในเรื่องที่เขาพูด  คุณเครียดใช่ไหมที่ผมไม่กลับมาจึงทำให้เก็บมาฝันร้าย เขาเดาเอาเอง

 

 เธอไม่กล้าที่จะบอกความจริงกับเขาว่าเธอฝันถึงเกษมและมาลี ท่าทางอึกอักลังเลใจทำให้ศิลาโมเมเอาเองว่าเขาคิดถูกแล้ว เขาจับมือเรียวเล็กของเธอขึ้นมากุมเอาไว้

 

 ผมเล่าให้คุณฟังแล้วไงว่าผมจำเป็นอย่างไร        ฉันเข้าใจแล้วค่ะ

 

 วันหลังอย่าเครียดอีก  พูดจบเขาหาวยาว ๆ ขึ้นสองครั้งติด ๆ กัน จนน้ำตาเล็ด

 

 คุณคงเหนื่อมาก เธอพูดขึ้น  เขาพยักหน้าแล้วเอนตัวลงนอนกางแขนบนเตียงราวกับจะยืดตัวขับไล่ความเมื่อยขบตามกร้ามเนื้อทุก ๆ มัด

 

 เมื่อยไปทั้งตัว.... ศิลาพูดขึ้น แล้วเขาก็ขยับตัวคล้ายคิดขึ้นได้ว่าไม่สมควร เพราะเขายกเตียงหลังนี้กับห้องนี้ให้กับเธอไปแล้ว

 

 ผมกลับไปนอนที่ห้องทำงานดีกว่า มาลีพรแตะมือกดไหล่เขาให้นอนลงอย่างเดิม

 

 ไม่ต้องไปหรอกค่ะ  หือ  เขาปรือตานิด ๆ ทั้งที่คิดว่าน่าจะตื่นเต้นกว่านี้ที่เธอเรียกเขาเอาไว้บนเตียง  มือเรียว ๆ บีบที่ก้านคอเขาเบา ๆ

 

 ฉันจะนวดให้คุณค่ะ อยากจะบอกว่าอย่าเลยไม่ควรหรอก แต่เขากลับพยักหน้ารับทั้งที่หลับตาพริ้ม

 

ถ้าไม่รบกวนคุณเกินไป     ฉันอยากช่วยให้คุณสบายขึ้น  เธอสงสารและเห็นใจเขาคงเหนื่อยมากกร้ามเนื้อเกร็งแข็งไปทั้งร่าง

 

 สองสามวันมานี้อาจจะตั้งแต่พบเธอเขาต้องพบกับเรื่องยุ่ง ๆ ตั้งแต่ไม่สบายเข้าโรงพยาบาลทั้งที่เพิ่งกลับจากเดินทางไกลยังไม่ทันได้พักผ่อนเขาก็ต้องมาเจอกับความเครียดเรื่องการปล้นตลาดไทของเขา

 

ฮืมม์.... ศิลา ครางกับความสบายที่เธอนวดเบา ๆ กับกร้ามเนื้อที่ขากรรไกรของเขา

 

 คว่ำหน้าลงสิคะ ฉันจะนวดหลังให้คุณ เขาพลักตัวคว่ำหน้าลงอย่างว่าง่าย  เธอเอื้อมมือไปคว้าขวดโลชั่นทาผิวที่หัวเตียงของเธอมาเทใส่ฝ่ามือให้เกิดความลื่นแล้วเทมันลงผิวที่ตึงเนียนเรียบของเขา  นึกดีใจที่เขาไม่มีขนรุงรังอย่างผู้ชายที่อยู่ในเมืองหนาวจัด เธอนวดเบา ๆ เริ่มจากต้นคอด้านหลัง ช้า ๆ ไปหาไหล่

 

 ฮึ่ม...วิเศษเหลือเกิน คุณเคยทำอย่างนี้ให้ใครมาก่อนหรือ  ถามออกไปแล้วเขาก็ตัวแข็งทื่อขึ้นมวูบหนึ่ง  ความหึงหวงพุ่งเข้ามาแทงใจเขา แต่ไม่อาจจะเรียกคำถามกลับคืนมาได้ และไม่อาจจะบอกปัดไม่ให้เธอตอบเขา เพราะความระแวงกัดกินใจให้เขาอยากฟังคำตอบจากเธอ

 

 ไม่....ฉันไม่เคยทำอย่างนี้ให้ใครมาก่อน  คำตอบยืนยันของเธอลดความร้อนได้เพียงครึ่งเดียว แต่ความระแวงกับมือนุ่มที่นวดได้ชำนาญของเธอทำให้เขาอยากรู้มากขึ้น

 

แต่คุณนวดได้เหมือนมืออาชีพเลยนะ  มาลีพรหัวเราะเสียงใสกังวาลของความรื่นรมย์

 

ผมไม่ได้พูดตลกสักหน่อย    ไม่คุณไม่ได้พูดตลกแต่ฉันขำ

 

 คุณต้องมีเหตุผลนะ   คุณรู้ไหมค่ะว่า ฉันเรียนจบมาจากสาขาไหน

 

 อย่าบอกนะว่าคุณเป็นหมอกายภาพบำบัด เขาพยายามคิดในแง่ดีไว้ก่อนเผื่อเอาไว้ให้หัวใจของเขาด้วย

 

 อึ่ม...ไม่ใช่  งั้นบอกทีว่ามือที่นวดอย่างชำนาญราวกับหมอนวดอาชีพทำอะไรมา

 

 ฉันเป็นคนทำขนมปัง                  อะไรนะ  หลักสูตรแรกของนักเรียนทำเบเกอรี่คือนวดแป้งขนมปังด้วยมือจนชำนาญก่อนจะเปลี่ยนไปใช้เครื่องนวดแป้งไฟฟ้าแบบคิทชั่นเอท  คราวนี้ศิลา หัวเราะเต็มที่  เธอนวดเขาแบบนวดแป้งขนมปัง  มาลีพรทุบไปที่หลังเขาครั้งหนึ่ง

 

 นี่ไม่ตลกนะคะ  ศิลา กดใบหน้ากับหมอนหัวเราะจนหมดแรงเขาหึงขนมปังที่เธอนวดฝึกมือ

 

บอกมานะว่าคุณหัวเราะอะไร  ไม่มีทาง.....ศิลาบอกกับตัวเองเขาจะไม่มีทางบอกเธอเด็ดขาดว่าเขาหึงหวงที่เธอเคยนวดแป้งขนมปังมาก่อนไม่มีวันแน่นอน

 

 คุณคิดว่าผมเป็นแป้งขนมปังหรือเปล่า  เขารีบเปลี่ยนเรื่องเบนความสนใจของเธอ  มาลีพรเบ้ปากแล้วหัวเราะบ้างเมื่อเธอกดไหล่เขาให้นอนราบลงคว่ำหน้าอย่างเดิม

 

 ฉันจะเห็นคุณเป็นแป้งขนมปังได้ยังไงกัน

 

 ทำไมมีความแตกต่างกันอย่างไร     แป้งขนมปังมันไม่พูดเลยเวลาฉันนวดตีมันเป็นแผ่น

 

ศิลาหัวเราะด้วยความขบขัน  จริงสิมันไม่พูดแต่ผมพูดมากใช่ไหม    ใช่  เธอตอบเสียงแผ่ว และแป้งขนมปังจะปล่อยให้ฉันปั้นรูปร่างอย่างที่ฉันปรารถนาได้ แต่คุณไม่มีวันที่จะยอมให้ฉันปั้นหรือบงการคุณหรอกศิลา  เธอคิดอย่างเศร้าใจ

 

มือของเธอนวดแผ่นหลังเขาช้า ๆ ตามอย่างที่เคยดูในทีวี ที่สอนหลักการนวดแบบแผนโบราณของไทยในการคลายกร้ามเนื้อที่ปวดเมื่อย  มันสร้างความสบายให้กับกร้ามเนื้อของเขาจนเคลิ้มหลับไปอย่างง่ายดาย  มาลีพรนวดเบา ๆ ให้เขาอีกพักใหญ่จนแน่ใจว่าเขาหลับไปแล้วเธอจึงดึงผ้าห่มมากคลุมกายเขาให้

 

แม้ห้องนี้จะมีเครื่องทำความร้อน แต่ก็ไม่ได้อุ่นจนเปิดเปลือยผิวกับอากาศของห้องได้ เขานอนคว่ำหน้าท่าทางสบายกินเนื้อที่ครึ่งเตียง  แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีที่เหลือเฟือที่จะให้เธอนอนได้อีกสบาย เพราะความกว้างใหญ่มหึมาของเตียงนอน  เธอหาวสั้นครึ่งหนึ่งชักผ้าห่มมาคลุมตัวเอง  ความจริงเธอควรจะปลุกเขาให้ลุกกลับไปนอนที่ห้องทำงานของเขา แต่จิตสำนึกบอกว่าไม่ควรปลุก เพราะดูจะโหดร้ายเกินไป สำหรับสิ่งที่เขาเจอมาในวันนี้  เธอจึงปล่อยให้เขานอนต่อไป  ในขณะที่เธอเอนตัวเองนอนบนเตียงอย่างเหนื่อยล้ากาย มันดึกแล้วที่เธอไม่ควรไปไหนเหมือนกัน

 

ตอนที่  22

 เป็นครั้งแรกตั้งแต่เดินทางมาถึงนิวยอร์กที่มาลีพรหลับลึกยาวนานจนสว่าง สว่างหรือ...เธอลืมตาตื่นขึ้นทันที  ถ้ามีแสงสว่างมากพอให้รู้ว่าเช้าแล้วในนิวยอร์กแสดงว่ามันสายแล้ว  เพราะพระอาทิตย์ที่นี่จะให้แสง เมื่อสายเกือบแปดโมงเช้าเป็นอย่างเร็วที่สุดในเดือนพฤศจิกายน  มีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวที่เบื้องหลังเธอ สติเธอพุ่งไปสู่ความทรงจำที่เรียกกลับมาอย่างรวดเร็ว

 

 ศิลา..... เมื่อคืนเขาเข้ามาในห้องปลุกเธอตื่นจากฝันร้าย ทั้งสองคุยกันแล้วเธอก็นวดหลังให้เขานเขาหลับไปแล้วเธอก็ไม่ได้ย้ายตัวเองไปหาที่นอนที่อื่นกลับนอนลงบนเตียงเดียวกันกับเขา ปัญญาอ่อนแท้ ๆ เธอดุตัวเองเมื่อพลิกตัวกลับแล้วผุดลุกขึ้นนั่นบนขอบเตียง แล้วต้องผงะวูบจนผาออกจากเตียงไป เมื่อศิลาพลิกตัวกลับมาทางเธอ แล้วเขาก็ซุกหน้าแนบกับหมอนกอดผ้าห่มหลับไปอย่างเดิม ที่แท้แล้วเขาพลิกตัวไปมานั่นเองไม่ได้ตื่นขึ้นมาสักหน่อย

 

โชคดีเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้พลิกมาทับเธอระหว่างที่หลับเมื่อคืน  คิดแล้วทำให้เธอหน้าแดงวูบ.... ถ้าเขาพลิกมาทับเธอรับรองได้ว่าเธอต้องรู้สึกตัวตื่นไม่มีทางนอนยาวจนฟ้าสว่างอย่างนี้ เธอก้าวถอยห่างจากเตียงไปอีกนิดมองที่นาฬิกาที่บอกตัวเลขว่าแปดโมงเช้าแล้วจริง ๆ คิดชั่งใจอยู่อึดใจว่าควรปลุกเขาขึ้นมาหรือปล่อยให้เขานอนต่อไปอีกดีแล้วเธอก็ตัดสินใจเดินไปเข้าห้องน้ำทำธุระของตนเอง

 

เท่าที่เขาพาเธอไปดูงานของเขาธุรกิจของเขามีคนดูแลให้อย่างเรียบร้อย  เขานอนต่อไปอีกสองสามชั่วโมงของเขาก็จะไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าเขาพักผ่อนน้อยไปกว่านี้อีกสองสามชั่วโมงเขาอาจจะมีปัญหาได้  เธอไม่รู้ตนเองช่วยเขาตัดสินใจไปเหมือนช่างปั้นขนมปังที่ปั้นเขาเอง

 

มาลีพรใช้เวลาตามสบายในห้องน้ำอย่างเบา ๆ ไม่ให้เกิดเสียงรบกวน คนที่ยังหลับอยุ่ในห้อง เมื่อเธอออกมาจากห้องน้ำก็พบเตียงนอนว่างเปล่าศิลาลุกไปแล้ว  แต่ได้ยินเสียงเหมือนคนคุยกันเบา ๆ ที่ชั้นล่างอาจจะเป็นในครัวมีเสียงเครื่องใช้กระทบกันให้ได้ยิน  เธอจึงรีบแต่งตัวแล้วตามลงไปข้างล่าง

 

เขาอยู่ในครัวกับเบญจา   อรุณสวัสดิ์มาลี  ศิลาทักด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขที่ฝันดีจนถึงเช้านี้ จึงไม่ทันสังเกตอาการสะดุ้งน้อย ๆ ของมาลีพรกับชื่อที่เขาทัก เธอเสกลบเกลื่อนด้วยการพูดกับน้องสาวของเขาแทน

 

 มาแต่เช้านะคะ น้องเบน                 พ่อกับแม่ให้หนูเอาข้าวมาส่งให้ทั้งสองคน แล้วสั่งให้มาคุมตัวพี่ศิลาไปหาคุณย่าด้วยค่ะ    อ๋อ...จริงสิ...คุณย่าเป็นยังไงคะน้องเบน

 

 ตกใจไม่ยอมนอนจนอาฉัตรกับอาลินดาบอกว่าไม่เป็นอะไรจึงยอมไปนอนเมื่อคืนก็ดึกน่าดูแถมโกรธคุณพ่อด้วยที่ไม่ให้ท่านโทร.มาหาพี่ศิลาเมื่อคืน  มาลีพรอ้าปากค้าง

 

เขาจึงอธิบาย  ลุงจักรห่วงคุณอยู่คนเดียวจะตกใจสู้ให้ผมกลับมาเล่าเองจะดีกว่า

 

 อย่างนี้คุณต้องโทร. ไปหาท่านให้สบายใจก่อนนะคะ  เธอเสนอให้เขาทำด้วยความห่วงใยในตัวไฉ่ฝ่ง

 

ไม่ต้องห่วงหรอกผมโทร.ไปแล้วครับ  เขาพูดอย่างภาคภูมิใจ

 

เมื่อไหร่ค่ะ ทำไมฉันไม่เห็นเลย   ตอนที่คุณอาบน้ำอยู่นั่นล่ะ ศิลาอ้าปากหาวขั้นคำพูดไปนิดหนึ่ง

 

ผมตื่นขึ้นมาก็ได้ยินเสียงคุณอาบน้ำ...ตื่นแล้วทำไมไม่ปลุกผมด้วยจนเบญจามาเรียกประตูนั่นล่ะผมจึงลุกมาเปิดให้เขา  มีเสียงไอแบบสำลักเล็ก ๆ สองครั้ง

 

 มาลีพรหน้าแดงเหมือนถูกไฟเผาจนร้อนผ่าวด้วยความอับอาย  ตายแล้วน้องสาวเขาจะคิดยังไง ที่เขาเล่ากำกวมแบบนี้  คือว่าน้องเบน เมื่อคืนพี่กับคุณศิลาเอ่อ.... เธอไม่รู้จะเล่าอย่างไรดี

 

 พี่เมื่อยแล้วมาลีเขานวดหลังให้พี่  ศิลายื่นหน้าเขามาเล่าเอง           นวดหลัง  เบญจาร้องเธอหน้าแดงขึ้นมาไปด้วยจินตนาการของเด็กสาว

 

ไม่ใช่  มาลีพรร้องแล้วหันไปขึงตาใส่เขา    โปรดอธิบายด้วย  ศิลาอยากรู้ว่าเธออายด้วยหรือในความเข้าใจผิดของเบญจาเขามองน้องสาวลูกของลุงที่ตารุกวาบด้วยความนึกสนุกมากกว่า  ผู้หญิงเป็นพวกคิดเองเออเองเก่งอยู่แล้วนี่ ถ้าเขาจะส่งเสริมพวกเธอนิด ๆ หน่อย ๆ  เขาหันไปหาเบญจา

 

 เมื่อคืนพี่กลับมาดึกคิดว่าจะเข้านอน แต่ได้ยินเสียงมาลีเข้าไปเห็นเขาฝันร้ายก็เลยปลุกเขาขึ้นมาปลอบ  เขาเล่าเสียงเอื่อยเมื่อมาลีพรพยักหน้ารับรองคำพูดของเขา

 

เท่านั้น มาลีพรพูด   แล้วเรื่องนวด  เบญจาจำแม่นจนศิลาอยากหัวเราะ

 

 อ๋อ...รินกาแฟให้พี่อีกถ้วยสิ  เขาทำไก๋ถ่วงเวลา เบญจายกเหยือกกาแฟ เทใส่ถ้วยเขาพรวดเดียวเกือบล้น

 

เล่าต่อ       เซ็นเซอร์  ศิลาพูดหน้าตาเฉย  อะไรนะ  เบญจาร้อง

 

คุณศิลา คุณทำให้น้องเบนเข้าใจผิด  เขาหันมาขึงตาใส่เธอ   แล้วคุณจะให้ผมเล่าว่าผมนอนเตียงเดียวกันกับคุณทั้งคืนหรือ      ว้าย   มาลีพรร้องด้วยความอับอาย

 

 เบญจาเดินออกไปจากห้องเลย  ศิลาหัวเราะฮึ ๆๆ  มาลีพร ทุบที่แขนเขาครั้งหนึ่ง

 

คุณทำอะไรลงไปเบญจาอายจนหนีไปแล้ว      ก็แถว ๆ ห้องรับแขกเท่านั้น เพราะเขาต้องไปกับเราด้วย

 

 คุณจงใจพูดให้น้องสาวคุณเข้าใจผิด     ผิดที่ไหนเมื่อคืนผมนอนเตียงเดียวกันกับคุณจริง ๆ

แต่เธอไม่รู้ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น               คุณก็ตามไปบอกแกสิ

 

เขาพูดหน้าตาเฉย เพราะแน่ใจเลยว่า คนอย่างเธอไม่มีทางที่จะแก้ความเข้าใจผิดที่เขาทำไปแล้วได้หรอก  เพราะเธอเถียงใครก็ไม่เป็นอย่าว่า แต่จะอธิบายแก้ตัวได้เลย

 

 ผมจะไปอาบน้ำแล้ว   พูดแล้วเขาก็เดินออกไปหน้าตาเฉยทิ้งปัญหาเอาไว้ให้เธอ  มาลีพรตามเข้าไปหาเบญจาในห้องรับแขก

 

 น้องเบน เธอเริ่ม  เบญจาส่ายหน้านิด ๆ อย่างเด็กอเมริกันทั่วไปเมื่อเบื่อหน่าย

 

ที่นี่คืออเมริกานะคะ มีเสรีภาพในการทำได้ทุกสิ่งที่ตนเองปรารถนาเบนไม่ไร้เดียงสาจนไม่เคยได้ยินเรื่องนี้หรอกนะคะอย่างห่วงเลย

 

ไม่ใช่อย่างที่คุณศิลาพูดหรอกค่ะ        ก็พี่นอนเตียงเดียวกันหลังนวดหลังให้กันจริงไหม

 

ก็จริง แต่ว่า....คุณศิลากับพี่....            อย่าเล่า         ทำไม

 

เบนอยากจะรู้เรื่องกับผู้ชายที่เบนเลือกเองไม่อยากฟังแบบเช็คเคิลเซ็กส์จากคนอื่น  เบญจาพูดถึงการรับรสชาติของเพศสัมพันธ์จากการฟังคนอื่นเล่าแล้วทำให้ตนเองพลอยจินตนาการไปด้วยความสุขของประสบการณ์ของคนอื่น

 

มาลีพรหน้าแดง  มันไม่ใช่.....เธอพูดไม่ออก  สาวน้อยส่ายหน้า  ไม่เห็นต้องอายเลย ถ้ามั่นใจว่าตัวเองทำอะไรอยู่  ค่าของความรู้สึก อยู่ที่ความคิดของคนมากกว่าคำพูดเบญจาจะเชื่อหรือ ไม่เชื่อไม่มีความหมายอะไรเท่ากับความรู้สึกที่เบญจาไม่ได้ทำให้เธออับอายตะหากที่สำคัญ

 

น้องเบนคิดอย่างนั้นหรือ  เบญจาพยักหน้าทำให้มาลีพรพูดไม่ออก  สำหรับเบญจาแล้วเธอเริ่มสบายใจจนชอบสาวน้อยจากเมืองไทยคนนี้ได้อย่างสนิทใจ  ผู้หญิงคนนี้จะต้องมีใจให้กับศิลาอย่างไม่ต้องสงสัย ใครจะยอมนวดหลังให้กับผู้ชายที่ตนเองเกลียดเล่า

 

คุณชอบพี่ศิลาไหม     ชอบสิคะเขาใจดีให้ฉันอยู่ด้วย

 

ไม่ใช่หมายถึงรักน่ะค่ะ  เบญจาถามตรง ๆ มาลีพรสูดลมหายใจเข้าปอดแรง ๆ ครั้งหนึ่งด้วยความตกใจไม่ใช่คำถามที่ดูจะหลุ่น ๆ เกินไป แต่เป็นเพราะเบญจาถามในสิ่งที่เธอไม่กล้าคิดมาก่อน

 

คือว่า.... มาลีพรคิดไม่ออก        แค่รักหรือไม่รัก

 

มันเร็วเกินไปฉันเพิ่งเจอพี่ชายคุณไม่นาน

 

แต่พวกคุณนวดหลังให้กันและพ่อบอกว่าพวกคุณจะต้องแต่งงานกัน

 

พี่ชายของคุณไม่อยากแต่งงานกับฉัน  พูดออกไปแล้วรู้สึกเจ็บแปลบที่ทรวงอกกับความจริงที่เธอเกือบลืมไป

 

พี่ศิลาน่ะคนโง่  เบญจาพูด   ที่เขาไม่แต่งงานกันกับฉันเหรอคะ  มาลีพรหัวเราะออกมาทั้งที่เศร้าเหลือเกิน

 

เป็นเบนจะแต่งงานกับคนที่นวดหลังให้เบน 

 

ถ้าพี่ชายคุณต้องแต่งงานกับผู้หญิงที่นวดหลังให้เขาสงสัยเขาอาจจะต้องแต่งงานหลายครั้ง เพราะเดี๋ยวนี้ใคร ๆ ชอบไปสปากัน  คำพูดติดตลกตอนท้ายของมาลีพรไม่ได้ทำให้เบญจาหลุดจากความหมกมุ่น  อยู่ ๆ ก็ยิงคำถามประหลาดออกมา

 

พี่มาลีจะนวดหลังให้พี่ตรีไหม  มาลีพรอึ้งและมองสาวน้อยคนสวยอย่างระมัดระวังมากขึ้น

 

มีอะไรเกี่ยวกับคุณตรีใช่ไหม   เธอพยายามทบทวนใบหน้าของทนายความคนดังของโซโหที่เธอเพิ่งรู้จักเมื่อคืนก็จดจำไม่ค่อยได้นัก  แต่มีความทรงจำอะไรแว็บเข้ามาในสมอง  เธอหันกลับไปชี้หน้าน้องสาวของศิลา  คุณเบน

 

ทั้งสองมองสบตากันเฉย ๆ ไม่มีคำพูดจนในที่สุดมีความคิดบางอย่างที่เป็นไปได้มากแล่นเข้ามาในหัวของมาลีพร  เธอดีดนิ้วขึ้น

 

คุณตรีใช่ไหม   อยู่ ๆ เบญจาก็หน้าแดงขึ้นมาฉับพลัน

 

พี่ตรีอะไร...ก็เบนถามพี่มาลีว่าจะนวดหลังให้ไหมถ้าเป็นพี่ตรี

 

คุณเบนหึงนั่นเอง  มาลีพรร้องขึ้นอย่างนึกขึ้นมาได้  เบญจาอ้าปากค้าง  แต่มาลีพรจับมือรุ่นน้องขึ้นมาบีบเอาไว้ในมือตนเองแน่น  คุณเบนชอบคุณตรีใช่ไหม  เบญจานั่งนิ่งไม่ยอมตอบ

 

มาลีพรส่ายหน้าเมื่อพูดขึ้นว่า  คุณตรีนี่โง่จังนะ  เธอเลียนแบบคำพูดของเบญจาที่ว่าศิลาเมื่อครู่ออกมา ทำให้สาวน้อยเบญจาตาโต  มาลีพรพยักหน้ารับรองอีกครั้งในคำพูดตนเอง

 

พวกผู้ชายนี่โง่จริง ๆ เลยที่ไม่รู้ว่าใครรักเขา    พี่คิดอย่างนั้นหรือคะ  เบญจาค่อย ๆ คลายอาการเกร็งลงไปจนเกือบหมด

 

คิดว่าพี่ชอบพี่ตรีซะอีก    ไม่มากพอที่จะคิดอย่างอื่นแล้วยิ่งตอนนี้  อาจจะชอบน้อยลงที่เขาไม่สนใจคุณเบนที่แสนดีของพี่  แม้จะไม่ค่อยเชื่อว่ามาลีพรพูดจริง ๆ คิดว่าพูดเอาใจ แต่อดไม่ได้ตามประสาสตรีที่มักเข้าข้างตนเองและชอบให้คนอื่นเข้าตัวด้วย

 

เขาสนใจพี่  เบญจาเปิดเผยความคิดในใจ

 

ไม่มีประโยชน์ เพราะพี่สนใจเรื่องอื่นมากกว่า ที่เมื่อคืนเราคุยกันก็ เพราะอยากรู้เรื่องกฏหมายเท่านั้น  เบญจาเชื่อ เพราะเธอรู้แล้วว่าใครคือคนที่มาลีสนใจ  มาลีพรโอบไหล่สาวน้อยเบญจาอย่างสนิทสนม

 

ไปกินข้าวเช้ากันเถอะ ป่านนี้พี่ชายของคุณจวนลงมาแล้ว  ทั้งสองจูงมือกันเข้าไปในครัวอีกครั้ง  ศิลาลงมาก็พบสองสาวคุยกันอย่างสนุกสนานและสนิทสนมจนเขาต้องทำตาเป็นคำถามกับสองสาว                          

มีอะไรเกิดขึ้นใช่ไหมตอนที่ผมไปอาบน้ำแต่งตัว  สองสาวมองหน้ากันแล้วโพล่งออกมาพร้อมกัน

 

เซ็นเซอร์  ศิลาบิดคอที่ถูกจัดการความสงสัยของเขาด้วยคำพูดเดียวกับที่เขาใช่กับเบญจาเมื่อครู่ก่อนเขาไปอาบน้ำที่เบญจาถามเขาเรื่องเมื่อคืน

 

สงสัยว่าจะมีการรวมตัวกันเพื่อกอบกู้อะไรสักอย่างแถว ๆ นี้หรือเปล่า  ศิลาถามยิ้ม ๆ

 

เป็นความลับ ของผู้หญิงที่ใครรู้ไม่ได้  เบญจาเชิดหน้าให้เขา  เขาหันไปยิ้มให้กับมาลีพร

 

หวังว่าคุณคงไม่มีความลับกับผมเหมือนน้องเบนนะ  มาลีพรสะดุ้งในใจ  เธอมีความลับมากมายที่ไม่อาจเปิดเผยแก่เขาได้

 

เล่นไม่แฟร์ เบญจาร้อง พี่บังคับพี่มาลีอย่างนี่ไม่ได้นะ  เพราะพวกเราจับมือกัน

 

โอ้โฮ๋......ผู้หญิงจับมือกันน่ากลัวเหลือเกินว่าพวกเธอจะโค่นโลก  ศิลาหยอกล้อเบญจาอย่างนึกสนุก

 

มาลีพรเลี่ยงไปหยิบชามออกมาจากตู้  เธอไม่อยากให้พวกเขาสังเกตเห็นว่าเธอมือสั่นในการจัดเตรียมอาหารเช้าให้ทั้งสองรับประทาน ไม่มีใครรู้ว่าเธอเป็นใคร พวกเขาจะไม่รู้เธอไม่มีวันที่จะบอกความลับกับพวกเขาเด็ดขาด  กลัวว่าจะไม่มีใครเชื่อเธอว่ามีความจำเป็นต้องปลอมและสวมรอยมาเป็นเจ้าสาวไกลถึงอเมริกา

 

    ร้านน้ำชารอบเช้าของถนนสายสามสิบสองแน่นขนัดไปด้วยคอน้ำชาผู้พิศมัยติ่มซำแบบกวางตุ้งแท้กับพายขนมไข่เป็นอาหารเช้าจะไม่พลาดที่นี่  ครอบครัวของไฉ่ฝ่งมีโต๊ะของตนเองที่มุมดีที่สุดสามารถมองออกไปเห็นถนนข้างนอกได้ถนัด  วันนี้พวกเขาก็มาที่นี่กันเกือบจะพร้อมหน้าทั้งครอบครัว  ไฉ่ฝ่งนั่งล้อมด้วยลูกทั้งสองคนกับลูกสะใภ้ทั้งคู่

 

จักรหยิบของนึ่งสองสามอย่างจากรถเข็นของนึ่งที่สาวน้อยในชุดกี่เผ้าสีแดงเข็นมาเทียบข้างโต๊ะเลื่อนไปวางตรงหน้ามารดาอย่างเอาใจ  ลองกินตามังกรสักคู่หนึ่งหน่อยสิครับแม่  ไฉ่ฝ่งเมินหน้านิดหนึ่ง

 

ฉันกินไปหลายอย่างแล้ว    สงสัยแม่จะไม่ชอบตามังกรของพี่  ฉัตรตั้งข้อสังเกต  ไฉ่ฝ่งหันไปมองลูกชายคนรองเขม็ง

 

ทำไมฉันจะต้องชอบไอ้มังกรตาเหล่นี่ด้วย  จักรนิ่วหน้ากับคำพูดเสียงดังของมาดา

 

มันแค่กุ้งห่อสาหร่ายนึ่งเท่านั้นเองครับแม่  ฉัตรชะโงกหน้าไปมองเข่งไม้ไผ่ที่วางถ้วยใบน้อยใส่ของนึ่งภายใน

 

มันตาเหล่จริง ๆ ด้วยพี่จักร ถั่วลันเตาที่เขาเอาแปะเอาไว้ต่างลูกนัยน์ตามันเบี้ยวไปไม่ตรงข้างในที่ใส่กุ้งที่มันใช้สาหร่ายห่อเอาไว้แทนตามังกร  ไฉ่ฝ่งขึงตาใส่ฉัตร

 

ไม่ต้องมาทำตลกเลย ลูกชายของแกนะทำไมยังไม่โผล่หน้ามาสักที  ฉัตรไม่ได้หน้าจ๋อย

 

อาคมต้องไปดูงานยังไม่ว่างมาหรอกครับ         แกรู้ว่าฉันพูดถึงใคร

 

ผมให้เบนไปตามแล้วครับแม่  จักรต้องรีบบอกมารดาเพื่อเอาใจ    ทำไมยังไม่มา

 

รถอาจจะติด  เพราะพวกเขาอยู่อีกฟากของแม่น้ำนะคะ  ลินดาช่วยพูดอีกคน  อริสาบิดคอคล้ายเมื่อยออกความเห็นด้วยความรำคาญ

 

ความจริงทำไมพวกเราไม่กินกันที่ร้านของพวกเราสาขาที่ใกล้บ้านที่สุดล่ะคะคุณแม่ ป่านนี้ศิลาคงพามาลีมาถึงแล้วถ้าเป็นที่นั่น  หลายคนอาจจะชินกับนิสัยพูดจาขวานผ่าซากของอริสา  แต่ไฉ่ฝ่งไม่ชอบหันไปหาลูกชายคนโต

 

เมียแกเป็นคนปากไม่ดีเหมือนเคยนะ  อริสาหน้าบึ้งที่ถูกตำหนิไม่ไว้หน้า  ลินดาพยายามเข้าช่วยพี่สะใภ้  คุณแม่อย่าไปถือพี่อริสาเลยนะคะ ความจริงแกก็พูดอะไรอย่างที่คิดเท่านั้นไม่ได้คิดร้ายอะไรหรอกค่ะ

 

นั่นสิครับแม่ทำไมพวกเราต้องมากินน้ำชาร้านนี้ด้วยในเมื่อพวกเราก็มีร้านของพวกเราเองที่หรูกว่าด้วยถึงห้าร้าน  ฉัตรก็สงสัยเช่นกัน

 

เพราะที่นี่ถูกดี  ไฉ่ฝ่งตอบหน้าตาเฉย  ไม่มีใครเชื่อสักคน      แค่นั้น  จักรถาม  ยังไม่ทันที่มารดาของเขาจะตอบก็มีคนเข้ามาทักทายพวกเขา

 

สวัสดีทุก ๆ คน  ฉัตรแอบเบ้หน้า เพราะเห็นจี๋จิงฉวนและภรรยา

 

สวัสดีอาฉวน  ไฉ่ฝ่งทัก   โชคดีที่มาเจอกันวันนี้  จี๋จิงฉวนพูดกับทุกคน

 

มีที่นั่งหรือยัง  ไฉ่ฝ่งถาม    นั่งกับพวกเราสิ  ยังไม่ทันที่จักรและฉัตรจะคิดออกว่าจะไล่จิง ฉวน และภรรยายังไงทั้งสองก็รับคำแล้วเลื่อนเก้าอี้ลงนั่งกับครอบครัวนี้เลย

 

น้ำชา  จิง ฉวน เรียกพนักงานที่ปาดเข้ามาใกล้  ตั้งแต่เห็นทั้งสองร่วมวงกับโต๊ะใหญ่นี้แล้ว

 

บังเอิญจังที่มาเจอกัน  จักรพูดขึ้นมาอย่างสนเท่ห์   จิง ฉวนรินน้ำชาให้ภรรยาและตนเอง  นั่นสิ  ร้านนี้ผมกับครบอครัวมาประจำคิดไม่ถึงเลยว่าจะมาเจอพวกคุณที่นี่  จักรและฉัตรมองหน้ากันก่อนหันไปมองมารดาของตนเองเขม็งคราวนี้พวกเขารู้แล้วว่า ทำไมไฉ่ฝ่งจึงเลือกร้านน้ำชาร้านนี้  มารดาของพวกเขานัด จี๋ จิง ฉวน และภรรยาโดยไม่ปรึกษาพวกเขาก่อนและยังเรียกให้ศิลาและมาลีมาที่นี่ด้วย  พวกเขาไม่รู้ว่ามารดามีแผนอะไรกันแน่  จักรยกนาฬิกาข้อมือของเขาขึ้นดูเวลา

 

ผมคงต้อง.... เขาคิดหาทางหนีไปจากเรื่องนี้  ฉัตรเองก็คิดจะไปดักลูกชายไม่ให้เข้ามาที่นี่  นั่งลง ไฉ่ฝ่ง โบกมือให้ลูกชายอย่างรู้ทัน  ทั้งสองจึงจำใจนั่งลงที่เดิม

 

ให้ผมได้เกียรติเลี้ยงน้ำชาครอบครัวของคุณน้า ไฉ่ฝ่ง สักมื้อนะครับ  จี๋ จิงฉวน พูดอย่างมากพิธี

 

ได้สิ  จิง ฉวน      ผมคิดว่า.... จักรพยายามจะหาทางปฏิเสธ  ไฉ่ฝ่งเมินหน้าออกไปนอกร้านแล้วพูดขึ้นลอย ๆ      พวกเขามากันแล้ว  ทุกคนจึงมองตามสายตาของไฉ่ฝ่ง  ออกไปนอกร้าน  ศิลาเดินคู่มากับมาลีและเบญจา  ผ่านหน้าต่างกระจกร้านไปที่ประตู  ภรรยาของจิงฉวนดูจะตื่นเต้นกว่าคนอื่นจนต้องลุกขึ้นยืน

 

ช่างเป็นเด็กสาวที่สวยอะไรเช่นนี้     นั่งลงก่อนใจเย็น ๆ คุณ จิง ฉวน บอกภรรยาทั้งที่ตัวเขาเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้ภรรยาตั้งแต่เช้าที่เขาโทร. หาไฉ่ฝ่งแล้วได้รับการตอบรับให้มาดื่มน้ำชาด้วยกันกับครอบครัวของไฉ่ฝ่ง

 

จักรและฉัตรสีหน้าไม่ค่อยดี ในขณะที่ภรรยาของพวกเขาหน้าเสียไปเลย  มันน่าจะมีใครสอน จิงฉวนและเมียของมันนะว่าอย่ามายุ่งกับคนของพวกเขา จักรคิดอย่างโกรธ ๆ ....อยากจะไล่ทั้งสองให้ไปหาผู้หญิงที่จะให้ลูกชายของตัวเอาเองไม่ใช่เที่ยวมองหาเอาจากบ้านของคนอื่น  ไม่ใช่ว่าเขาไม่กล้าไล่พวกเขาปัญหาคือไฉ่ฝ่ง เรียกพวกเขามา  เขาสงสัยมารดาจะเล่นอะไรกันแน่ที่ทำเช่นนี้

 

ถ้าพลาดพวกเขาจะสูญเสียเด็กสาวที่พวกเขาหมายหมั้นปั้นมือให้ศิลาไปแน่  ศิลาเพียงแต่ประหลาดใจว่ามีคนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัวของพวกเขามาร่วมดื่มน้ำชาวันนี้ด้วย

 

สวัสดีครับลุงฉวน  ศิลาทักตามมารยาทที่อ่อนอาวุโสกว่าต้องทักทายผู้ที่แก่อาวุโสกว่าต้องทักทายผู้ที่แก่อาวุโสกว่าตามธรรมเนียม  เบญจาทักทายพ่อแม่ของตรีด้วยจิตใจไม่ปรกติหวาดนิด ๆ ในเรื่องที่เธอคาดเดาไปต่าง ๆ นานากับสายตาที่พวกเขามองมาลีไม่คาดสายตาเลย  คนโง่เท่านั้นที่ไม่รู้ว่าสองสามีภรรยาคู่นี้จับจ้องแต่มาลีผู้เดียว  ไฉ่ฝ่งพยักหน้าให้กับมาลี

 

มาลีมารู้จักคุณลุงฉวนกับภรรยาสินี่คือคุณนาจี๋  มาลีพรยกมือขึ้นไหว้ตามความเคยชินที่ติดตัวมาจากเมืองไทย   สวัสดีค่ะ คุณลุง คุณป้า

 

เราเจอกันที่งานศพเมื่อคืนไง  แต่ไม่มีใครแนะนำให้พวกเรารู้จักกัน  จิง ฉวนทบทวนความทรงจำให้กับเธอด้วยความปลื้มใจที่ได้รับไหว้  มาลีพรจำได้ว่าเห็นเขาในงานเมื่อคืน

 

ค่ะ  ศิลามองด้วยความพิศวงใจพ่อแม่และลุงป้าสะใภ้อขงเขามีสีหน้าตูมราวกับโกรธใครมาสักร้อยปีไม่รับแขกสักนิด  เขาเลื่อนเก้าอีก้ให้มาลีนั่งข้างย่าไฉ่ฝ่ง ตามคำสั่งแล้วเขาถูกไล่ให้ไปนั่งถัดไปอีกสองที่  มีอะไร....ที่เขาไม่รู้ที่งานศพพ่ออาหล่าน  แล้วมันก็มีผลมาถึงวันนี้ด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย

 

ตอนที่ 24

 

ตลอดเวลา เกือบสองชั่วโมงที่พวกเขานั่งอยู่ที่ร้านน้ำชายามเช้าจนกระทั่งร้านปิด เวลาใกล้เที่ยง  ศิลาจับสังเกตได้ว่า  จี๋ จิงฉวนสนใจมาลีเป็นพิเศษจนออกนอกหน้า ซักถามถึงชีวิตอายุ ความชื่นชอบในสิ่งต่าง ๆ ละเอียดยิบ  ราวกับนายทะเบียนซักประวัติประชากร  ทั้งที่ปกติพวกเขาน่าจะตื่นเต้นกับเรื่องการปล้นตลาดไทเมื่อวานนี้ที่เขาอยู่ในเหตุการณ์ด้วย มันผิดสังเกตที่พวกเขาไม่ถามถึงด้วยซ้ำไป  แม้จักรและฉัตรจะพยายามช่วยเปลี่ยนหัวข้อเรื่องให้หลายครั้งแต่ว่าจี๋ จิงฉวนไม่สนใจ  และย่าไฉ่ฝ่ง นั่งมองเขาตาเขม็ง ไม่กะพริบตา นาน ๆ ราวประเมินอะไรบางอย่างอยู่ในใจเงียบ ๆ จนกระทั่งพนักงานเก็บเงิน กลับมายื่นบัตรเครดิตคืนให้กับจี๋ จิง ฉวน พวกเขาลุกขึ้นมาตามมารยาท

 

ขอบคุณมากที่เลี้ยงน้ำชา  จักรกัดฟันพูดกับจี๋ จิง ฉวน   เป็นเรื่องควร  จี๋ จิง ฉวนตอบรับ

 

พวกเราไปส่งคุณย่ากันหน่อย ภรรยาของจี๋ จิง ฉวนเสนอ  ไม่ต้องเกรงใจ ฉัตรรีบพูด  พวกเราแยกกันตรงนี้ดีกว่าผมจะพาแม่กลับบ้านเลย   จี๋ จิง ฉวนและภรรยาจึงจำใจกลับ แต่ก่อนไปไม่ลืมที่จะกำชับกับมาลีว่า  หนูต้องหาเวลาว่างไปเที่ยวบ้านของลุงกับป้าบ้างนะจ๊ะ

 

ค่ะ มาลีพรรับคำตามมารยาท  เมื่อทั้งสองไปลับตาแล้วครอบครัวนี้จึงเคลื่อนตัว  เตรียมตัวออกไปบ้าง  พวกเราจะไม่มีวันไปบ้านของ จิง ฉวนเด็ดขาด  จักรประกาศขึ้นเมื่อพวกเขาเดินไปถึงที่ลานจอดรถ

 

ทำไม ไฉ่ฝ่ง  ถามลูกชายด้วยแววตาประหลาด  คราวนี้จักรหมดความอดทนกับมารดา  คุณแม่คิดอะไร ที่เรียกบ้านนั้นมากินน้ำชากับเรา    เพราะว่าเขาสนใจมาลีเขาทาบทามมาลีให้กับนายตรี

 

แม่พูดว่ายังไงนะ  จักรและคนอื่น ๆ อุทานคำคล้ายอย่างนี้ลั่น  มาลีตัวสั่นไปด้วยความคิดไม่ถึง เธอหันไปมองเบญจาที่เบ้หน้าด้วยความรังเกียจ

 

ฉันไม่รู้เรื่องนะ  มาลีพรรีบพูด     หนูจะไปรู้เรื่องนี้ได้ยังไง เพราะพวกเขาติดต่อมาเมื่อเช้า ไฉ่ฝ่งตอบคำโดยไม่รู้ว่า มาลีพรต้องการให้เบญจาเข้าใจเธอมากกว่านี้  เบญจาโบกมือสุดปัญญาจะช่วยเหลือ

 

นี่มันเรื่องอะไรกัน  ศิลาแผดเสียงลั่นด้วยความโกรธ  มีใครอธิบายได้ไหมว่า นี่มันเรื่องอะไรกัน  ย่าไฉ่ฝ่งใช้นิ้วชี้จิ้มที่ไหล่หลานชายคนโปรด  อยากรู้เรื่องอะไร ฉันบอกได้อยู่แล้ว  เพราะแกบอกกับทุกคนว่า จะไม่แต่งงานกับมาลี ฉันก็ต้องทำหน้าที่ผู้ใหญ่ที่ดีน่ะสิแกลืมแล้วหรือว่ามาลีมานิวยอร์กด้วยเหตุผลอะไร เราจะต้องจัดการทุกอย่างให้ถูกต้อง

 

ป่าเถื่อนน่ะสิ  ศิลาตะโกน  เขาน่ะหน้ามืดไปแล้ว ที่จับมาลีแต่งงานกับนายตรีนะ...คุณยังไม่เคยเห็นเขาด้วยซ้ำไป    เราเจอกันแล้วเมื่อคืนนี้ที่งานศพ เธอพูดความจริง

 

อะไรนะ ศิลาอุทานอย่างไม่เชื่อหูตนเอง แล้วหันไปมองทุกคนรอบตัวก่อนร้องเสียงดังอีกครั้ง

 

มีอะไรที่ผมไม่รู้อีกไหม  จักรพยักหน้า  มีเพื่อนของแกอีกสองคนติดต่อเข้ามาว่าสนใจ อยากจะมาเยี่ยมและกินน้ำชากับครอบครัวของเรา  ต้องเป็นกมลและวรภพแหง....ศิลาคิดด้วยความแค้นใจ  ขอให้น้ำชาบ้า ๆ พวกนี้ลงนรกไปเถอะเขาสาปแช่งในใจ

 

ย่าไฉ่ฝ่งมองหลานชายที่มีสีหน้าหงุดหงิดโกรธแค้นด้วยความสะใจ  เราไม่ได้จับให้มาลีแต่งงานกับใครมั่ว ๆ อย่างที่แกพูดหรอก ไฉ่ฝ่งพูดกับหลานชายด้วยความใจเย็น

 

ดูเหมือนทุกคนจะรู้กฏกติกามารยาทดีว่าเวลานี้เราทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองของมาลีทุกคนเดินตามกฏและดีจะตายไปที่มีคนเต็มใจเยอะแยะขนาดนี้มาให้เลือก  ศิลาหน้าง้ำจนเกือบดำ

 

เราจะค่อย ๆ ดูไปเลือกไปจนกว่าคนไหนที่มาลีชอบเราจึงจะจัดการให้อย่างนี้แกว่าพวกเรามั่ว ๆ หรือไม่หรอกนะ พวกเราใส่ใจสุด ๆ เลย  ทุกคนอ้าปากค้างกับคำตอบของประมุขของครอบครัว  ในที่สุด ไฉ่ฝ่งจิ้มนิ้วเข้าที่หน้าผากหลานชาย

 

สำหรับแก....ฉันไม่เห็นว่าแกมีส่วนที่ควรมาอยู่ที่นี่กับพวกเราที่ตรงไหน  

 

หมายความว่ายังไงครับ  เขาชักโมโหเดือดขึ้นมาที่ถูกนับออก  แกหมดสิทธิ์ตั้งแต่แกพูดว่าไม่แต่งงานกับมาลี      ผมมีสิทธิ์แน่        ตรงไหนวะ  จักรกับฉัตรถามขึ้นเป็นเสียงเดียว

 

ศิลาหันไปแยกเขี้ยวใส่พ่อกับลุงของเขา  ผมสัญญาว่าจะช่วยมาลีคิด

 

จริงหรือ  ไฉ่ฝ่งหันไปถามมาลีพร  แม้ความจริงไม่มีเรื่องอย่างนี้เธอก็รีบพยักหน้ารับ  เพราะเธออยากให้เขาช่วยเธอคิดจริง ๆ  ศิลาสูดลมหายใจเข้าปอดมากขึ้นกว่าเดิมหลังจากกลั้นลมหายใจเอาไว้กลัวว่าเธอจะพูดความจริงว่าเขาไม่เคยตกลงอะไรกับเธออย่างนี้มากก่อนนอกจากไล่เธอไปจากบ้านของเขา

 

งั้นก็ว่ามาจะเอายังไงกับเรื่องนี้  ย่าไฉ่ฝ่งถามอย่างใจนักเลง  ศิลามองใบหน้าที่ซีดสลับแดงของมาลีด้วยความเจ็บปวดใจ เขารู้เธออับอายที่ผู้คนพูดถึงเรื่องของเธอราวกับเธอไม่ได้อยู่ที่นี่  ถ้าจะทบทวนความผิดเขาก็มีส่วนในความผิดครั้งนี้ด้วย  การปฏิเสธเธอก็เหมือนโยนเธอเข้ามาในความยุ่งยากเรื่องนี้จริง ๆ เขาน่าจะคิดไได้ก่อนที่จะโพล่งออกไปจนคนอื่นรู้หมดว่าเขาไม่เต็มใจที่จะแต่งงานกับเธอก่อนได้คิดวิธีป้องกันการเกิดเหตุอย่างนี้ขึ้น  เขารวบมอืเธอเข้ามาบีบให้กำลังใจ  เมื่อเขาประกาศต่อหน้าคนในครอบครัวของเขา  ถ้าคุณย่าจะให้มาลีเลือกใครผมจะอยู่ช่วยคิดด้วย  ทุกคนเห็นด้วยอย่างที่เก็บซ่อนแววหัวเราะของแต่ละคนเอาไว้ได้อย่างมิดชิดไม่หลุดออกมาสักแอ๊กเดียว

 

ก็ได้ถ้าจะเอาอย่างนั้น  ย่าไฉ่ฝ่งยอมรับง่าย ๆ   เราจะเลือกผู้ชายจากรายชื่อที่เราเตรียมเอาไว้ได้เลยแล้วให้มาลีเลือกทีละคนโดนที่แกอยู่ด้วยพอใจไหม  เขามองซีกแก้มที่ก้มหน้าด้วยความอับอายของเธอด้วยความสงสาร  แล้วสูดลมหายใจเข้าปอดแรง ๆ

 

เราจะเริ่มที่ไหนดี  จักรถามเสียงเรียบพยายามกลืนเสียงหัวเราะเข้าไว้ในอก  หลานชายของเขาไม่รู้ตัวเองหรอกว่าสีหน้าของมันฉายแววแพ้แล้วเต็มหน้า  ดูจากศิลาเอื้ออาทรต่อความรู้สึกของมาลีอย่างนี้ คงทนได้อีกไม่นานกับแรงกดดันที่ไฉ่ฝ่งสร้างขึ้น  มารดาของจักรรู้ดีว่าหลานชายของตนเองเป็นคนชนิดใดจึงเดินแผนอย่างนี้

 

เราจะไม่พูดกันที่ข้างถนนอย่างนี้  ศิลาแผดเสียงลั่นอีกตามเคยเขารู้ว่าเธออับอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนีแล้ว  ก็ได้จะไปไหนดีล่ะ  ฉัตรชักสนุกกับสีหน้าโมโหเต่าของลูกชาย

 

ไปบ้านของแกสิ  ไฉ่ฝ่งเสนออย่างใจกว้าง  สถานที่จะได้ไม่ทำให้พวกแกอึดอัดใจ  ดีทุกคนเห็นพ้องต้องกันเตรียมที่จะแยกย้ายกันขึ้นรถขับตามกันไป  เบญจารีบขอตัว

 

หนูคงไม่ตามไปที่บ้านพี่ศิลา  เพราะหนูจะต้องไปเก็บของที่บ้านนั้นกลับไปนอนหอพรุ่งนี้หนูมีเรียนเช้าค่ะ 

 

ต้องให้พ่อไปส่งไหม  จักรถาม     ไม่ต้องค่ะหนูไปเองได้  มาลีพรสะบัดมือของศิลาออกเธอเดินไปหาเบญจาแล้วลากให้สาวน้อยไปห่างจากผู้คนพูดให้ได้ยินเพียงสองคนเท่านั้น 

 

ฉันอยากจะบอกกับคุณว่าวางใจเถอะฉันจะไม่เลือกคุณตรีหรอก  เบญจายิ้มน้อย ๆ ขอบคุณค่ะพี่มาลี

 

การดื่มน้ำชาวันนี้ไม่มีผลอะไรต่อฉันทั้งสิ้น  มาลีพรพยายามจะอธิบายด้วยความร้อนใจ  เบญจาตบหลังมือของมาลีพรเบา ๆ   ไม่ต้องห่วงเบนหรอกค่ะ เรื่องพี่ตรีน่ะกลายเป็นเรื่องเล็กไปแล้ว เพราะย่ากับผู้ใหญ่ของเราทั้งบ้านจะให้พี่เลือกคนที่จะแต่งงานด้วยนั่นล่ะปัญหาใหญ่

 

มีคำแนะนำไหมค่ะ มาลีพร พยายามจะยิ้มแต่ลำบากเหลือเกิน  มือนุ่ม ๆ ของเบญจาแตะแก้มของมาลีพรเบา ๆ  อย่าเลือกใคร             อะไรนะ

 

เพราะจะซ้ำกับที่พี่เลือกไปแล้ว             นั่นแปลว่าอะไร  เบญจาไม่ตอบ แต่หมุนไหล่เธอให้หันกลับไปหากลุ่มผู้รอคอยที่จะเริ่มสงสัยการซุบซิบของทั้งสอง

 

เบนไปล่ะนะคะทุกคน  เบญจารีบผละไปอย่างรวดเร็ว  มาลีพรเดินกลับมาหาศิลาด้วยความรู้สึกคล้ายคนหลงทาง  เมื่อเห็นสีหน้าของเธอแล้วทำให้เขาใจหายห่วงใยลืมหมดว่ายังมีคนอื่นยืนมองอยู่รอบตัวพวกเขา ศิลาคว้ามือเธอมาบีบให้กำลังใจ

 

ผมจะอยู่กับคุณด้วย ไม่ต้องกลัวนะเราจะผ่านมันไปได้ด้วยดี  มันเป็นคำปลอบโยนที่ให้กำลังใจแก่เธอ แต่มันทำให้คนฟังเศร้าใจอย่างประหลาด  เธอพยายามกล้ำกลืนน้ำตาเอาไว้อย่างสุดความสามารถ มันทำให้เขาเข้าใจผิด

 

อย่าร้องไห้ ผมจะช่วยคุณจริง ๆ ก่อน พรุ่งนี้คุณจะได้ชื่อผู้ชายที่เหมาะสมกับคุณเพื่อแต่งงานมาลี  เขารับปากกับเธอด้วยความเจ็บปวดในอก ที่ไม่มีคำอธิบายว่าทำไม  เธอพยักหน้าให้กับเขาอย่างแกน ๆ เราจะไปบ้านแกวันนี้ไหมศิลา  ฉัตรร้องถามลูกชาย เขาเห็นเหมือนอย่างทุกคนนั่นล่ะว่าสองคนนี้มีเยื่อใยต่อกัน

 

สิ่งที่จะปรานีต่อคู่นี้ก็คือลงมือให้มันจบไปซะลูกชายหัวดื้อของเขาจะได้เลิกทรมานตัวเองและผู้หญิงที่มันรักเสียที  ศิลาหันไปมองฉัตรด้วยสายตาขุ่นนิด ๆ  ก็ไปวันนี้สิครับไปกันเถอะ  ขบวนผู้คัดสรรเจ้าบ่าวจากใบรายชื่อของจิ๋นกูก็ออกเดินทางไปที่บ้านของศิลา  ที่พวกเขาเลือกเป็นสถานที่จัดการกับเรื่องนี้ 

 

ตอนที่ 25

 

ไฉ่ฝ่ง สำรวจไปทั่วห้องรับแขกแล้ววิจารณ์ตรง ๆ แกย้ายเข้ามาที่บ้านนี้เป็นปีแล้ว ทำได้แค่นี้เองหรือหลานชาย

 

ศิลา นิ่วหน้า  ผมอยู่คนเดียวและผมใช้เครื่องใช้บ้านนี้น้อยมาก

 

แกกำลังบอกพวกเราหรือว่า แกไม่เคยพาใครมาอยู่ที่นี่ด้วย  ไฉ่ฝ่งเลิกคิ้วถามหลานชายด้วยสีหน้าที่นิ่งสนิทมีจุดแดง ๆ ขึ้นที่โหนกแก้มของเขาแล้วลามไปทั่วจนถึงใบหู  มาลีพรไม่รู้ว่าเป็น เพราะความเขินหรือโกรธ  จักรและฉัตรที่พาภรรยาเดินตามไฉ่ฝ่งเข้ามาทีหลังพเยิดหน้าให้กับภรรยาของตนเองทั้งคู่  พวกคุณอยากจะอยู่ด้วยกับพวกเราที่นี่ในระหว่างที่พวกเราปรึกษากันเรื่องของมาลีไหม

 

จักรถามเป็นเชิงให้ปฏิเสธมากกว่าให้ตอบรับ  ทั้งสองจึงรีบส่ายหน้าพร้อมกัน ลินดาชี้มือไปที่ห้องครัวด้านหลัง  พวกเราไปหาอะไรมาให้พวกเราดื่มจะดีกว่า

 

อริสายักไหล่แล้วเดินตามลินดาออกไป  มาลีพรขยับตัวจะรามทั้งสองไปด้วย  ฉัตรเรียกเอาไว้  ถ้าหนูไม่อยู่ด้วยแล้ว ใครจะเป็นคนเลือกพวกเขาล่ะ  เธอจึงพยักหน้ารับอย่างไม่เป็นสุขนัก

 

นั่งลงสิพวกเราจะพูดเรื่องการแต่งงานของมาลีกัน ไฉ่ฝ่งพูดแล้วเดินไปนั่งที่โซฟาก่อน  ศิลาลากมือมาลีไปนั่งเก้าอี้โซฟาเล็กที่นั่งได้สองคนอีกข้าง โดยไม่ใส่ใจที่ย่าของเขาจะตบเบาะข้างตัวเป็นเชิงให้เธอไปนั่งข้างด้วย  ไฉ่ฝ่งบิดปาก แต่ก็ไม่คัดค้านการกระทำของหลานชายอารมณ์บูดคนนี้  จักรและฉัตรจึงไปนั่งเก้าอี้ฟากตรงข้ามกับลูกชายและมาลีเพื่อสังเกตสีหน้าได้ถนัดที่สุด

 

ร่างกายที่ใหญ่โตของศิลา ทำให้เก้าอี้นั่งคู่ ดูเล็กไปถนัดใจและยิ่งเขานั่งกินเนื้อที่ไปกว่าครึ่งทำให้ต้นขาเขาเบียดกับมาลี เกือบคล้ายเกยกลาย ๆ  มีเก้าอี้ตัวอื่นว่างอยู่นะศิลา  จักรพูดขึ้นลอย ๆ

 

ไปนั่งที่อื่นสิ  ฉัตรเสริมอีกคน  ศิลามองทั้งสองหน้าตาเฉย ผมนั่งที่นี่สบายดีแล้ว

 

แต่แกกำลังเบียดมาลีอยู่นะ ไฉ่ฝ่งพูดขึ้นอีกคน  เขาก็ไม่สนใจคงปล่อยตัวตามสบาย แม้มาลีพรจะขยับตัวอย่างอึดอัด  เพราะมีคำท้วงจากคนรอบข้างเขาหันไปเอ็ดเธอเสียงขรึม  เลิกนั่งยุกยิกเสียทีมีมารยาทหน่อยสิ  คนอื่นเลิกคิ้วมองตากันวูบหนึ่งที่เห็นมาลีเชื่อฟังศิลาคือนั่งนิ่งทันที

 

สองคนเข้ากันได้ดีไหม  ฉัตรถามขึ้นคล้ายชวนคุย  เมื่อสองหนุ่มสาวหันไปมองเขาฉัตรจึงอธิบายต่อ  พ่อหมายถึงระหว่างที่พวกเราเอามาลีมาฝากที่บ้านของแกไงมีปัญหาเรื่องการ กินอยู่หรือเปล่า

 

ไม่  ทั้งสองตอบเสียงเดียวกัน  คุณศิลายกห้องนอนให้หนูค่ะคุณลุงแล้วเธอไปนอนที่ห้องทำงานแทน      นับว่าเป็นสุภาพบุรุษมากนะ จักรชมเปราะ  หนูชอบบ้านของเขาไหม

 

ชอบค่ะ  เธอตอบประสาซื่อ    หนูอยากจะย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ไหม  ไฉ่ฝ่งถามบ้าง  ศิลานิ่วหน้าให้กับไฉ่ฝ่งพูดเสียงดังเกินจำเป็น      ตอนนี้เธออยู่บ้านนี้แล้ว

 

แต่หนูคิดว่าคุณศิลาอยากให้หนูย้ายออกไปค่ะ  มาลีพรรีบชิ่งพูดความจริงด้วยสีหน้าสับสน เธอพยายามหาทางช่วยศิลาอยู่

 

มันออกจะเป็นการรบกวนคุณศิลาที่จะให้เขามาดูแลหนูนะคะหนูรู้ว่าวันนี้ศิลาหงุดหงิดมาก  เธอสังเกตเขาออกหรอกน่า  นั่นมากจากความกระวนกระวายใจในเรื่องนี้ ที่จะบอกให้หนูย้ายกลับไปอยู่กับพวกคุณที่บ้านนั้น  ศิลาจับไหล่ให้เธอหันกลับไปมองหน้าเขาตรง ๆ

 

ผมไม่ได้กระวนกระวายแม้จะโมโหจริง ๆ คุณไม่รู้หรอกว่าผม....   ฉันกำลังจะช่วยคุณอยู่นะ

 

เรื่องอะไร ศิลาถามเสียงห้วน     ฉันจะย้ายกลับไปอยู่กับพ่อแม่ของคุณที่บ้านคุณย่า

 

ผมไม่ได้ไล่คุณ       แต่ฉันต้องรู้จักว่าตัวเองควรทำอะไร        ผมไม่ให้คุณไป  ทั้งสองเถียงกันต่อหน้าพยานสามคนอย่างลืมไปว่าไม่ได้อยู่กันตามลำพัง

 

มีอะไรที่ขัดแย้งกันเหรอ จักรขัดคอขึ้น  ศิลาหันหน้ากลับมามองลุงเขาพูดอย่างเป็นงานเป็นการ  ผมไม่คิดว่าเป็นความคิดที่ดี  ที่จะให้เธอย้ายไปอยู่ที่ไหนมันน่าเกลียดจริงไหมลุงจักรการย้ายไปย้ายมาคนอื่นจะดูเธอสิ้นไร้ไม้ตอกและจะนินทาพวกเราแน่  ผู้ใหญ่ทั้งสามอยากจะบอกกับไอ้หนุ่มจอมดื้อของพวกเขาว่าไม่มีอะไรน่าเกลียดกว่านี้แล้วที่ทั้งสองยื้อกันอยู่อย่างนี้โดยไม่ยอมให้มาลีย้ายออกจากบ้านของศิลา  มาลีจิ้มไหล่ศิลาแรง ๆ ด้วยปลายนิ้ว

 

คุณไม่ควรพูดให้ผู้ใหญ่เป็นกังวลเรื่องนี้  ศิลาหน้าบึ้งใส่เธอ  พวกเขาควรกังวลถ้าจะต้องรับผิดชอบกับการดูแลคุณต้องเข้าใจว่ามีผลดีหรือเสียหายต่อคุณยังไง  ฉัตรอยากจะหัวเราะให้กับเหตุผลประหลาดดูพิกล ๆ ของลูกชาย  ขณะที่จักรกัดฟันแน่น ที่จะไม่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา  หลานชายของเขามันอยากจะเอาชนะคนอื่นด้วยเหตุผลที่คิดขึ้นมายังไงก็ได้  แต่มันก็มีผลว่ามันหวงนางสาวมาลีของพวกเขาอยู่ดีนั่นล่ะ

 

ฉันว่าคงไม่มีใครตำหนิพวกเราเรื่องนี้หรอก  จักรพูดขึ้นเขาอยากจะหาจุดเดือดของหลานชายอีกสักหน่อยให้มันเต้นเหมือนเจ้าเข้าเลยยิ่งสนุก  จำได้ไหม อาทิตย์ที่แล้วพวกเราไม่สบายกันทั้งบ้านเลยเอามาลีมาฝากแกหลังการเลือกเจ้าบ่าวให้หนูมาลีเรียบร้อยแล้วเราจะพามาลีกลับไปอยู่บ้านของเรา

 

ใช่ผู้หญิงโสดไม่ควรอยู่บ้านเดียวกับชายโสดผู้คนจะนินทา  ฉัตรสนับสนุน  ศิลาอยากจะเตือนพ่อเขาว่าทำไมไม่คิดเสียเมื่ออาทิตย์ก่อน   แต่พ่อก็ส่งมาลีมาอยู่บ้านผมหลายวันแล้วนะครับ

 

ไม่เป็นหรอก  ไฉ่ฝ่งช่วยอีกแรง  เพราะพวกเราป่วยกันทั้งบ้านผู้คนจะยอมเข้าใจเรื่องนี้เองล่ะ  ศิลาอยากจะเกาหัวตัวเอง ทั้งที่มันไม่ได้มีอาการคันสักนิด  ดูเหมือนทุกคนจะพร้อมใจกันรุมเขา  จักรหันไปถามน้องชายตนเอง  ฉัตรแกได้ยินใครนินทาว่าร้ายพวกเราเรื่องนี้ไหม  ก่อนที่ฉัตรจะตอบศิลาแทรกขึ้นกลาง

 

ลุงครับเรื่องซุบซิบนินทาว่าร้ายมันไม่สำคัญเท่ากับว่าพวกเราควรให้ใครมาบงการว่าเราควรจะทำอะไรนะครับ           แกคิดอย่างงั้นหรือ  จักรยังอยากจะเล่นต่อ  แต่ไฉ่ฝ่งโบกมือ  ช่างหัวคนอื่นสิ....พอได้แล้วเรื่องนี้จะต้องยุติซะที  ย่ามีความเห็นว่ามาลีควรจะรีบแต่งงานโดยเร็วที่สุดนั่นจะทำให้เรื่องนินทาพวกนี้ยุติลงได้

 

ใช่เราเกือบลืมแล้วว่าพวกเรามาบ้านแกทำไม  ฉัตรพูดขึ้นอย่างนึกขึ้นได้  จริงด้วย  จักรเห็นด้วยอย่างยิ่งจนทำให้ศิลาโมโหเดือด  ไฉ่ฝ่งชี้มือขึ้นต่อหน้ามาลี

 

มาลีจิ๋นกูเอากระดาษรายชื่อคนที่พวกเขาคิดขึ้นมาให้หนูไว้ไม่ใช่หรือ   ค่ะหนูยังเก็บเอาไว้ค่ะ  มาลีรีบค้นกระเป๋าถือข้างกายเธอ ดึงกระดาษรายชื่อที่จิ๋นกูให้เอาไว้ออกมา  ศิลาคว้ากระชากไปจากมือเธอแล้วโยนทิ้งไปที่พื้นราวกับมันเป็นงูพิษ  พูดเสียงรังเกียจมันอย่างที่สุด

 

คุณยังเก็บไอ้รายชื่อบ้า ๆ นี่เอาไว้กับตัวอีกหรือ

 

มันบ้ายังไง  ไฉ่ฝ่งขึงตาให้หลานชาย  นี่เป็นรายชื่อคนดี ๆ ทั้งนั้นเท่าที่ฉันคิดได้ ว่ามีอยู่ในนิวยอร์กเลยนะยะ  ศิลาพูดไม่ออกไปอึดใจหนึ่งยาว ๆ   จักรพเยิดหน้าแล้วลุกไปหยิบกระดาษรายชื่อขึ้นมาจากพื้นห้อง  จุดประสงค์การประชุมกันวันนี้คือเลือกสามีสักคนจากรายชื่อพวกนี้ไม่ใช่หรือไง

 

งั้นเราควรเริ่มได้แล้วนะ  ฉัตรพูดขึ้น  เพราะเราอาจจะกินเวลานานมากกว่าจะตัดสินใจได้  มาลีพยักหน้าไม่กล้ามองไปยังข้างกาย เพราะสีหน้าที่บึ้งตึงของเขาทำให้เธอไม่สบายใจ  เขาสัญญาว่าจะช่วยอย่างน้อยก็ควรรีบเพื่อเธอจะได้ไม่เป็นภาระของเขาอีกต่อไปเขาควรยินดียิ้มชักนิดให้เธอโล่งใจ  เธออยากโล่งใจ.....มาลีพรคิดด้วยความเศร้าสร้อย  ศิลาเห็นมือเธอสั่นระริก...เขารู้ว่าเธอเกลียดเรื่องนี้อย่างมาก  อาจจะมากพอกับเขาที่เกลียดการที่ต้องมาช่วยเธอนั่งคัดสรรผู้ชายคนอื่นให้แต่งงานกับเธอ  จักรกวาดสายตามองไปบนรายชื่อที่ถูกเขียนเอาไว้สิบกว่าชื่อ

 

เราควรจะเริ่มได้แล้วนะ  ไฉ่ฝ่งเตือนอย่างหมดความอดทน   เริ่มเลยพี่จักร  ฉัตรสนับสนุน  จักรอ่านรายชื่อด้วยสายตาแล้วมองไปยังศิลาเขม็ง  ชื่อแรกคือนายศิลา

 

ค่ะ...  มาลีพรพยักหน้านิดเดียวก่อนจะพูดต่อไป  โปรดสังเกตว่ามีเส้นปากกาลากผ่านขีดฆ่าชื่อของเขาออกเราจะไม่นับเขา  แต่จักรวางกระดาษลงบนตักพักเอาไว้  ทำไม...ศิลาเป็นคนบอกให้หนูขีดชื่อของเขาออกจากรายการหรือ        ผมไม่ได้ทำนะ  ศิลาโวย  มาลีพรหันไปขึงตาให้เขา

 

ฉันทำด้วยความหวังดีนะก็คุณไม่อยากแต่งงานกับฉันจำไม่ได้หรือ    ฉันเขียนชื่อของนายศิลาเป็นชื่อแรก  เพราะคิดว่าพวกเขาจะเหมาะสม ไฉ่ฝ่งพูดแทรกขึ้น  เวลานี้ฉันรู้แล้วว่ามันเป็นเรื่องผิดพลาดพวกแกไม่เหมาะสมกัน     คุณย่าสรุปได้ยังไงว่าพวกเราไม่เหมาะสมกัน  ศิลาตะโกนเสียงดังอย่างลืมตัว  ไฉ่ฝ่งยักไหล่เรียนแบบที่เห็นจากวัยรุ่นอเมริกันทำกันเกร่อ

 

ทุกคนก็มองสิว่า มันชัดเจนแค่ไหน  คนที่เหมาะสมกันพวกเขาจะสมพงศ์กันทุกเรื่องจะน่ายินดีดูแกสิหน้าบึ้งอย่างกับใครขโมยของแกไปจนหมดร้านตลาดไทของแกแล้ว แม่หนูที่น่าสงสารของฉันก็กลัวแกจนตัวสั่งพวกแกเข้ากันไม่ได้เห็นชัดไหม      ใช่ความเหมาะสมคือปัจจัยสำคัญของการแต่งงาน จักรเห็นด้วยความเข้มแข็ง   แต่ว่า  ฉัตรติงนิดหนึ่ง ก่อนหันไปหามาลีพร  ถ้าศิลายอมแต่งงานกับหนูอย่างที่เขามีชื่อเป็นคนแรกหนูจะยอมรับเขาไหม  เธอส่ายหน้าดิก

 

เขาปฏิเสธไปเรียบร้อยแล้วค่ะ ถือว่าผ่านไปแล้วเรื่องนี้เราจะยุติ  เธอก็เด็ดเดี่ยวได้เหมือนกัน  แสดงว่าแกถูกคัดชื่อออก เพราะตัวแกบอกปัดเองนะศิลา  จักรแจ้งแก่หลานชายอย่างมีมาดของกรรมการกติกา  ศิลากัดฟันพูดลอดไรฟันออกมา

 

แต่ผมก็ยังมีสิทธิ์ที่จะช่วยคัดสรรคนที่เหมาะสมให้เธออยู่อย่างเดิม  ทุกคนยักไหล่ยกเว้นมาลีพร

 

ก็ไม่แปลกที่แกจะเลื่อนตัวเองขึ้นมาเป็นกรรมการ แทนที่ผู้สมัคร เพราะแกเองก็ไม่อยากแต่งงานอยู่แล้วนี่  ไฉ่ฝ่งพูดอย่างหมางเมิน  จักรพเยิดหน้าให้ทุกคน  ถือว่าชื่อแรกของรายการผ่าน

 

อ่านรายชื่อของคนต่อไป  ฉัตรเร่งอย่างนึกสนุกกับสีหน้าที่เข้มข้นของลูกชาย   นายกมล  จักรอ่านเสียงดัง  ศิลาส่ายหน้าทันที     แปลว่าอะไร   ฉัตรถาม     เขาขี้เหล้า  ศิลากอดอกพูดเสียงลั่นห้อง  เขาเป็นขี้เหล้า  กินเหล้าทั้งวันจนเป็นขวดเหล้าเดินได้  ศิลายืนยันกับทุกคน  เขาเป็นอย่างนั้นหรือค่ะ มาลีหน้าแหย

 

วันนั้นที่เจอเขาที่ร้านขายเสื้อผ้าเขายังพูดจาดี ๆ   เขารีบแทรกขึ้นก่อนที่เธอจะชมว่านายกมลดูดีให้แสลงใจเขา  วันนั้นมันคงกำลังจะเริ่มถ้าคุณอยู่ต่ออีกหน่อยจะได้เห็นเขากอดขวดเหล้าเดินแน่  จักรและฉัตรกลั้นหัวเราะเกือบไม่อยู่  เมื่อไฉ่ฝ่งขมวดคิ้วสีเทาด้วยความเคร่งขรึม

 

ถ้าเขาขี้เหล้าเราจะไม่ให้มาลีแต่งงานกับคนอย่างนี้คัดชื่อกมลออกไป  จักรขีดชื่อกมลออกตามคำสั่งของมารดาอย่างรื่นเริง  คนต่อไป  ฉัตรสนุกสุดเหลี่ยงซะแล้วกับเรื่องนี้  ไอ้ลูกชายหัวดื้อทำได้แก๋ไม่หยอกกับเรื่องนี้ใคร ๆ ในไชน่าทาวน์ก็รู้กันทั้งนั้นว่ากมลเป็นลูกกตัญญูถ้ามารดาของพวกเขาออกจากบ้านบ่อย ๆ กว่านี้จะได้ข่าวไม่ยอมเชื่อศิลาง่ายอย่างนี้หรอก

 

วรภพ  จักรอ่านชื่อที่สาม  ศิลาส่ายหน้าทันทีอีกครั้ง  คราวนี้มันเป็นอะไรอีกล่ะ ฉัตรถามด้วยความลำบากใจที่จะกลืนเสียงหัวเราะเข้าไว้ในอก  เขาเป็นเสือผู้หญิง  ศิลาตอบเสียงขรึมจริงจังที่สุด  ไม่ดีไม่ดี  ไฉ่ฝ่งรีบพูด  เราจะไม่เลือกคนเจ้าชู้ให้กับมาลีเราต้องหาคนที่ซื่อสัตย์และรักเดียวใจเดียว

 

คนนอกใจเราไม่เอา  จักรพูดเมื่อบรรจงลากเส้นขีดฆ่าชื่อของวรภพออกไป   สามคนไปแล้ว  ฉัตรงึมงำอย่างมีความสุข  คนที่สี่โจอี้ลูกชายบ้านหลินยู  จักรอ่านชื่อรายต่อไป  ศิลาตีหน้าดุเดือดขึ้นมา เขาไม่ดี     ย่าว่าเขาเป็นอ่อนโยนน่ารักดีในบรรดาหนุ่ม ๆ แถวโซโหนะ  คราวนี้ไฉ่ฝ่งรับรองเอง

 

ศิลาตีสีหน้าเคร่งขรึมที่สุด  เขาหรือเป็นคนอ่อนโยนคุณย่าคงไม่รู้ว่าโจอี้มีชื่อที่สุดในหมู่คนชอบหาความสุขกับความเจ็บปวดของผู้อื่นเวลาเขามีเซ็กส์  ตายจริงเขาเป็นพวกซาดิสต์เหรอ  ไฉ่ฝ่งอุทานด้วยความตกใจ  ความสุขอย่างซาดิสต์เหรอ  ฉัตรพูดแล้วไออย่างแรงติด ๆ กันเป็นชุด  จักรรู้ดีว่าน้องชายหัวเราะระเบิดออกมาอย่างห้ามไม่อยู่  แต่ปิดบังไว้ด้วยการแกล้งทำเป็นไอ  โธ่เอ๋ย.....ใคร ๆ ก็รู้กันทั้งนั้นว่าลูกชายบ้านหลินหยูน่ะธรรมะธรรมโม จะตายไปอย่าว่าจะตีใครให้เจ็บด้วยอารมณ์ซาดิสต์เลยขนาดเห็นนกตายังเอาไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลเพื่อไม่ให้มันเป็นผีนกจรจัด

 

คุณพระช่วยฉันต้องมองคนดี ๆ กว่านี้แล้ว  ไฉ่ฝ่งร้องอย่างหวาดกลัว  ไม่เอาไม่เอานะตัดชื่อนายโจอี้ออกไปเร็ว ๆ         ครับแม่  จักรรับคำอย่างเข้มแข็งแล้วขีดชื่อของโจอี้ออกไปอีกคน

 

ต่อไปเคนลูกบ้านตระกูลฉี   คนนี้น่าสนใจ  ฉัตรถูมือคาดหวังว่าจะมีมุกเด็ดที่ลูกชายของเขาจะงัดขึ้นมาใช้อีก    ฉันก็เคยเจอเขานะหมอนี่ไม่มีที่ติหาเงินเก่งหล่อรวยเป็นหมอที่กำลังอนาคตรุ่งของโรงพยาบาลเอกชน  แต่งกับเขามีหวัง....แกส่ายหัวทำไมศิลา  จักรถามตอนท้าย เพราะเขาคาดอยู่แล้วว่าจะเห็นศิลาส่ายหน้า

 

ใช่แล้วเคนมีอะไรไม่ดีตรงไหน  ฉัตรถามอย่างสะใจ  ศิลาเกือบถอนใจ แต่เขาจะไม่ทำมันต่อหน้าพ่อกับลุงมีไฉ่ฝ่งอยู่ด้วยได้เห็นไม่เช่นนั้นจะเสียความน่าเชื่อถือกับคำแนะนำ  เขาขาโก่ง  ศิลาโพล่งออกไปเท่าที่จะคิดออกในเวลานี้  ขาโก่งรึ  จักรทวนคำตอบเป็นคำถาม

 

เอ....อันนี้ฉันไม่ทันสังเกตนะพี่จักร  ฉัตรยอมรับอย่างเคร่งขรึมที่สุดก่อนหันไปหาคนกล่าวหาว่าเคนขาโก่ง แกเป็นเพื่อนของเขาย่อมต้องรู้ว่าเขาขาโก่งแหง   แล้วขาโก่งมัน...มีผลอะไรกับเรื่องนี้ด้วย ไฉ่ฝ่งถามเสียงลังเลใจ    มีสิครับ ศิลายืนยันเสียงแข็งอีกครั้ง    มันเป็นกรรมพันธุ์นะครับ ถ้าเราไม่อยากให้มาลีมีลูกขาโก่ง  คราวนี้มาลีส่ายหน้าเองบ้าง  ฉันไม่อยากมีลูกขาโก่ง

 

งั้นเอาชื่อเขาออกไป  ไฉ่ฝ่งสั่งทันที  จากนั้นเหมือนนรกแตกในความรู้สึกของมาลี แต่มันสนุกสุด ๆ สำหรับจักรและฉัตรที่ผลัดกันตั้งคำถาม เมื่อศิลาส่ายหน้าให้กับรายชื่อของหนุ่มในรายชื่อของย่าไฉ่ฝ่งทุกคน  แจ๊ค  ตระกละ....โรเบล ....ขี้เหนียว....อเล็กซ์....ขี้หึง......โจอี้....วิตถาร.....วรภพ....บ้าตัณหา....กมล....ขี้เหล้า....ไคร์.....ละโมย....  จักรทวนชื่อหนุ่ม ๆ และข้อเสียที่ศิลายกขึ้นมาหักล้าง  ความน่าเชื่อถือของแต่ละคนจนหมดอีกเที่ยว

 

รวมถึง  นายเคนที่ขาโก่งด้วย   จักรเลิกคิ้วให้หลานชาย  ฉันคิดว่าแกใช้บาปทั้งเจ็ดไปหมดแล้วนะรวมถึงผลกรรมพันธุ์ไม่เหลือให้นายได้ใช้อีกแล้วนะ  สำหรับผู้อยู่ในรายชื่อคนต่อไป  ศิลาตีหน้ายักษ์ใส่จักร   ลุงจะพูดอะไรกันแน่         ฉันคิดว่าแกไม่ชอบผู้ชายพวกนี้สักคน

 

แหงอยู่แล้ว  ศิลายอมรับ    พวกเขาไม่ดีพอที่จะให้ความสุขแก่มาลีสักคน  ตอแหลไม่เลิก.....จักรคิด....มันอยากจะแต่งงานกับมาลีจนตัวสั่น แต่ดันตกที่นั่งต้องเป็นคนตัดสินใจให้มาลีเลือกใครสักคนที่ไม่ใช่ตัวมัน  ไม่รู้ว่ามันจะดื้อไปหาสวรรค์วิมานอะไร  มาลีพร  หน้าขาวเผือดคล้ายจับไข้  เรื่องนี้มันทรมานเธอน่าดู   มันแย่มากใช่ไหมค่ะ  เธอถามศิลาเสียงสั่น

 

ใช่  เขาโกหกอีกหนอย่างไม่จำกัดความบาปอีกแล้ว  เขาโอบไหล่ของเธอที่คู้เข้าหากันอย่างหดหู่ใจ  คนอื่นมองภาพนั้นแล้วอยากหัวเราะที่ทั้งสองไม่รู้ตัวเลยว่าเปิดเผยท่าทีของตนจนเหมือนเปลือยวิญญาณเลยว่าพวกเขาหันหน้าเข้าหากันเหมือนคู่รักปรับทุกข์ให้แก่กัน  ฉัตรชะโงกหน้าข้ามไหล่พี่ชายมองดูลายชื่อที่ยังเหลืออยู่

 

อย่าเพิ่งหมดหวังมาลียังเหลืออยู่อีกคนหนึ่งในรายชื่อ  ศิลาหันกลับมาขึงตาให้พ่อตัวเอง  ใคร

 

นายตรีไง  จักรโชว์กระดาษให้ดูเป็นพยาน  ยิ่งกว่าโยนระเบิดใส่หน้าศิลา  นายตรีนั่นนะรหรือเขา ศิลาพยายามคิดเหตุผลขึ้นมาอ้างให้ไม่ซ้ำเหตุผล...เดิม  มาลีส่ายหน้า  ตัดชื่อเขาออกไปค่ะ คุณลุง  ศิลาอ้าปากหวอค้าง  คนอื่น ๆ เองก็ฉงน เพราะนี่คือคนแรกที่เธอแสดงความเจตจำนงก่อนที่ศิลาจะพูดความด้อยของหนุ่มคนนี้ออกมา

 

หนูเคยเจอเขาเมื่อคืนไม่ใช่หรือ  จักรถาม   หนูไม่ชอบเขาที่ตรงไหน  ฉัตรถามอีกคน  มาลีพร กัดริมฝีปากคิดเรื่องจริงผสมโกหกขึ้นมาอย่างด่วนจี๋  เขาเป็นคนสุดท้ายในรายชื่อ 

 

นั่นสิมันมีอะไรที่ตรงนั้น  ไฉ่ฝ่งถามขึ้นอย่างสนใจ  หนูไม่อยากให้ใคร ๆ พูดได้ว่าหนูเด็ดดอกไม้ท้ายสวนตาม สุภาษิตว่าเขาเป็นคนที่หนูคว้า เพราะหมดรายชื่อแล้วถ้าไม่เลือกจะไม่มีใครอีกแล้ว

 

อ๋อ....  ทุกคนร้องแสดงความเข้าใจ  แต่ไม่มีใครเชื่อเลยสักคน  ไฉ่ฝ่งทุบมือกับฝ่ามือตนเองอย่างเจ็บใจ    ไม่มีใครดีสักคนเดียว ใช้ไม่ได้เลย   สีหน้าของมาลีพรใกล้จะระเบิดน้ำตาออกมาเต็มทนแล้ว  มาลีคุณอยากได้อะไร  ศิลาถามเธอด้วยเสียงที่อ่อนโยน  เธอบิดมือตัวเองจึงรู้ว่าเขากุมมือเธอเอาไว้  อยากจะบอกกับเขาว่าเธอเกลียดที่จะต้องมาเลือกชื่อของคนที่ไม่รู้จัก เพื่อแต่งงานกับเธอ  ความจริงอย่างที่สุด  เธอปรารถนาให้ตนเองได้แต่งงานกับผู้ชายที่รักเธอและเธอต้องการชีวิตแต่งงานที่เปี่ยมด้วยความรักเหมือนพ่อกับแม่

 

แต่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้  เพราะเธอต้องการสถานภาพเพื่อหลบความผิดจากเมืองไทยให้ได้อาศัยอยู่ในอเมริกาไม่มีเวลาหรือโอกาสให้เธอได้ดูใจใครสักคน  เธอถึงทางตันแล้วหรือ  ฉันอยากเป็นแม่ชี  เธอหลุดปากออกไปในที่สุด    แม่ชีที่โกนหัวจนล้านอย่างนั้นหรือ  ศิลามองผมดำสนิทจนเงาวาววาม แสนสวยด้วยความเสียดาย

 

ไม่ใช่....ฉันอยากเป็นแม่ชีแบบที่พวกคุณเรียกว่าซิสเตอร์นั่นล่ะ  แต่คุณแม่อธิการไม่อนุญาตให้ฉันเป็น  เธอน่ะร้องไห้แหง ๆ อยู่แล้วกับน้ำตาที่คลอเต็มตาจึงไม่มีใครกล้าหัวเราะ  แล้วทำไมแม่อธิการไม่ยอมให้คุณเป็นเล่า  ศิลาพยายามหาข้อมูลเผื่อเขาจะได้ใช้มันห้ามเธออีกแรง  ฉันไม่ใช่แคธอลิก  มาลีพรอธิบายทั้งน้ำตามที่เริ่มซึมออกมาชื้น ๆ ตา  มันเป็นข้อกำหนดบังคับสำคัญในการเป็นแม่ชีแบบนั้น  ทุกคนเบิกตาไม่กล้าหัวเราะ เพราะคิดว่ามันคงทำร้ายจิตใจของมาลีอย่างแรง

 

คุณจะไม่มีทางมีความสุขกับการเป็นแม่ชี  ศิลาทำนายให้เธอ  จักรเรียกมามลีให้หันไปมอง  มาลี...ทำไมหนูไม่ตามป้าอริสกับป้าลินดาไปหาอะไรดื้มสักแก้ว บางทีหนูอาจจะคิดอะไรออกก็ได้     ดีเหมือนกันค่ะ  มาลีพรลุกขึ้นอย่างว่าง่าย  ปล่อยเรื่องนี้เอาไว้ให้ศิลาช่วยหนูดีกว่าไหม  จักรเสนอ  เธอหันไปมองศิลาด้วยสายตาแวววามด้วยหยาดน้ำตา จริงหรือคะ   เขาจึงพยักหน้าให้เธอ  เราจะตัดสินใจได้เมื่อคุณกลับเข้ามาอีกครั้ง  มาลีจึงยอมเดินออกไปจากห้องรับแขกไปหาอริสาและลินดาที่อยู่กันเงียบ ๆ ในครัว  ศิลาเอนกายลงพิงพนักเก้าอี้คล้ายหมดแรงเมื่อมาลีเดินไปลับตา

 

เรื่องนี้ทรมานเธอเป็นบ้าแน่ ๆ ในไม่ช้า    ฉันจะหาคนกลุ่มใหม่มาให้มาลีเลือก  ไฉ่ฝ่งประกาศ  จักรและฉัตร ยกมือขึ้นพร้อมกัน  อย่านะครับแม่  ทั้งสองคิดเหมือนกันว่าศิลาลำบากแน่ที่จะหาทางมาตั้งข้อรังเกียจหนุ่ม ๆพวกนั้น

 

ทำไม  ไฉ่ฝ่งหน้าเคร่ง   ในเมื่อมันแค่เริ่มต้นเท่านั้นเอง  ถ้าเมืองนี้หมดแล้ว  เราอาจจะให้จิ๋นกูไปหาที่ชิคาโกมาให้เราสักกลุ่มหนึ่งถ้าเราจะเอาพวกแคริฟอร์เนียก็ยังไหวถ้าทำให้มาลีเลือกขึ้นมาได้สักคน  ศิลาตีหน้าเคร่งเครียด มีคนที่ให้เธอเลือกอีกมากมายขนาดนั้นจริง ๆ ด้วย เพราะเครือข่ายแม่สื่อคนจีนมีอยู่ทั่วโลกด้วยซ้ำไป

 

พอทีเถอะครับ  ศิลาพูดเสียงดังลั่น อย่างหมดความอดทน  ไฉ่ฝ่งเลิกคิ้วถามหลานชาย  แกมีปัญหาใช่ไหม  ศิลา นายถอนตัวจากเรื่อนี้เถอะ  ฉัตรแทงดาบให้ทะลุใจลูกชาย  ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของย่าแกกับจิ๋นกู  จักรสรุปให้คล้ายช่วยแก้ปัญหาอย่างเหมือนเห็นใจที่สุด  พวกเขาจะหาผู้ชายที่ดีมาแต่งงานกับมาลีได้ในที่สุด  ศิลารู้สึกคล้ายเขาหายใจไม่ออกกำแพงทั้งหมดบีบเข้าหาเขารอบด้าน  สายตาทุกคนจ้องมองมายังเขาท้าทายให้เขายอมรับประตูที่พวกเขาเปิดให้อิสรภาพแก่เขาเต็มที่  เขารู้ว่าตัวเองพ่ายแพ้ในที่สุด  ที่ไม่อาจเดินออกไปจากเรื่องนี้ เพราะเขารู้ดีว่าถ้าเขาเผลอหันหลังให้กับเธอเพียงแว้บเดียวเธอจะหลุดลอยไปจากเขาชั่วชีวิต  เขาทำไม่ได้..... เสียงเขาถอยหายใจที่บอกให้ทุกคนรู้ว่าเกมจบแล้ว เมื่อเขาพูดออกมาในที่สุด  ผมจะแต่งงานกับมาลีครับ

 

ตอนที่ 27

 

ผมขอเป็นคนบอกเรื่องนี้กับมาลีด้วยตัวเอง  ศิลาประกาศกับทุกคนที่ยังแสดงความยินดีด้วยการตีอกและถอนใจอย่างโล่งอก    งั้นเราจะไม่พูดรอจนเราไปที่โต๊ะฉลองกันคืนนี้ที่ร้านของพวกเรา  จักรเสนอความคิด  ไม่....นั่นช้าไป  ศิลาไม่เห็นด้วย

 

ผมจะไปบอกเธอเดี๋ยวนี้      มาลีคงโล่งใจ  ฉัตรออกความเห็นอีกคน 

 

มันอาจทำให้เธอตกใจมากกว่า  ศิลาพูดตามประสบการณ์ที่เขาได้อยู่ใกล้ชิดเธอมาหลายวัน  ผมต้องการพูด เป็นการส่วนตัว   แกได้ตามที่ขอ  ฉัตรให้คำขอทันที   งั้นแกไปพูดกับเขาในครัวสิ  ไฉ่ฝ่งไล่หลานชาย  เรียกแม่กับป้าของแกกลับมาหาฉันที่นี่  ศิลาไม่รอให้ไฉ่ฝ่งเตือนเป็นครั้งที่สองเขาก้าวยาวสองก้าวก็ไปพ้นห้องรับแขกแล้วอย่างง่ายดาย  จักรและฉัตรหันหน้าเข้าหากันตีมือกันเพี๊ยะ

 

สำเร็จแล้วพวก  ทั้งสองร้อง  ไฉ่ฝ่งกลอกตาคุยอวดบ้าง  นี่มันแผนใคร  ลูกชายของท่านทั้งสองหันกลับมาหัวเราะกราวใหญ่  จักรโบกมือที่ยังติดกระดาษรายชื่อหนุ่มจีนกว่าครึ่งนิวยอร์กในมือไปมา  จริงด้วย...คุณแม่รู้ได้ยังไงว่าไอ้หัวดื้อของเราจะเสร็จแผนนี้  ไฉ่ฝ่งยืดอกอันผอมบาง แต่แกร่งด้วยผ่านโลกมาถึงแปดสิบปี  ฉันน่ะเลี้ยงมันมากับมือไม่รู้หรือว่ามันชอบกินอะไรชอบของอะไรแค่เห็นหน้าแม่หนูมาลี ฉันก็รู้แล้วว่าศิลาน่ะไปไม่รอดหรอก ถ้าเราช่วยกระตุ้นนิดหน่อยจะเดินมาเข้าซองง่าย ๆ

 

ฟังเหมือนมันจะเป็นหมูที่ถูกเอาไปเชือดเลย  ฉัตรตั้งข้อสงสัยอย่างนึกขัน  ไฉ่ฝ่งตีแขนลูกชายคนรอง   นี่มันหลานชายของฉันนะยะไม่ใช่หมูแม้มันจะดื้อไปหน่อย  จักรหัวเราะฮึ ๆ  แล้วไม่กลัวหรือครับว่าถ้าเกิดไอ้หัวดื้อของแม่มันดันเลือกใครสักคนจากรายชื่อของจิ๋นกูขึ้นมาแล้วก็หนีไปเลย

 

ก็คิดอยู่น่ะ....  ไฉ่ฝ่งแบ่งรับแบ่งสู้         อ้าว      แต่ฉันซื้อลอตเตอรี่ถูกทุกงวดได้ เพราะฉันไม่ได้ซื้อแบบมั่ว ๆ นะยะตัวไหนไม่เต็งฉันก็ไม่เสี่ยงหรอกย่ะ  จักรและฉัตรมองตากันแว็บเดียวก็ระเบิดเสียง หัวเราะกันงอหาย  นับว่าพวกเขาดูถูกมารดาไม่ได้ว่าคาดการณ์ไม่แม่น

 

เพียงแต่ศิลาเดินเข้าไปในห้องนั้นเขาก็รู้ว่าพวกผู้หญิงก็เคร่งเครียดกันอยู่ไม่น้อย  อริสาพูดขึ้นทันทีที่เห็นหน้าเขา  ศิลา....ป้าเพิ่งนึกออกว่ามีผู้ชายอีกคนที่เหมาะสมกับมาลีเขาชื่ออองลี ชานเขาเป็นเพื่อนกับนายตรีนะ   ผมจำได้  ศิลาตอบเสียงขุ่น

 

สนใจไหม  ลินดาถามลูกชายมาลีเองหน้าตาระห้อย   ผมบอกได้เลยว่าเขาไม่เหมาะสม  เสียงเขาขรึมมากเหมือนหน้าที่ไม่ยิ้มเลยสักนิด  ทำไมล่ะ  อริสาถาม  เขาก็ดูดีนะและป้าก็ชอบเขาด้วย

 

ผมก็ชอบเขา แต่ถึงเขาจะมีข้อบกพร่องใด ๆ เรื่องนี้ก็ยุติแล้วเราสรุปผลกันลงตัวแล้วครับ      อุ๊ยตาย...  อริสาอุทานพร้อมกับลินดาที่ห่อปากด้วยความประหลาดใจ    เป็นใครกัน  ลินดาถาม

 

คุณย่าจะเป็นคนบอกป้ากับแม่ครับท่านให้เชิญไปที่ห้องรับแขกทั้งสองคนเลยครับ  ทั้งสองรีบรุดไปโดยไม่ต้องให้ใครเชิญชวนอีก  มาลีพรบิดผ้าเช็ดจานในมือแล้วขยับเท้าอย่างกังวลใจ  การประชุมสิ้นสุดตัดสินใจกันได้แล้วหรือคะ     ใช่   เขาตอบเสียงแผ่ว  เธอไม่อาจมองหน้าเขาได้  น้ำตาผุดขึ้นมาจนเต็มตา แต่เธอพยายามกลั้นเอาไว้บิดผ้าเช็ดจานในมือจนมันเป็นเกรียว  อ๋อ..... ศิลากำลังคิดว่าเขาจะเริ่มต้นที่ตรงไหนดี

 

ผลตัดสินใจเลือใครคะ  เธอถามเสียงสั่น  ทำให้ศิลาเปลี่ยนใจเขาเดินมาหยุดตรงหน้าเธอดงผ้าเช็ดจานออกไปจากมือเธอโยนไปที่โต๊ะทำอาหาร แล้วพูดขึ้นโดยไม่ต้องอรัมภบท   คุณจะแต่งงานกับผมไหมมาลี  เธอถอนใจ  ไม่ค่ะ....  แล้วถอนใจอีกครั้งก่อนจะพูดเสียงกระซิบ  ถึงอย่างนี้ฉันก็ขอบคุณสำหรับข้อเสนอ

 

ผมจะแต่งงานกับคุณ เพราะพวกเราตัดสินใจอย่างนี้  มาลีพรเงยหน้ามองเขาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง  เป็นไปไม่ได้...คุณจะไม่แต่งงานกับฉัน  เธอตอบโต้เขาเสียงแข็ง  แล้วคุณสบายใจได้ตอนนี้คุณก็มาขอฉันแต่งงานไปแล้วและฉันก็ตอบปฏิเสธคุณไปจริง ๆ   มาลี  ศิลาเรียกเธอด้วยเสียงหมดความอดทน  แต่เธอปัดมือเขาออกอย่างโกรธ ๆ

 

ฉันรู้....ทันทีที่ฉันเดินออกมาจากห้องรับแขกพ่อคุณลุงคุณกับคุณย่าก็บังคับใจคุณเกลี้ยกล่อมให้คุณยอมรับฉันและสั่งให้คุณมาขอฉันแต่งงาน  ศิลายิ้มออกมากว้างจนเกือบเหมือนหัวเราะกับความคิดจิตนาการไกลของเธอ

 

ไม่มีอะไรอย่างที่คุณคิดสักอย่าง     ฉันไม่เชื่อ  มาลีพรส่ายหน้าเธออยากร้องไห้  เมื่อครู่ก่อนเขาเข้ามาเธอยังภาวนาให้เป็นเขาที่ช่วยเขาแก้ไขปัญหาอย่างชาญฉลาดแต่ผลของมันทำให้เธอเศร้าใจ  ศิลาขมวดคิ้วกับสีหน้าของเธอ  ฟังผมนะ....ปัญหาจบแล้วลืมเรื่องอื่นให้หมดผมยอมแต่งงานกับคุณทำไมคุณจึงทำตัวเองให้มีปัญหาด้วยนะ  เขาเริ่มจะหงุดหงิด  เพราะคุณไม่ได้รักฉัน

 

เธอโพล่งความคิดส่วนลึกในใจออกไปก่อนจะได้ห้ามตัวเองทัน  สีหน้างุนงงของเขาทำให้เธอรู้สึกเหมือนหนูถูกแสงไฟส่องและตามล่าเอาชีวิตอับอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี  แต่เขาก็ช่วยเธอเอาไว้ด้วยความไม่คิดว่ามันสำคัญ  ความรักเข้ามาเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วย...ช่วงเวลาที่คุณกับพวกเราเลือกชื่อหนุ่มโสดแห่งนิวยอร์กขึ้นมาเพื่อจะแต่งงานมันไม่ใชความรักเลยนะเรื่องนั้นและความจริงพวกเขายังไม่มีใครรู้จักคุณมากพอที่จะคิดถึงเรื่องรักคุณก็จะเลือกพวกเขาเพื่อแต่ง  ศิลาชะงักกับสีหน้าที่เผือดขาวเหมือนเป็นลม  นึกตำหนิตนเองว่าพูดอะไรไม่คำนึงถึงความรู้สึก

 

แต่เสียงหนึ่งค้าน....เธอดีนักนี่......บทสรุปว่าเขาต้องเสียสละตัวเองให้กับเธอในเรื่องแค่ไหนกลับไม่ยอมรับคำขอแต่งงานของเขา  เธอไม่รู้หรอกว่าเขาทำเพื่อเธอที่กันไม่ให้เธอต้องแต่งงานกับคนแปลกหน้า  มาลีพรกลืนน้ำลายลงคอที่เจ็บร้าวขึ้นมาฉับพลัน

 

ใช่  เธอรับอย่างขมขื่น  พวกเขาก็เหมือนคุณที่ไม่รักฉัน เพราะมันเป็นการจัดการแต่งงานที่ผุ้ใหญ่เลือกพวกเขาขึ้นมาแต่พวกเขามีความเต็มใจนั่นคือสิ่งที่คุณไม่มี  ศิลาหน้าชา แต่เขาโกรธมากกว่า  ผมจำได้ไม่ต้องเตือนหรอก แต่ผมเปลี่ยนใจแล้วว่าจะแต่งงานกับคุณ  ในเมื่อคุณไม่รักฉันคุณไม่ต้องเสียสละกับเรื่องนี้

 

ผมไม่ได้เสียสละ เขาแผดเสียงลั่น   แน่นอน.....พวกคุณผู้ชายทำมันอย่างนั้นเสมอเมื่อเห็นว่ารายชื่อที่คุณย่าหามาไม่ได้ผลคุณก็เลยแก้ปัญหาแบบนี้ง่าย ๆ ฉันไม่ยอมหรอก    ผมก็ไม่ยอมเหมือนกัน เขาประกาศ    คุณไม่ยอมเรื่องอะไร

 

ผมสัญญาแล้วว่าจะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ให้คุณ คุณสลัดผมออกไปไม่สำเร็จหรอก     โอ๊ย...ฉันไม่ยอมนะ  ศิลาขยับตัวก่อนที่มาลีพรจะเดาออกว่าเขาคิดอะไรก็ถูกเขาดึงเข้าไปในวงแขนเขารวบเอวเธอเอาไว้แน่นและใช้มือข้างหนึ่งจับคางเธอให้เงยหน้ามองสบตากับเขา

 

คุณน่ะดื้อใช่ไหม  เธอไม่ยอมตอบ พยายามขืนตัวดิ้นรนที่ไม่เกิดผลว่าขยับตัวได้  คุณต้องเคารพกฏที่เราวางเอาไว้ว่าถ้าผมเลือกใครให้คุณ...คุณต้องเชื่อฟังตามที่ผมเลือก        ฉันไม่เคยบอกว่าจะเชื่อตามนี้  เธอเถียงเขาลอดไรฟันและเจ็บ เพราะมือที่บีบคางเธอแน่น  เอ๋อใช่สิ....ต้องเชื่ออยู่แล้ว เพราะคุณไม่เถียงใครในเวลาที่ให้ผมอยู่ด้วยถือว่ายอมรับและเมื่อพวกเราตัดสินใจแล้วคุณต้องแต่งงานกับผม

 

ไม่...อุ๊ย...           ใช่   เขากระซิบจรดปากนุ่มของเธอด้วยจุมพิตที่ร้อนแรงหนักหน่วง  เขาคงจูบเธอเบา ๆ เป็นการผนึกคำสัญญาขอแต่งงานก็ได้ แต่เธอกระตุ้นโทสะของเขาให้ลุกโพลงเมื่อปฏิเสธเขาอย่างดื้อดึง  จูบของเขาจึงกระด้างเรียกร้องดูดดื่มเกินจำเป็น  เขารู้ว่าเธอพยายามดันตัวเองออกจากวงแขนของเขาแล้วเบนหน้าให้หลุดออกจากจุมพิตแนบแน่น แต่เขาคว้าท้ายทอยบังคับให้เธออยู่นิ่งรับจุมพิตที่ไม่อ่อนโยน

 

มาลีพรไม่เคยถูกจูบมาก่อนจึงไม่รู้ว่าควรจะจัดการอย่างไรให้ตนเองพ้นไปจากเรื่องนี้สมองเธอเริ่มอื้ออึงไปด้วยเสียงผึ้งที่บินอยู่รอบหัวคล้ายจะเป็นลม  ศิลารู้ว่าเขาควรจะหยุดจูบเธอได้แล้วก่อนที่เธอจะขาดใจไป เพราะขาดอากาศหายใจ  เขาคำรามในคอด้วยความขัดใจที่ไม่อาจจะปล่อยมือจากเธอง่าย ๆ

 

เธอเหมือนสิ่งเสพติดชั้นเลิศที่ยากจะหักห้ามใจ  เขาบังคับตัวเองให้ผละจากเธอช้า ๆ มาลีพรเข่าอ่อนทรุดลง แต่เขาคว้าเธอดึงไปยืนพิงกับโต๊ะทำกับข้าวเธอผลักเขาออกเมื่อรู้สึกตัวด้วยแขนขาที่สั่นเท่าแก้้มแดงจัดจนคล้ำ   คุณจูบฉัน  เธอต่อว่าเขา   จะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย  ศิลาประกาศต่อหน้าเธออย่างยโส  ฮึ....  เธอสะบัดให้เขาแล้วพยายามเดินอ้อมเขาเพื่อจะผละไป 

 

ศิลาคว้ามือเธอเอาอย่างเหนียวแน่นแล้วลากจูงเธอไปกับเขาด้วย  เราจะบอกข่าวดีนี้กับพวกผู้ใหญ่ว่าเราจะแต่งงานกัน  เขาสรุปเองมาลีพรพยายามรั้งมือดึงตัวเหมือนแมวดื้อไม่ยอมไปกับเขา  ไม่  เธอร้อง  จูบเดียวของคุณไม่ได้เปลี่ยนอะไรไปหรอก ฉันจะไม่แต่งงานกับคุณ เพราะคุณไม่อยากแต่งงานจำได้ไหม  เขาอยากจะหัวเราะ เพราะเสียงเธอเริ่มแหลมและสูงอย่างระงับอารมณ์ไม่อยู่แล้วจึงพูดกับเธอด้วยเสียงหยันหวังจะยั่วโมโหเธอ

 

มาลีผมเป็นคนที่ไม่เคยแพ้ใครมาก่อนวันนี้คุณจะไม่ชนะผมเด็ดขาด  เธอเชิดจมูกใส่เขา   ฉันไม่ชอบผุ้ชายยโสคิดว่าตัวเองถูกเสมอไม่ว่าเรื่องอะไร  ศิลาใช้นิ้วชี้ลูบริมฝีปากที่เห่อแดงของเธอเบา ๆ ส่งผลให้ขนที่แขนเธอลุกซู่  ผมก็เหมือนกัน  เขาคล้อยตามเธอราวกับเห็นด้วย

 

ไม่ใช่... ฉันหมายถึงคุณคนเดียว   เธออยากจะร้องกรี๊ด ๆ ใส่เขาด้วยแรง โมโห  ฉันไม่แต่งกับคุณ   แล้วเราจะได้เห็นกัน  เขาขึงตาสู้กับเธอ  มาลีพรไม่ยอมแพ้เขาหรอก แต่ก็ร้องกรี๊ด เมื่อถูกเขาลากออกจากห้องครัวไปยังห้องรับแขกอีกครั้ง  พวกผู้ใหญ่ในห้องรับแขกขึ้นใบหน้ายิ้มต้อนรับทั้งสองเก้อ เพราะศิลาหน้าตาบึ้งตึงไม่แพ้มาลีพร เมื่อลากเธอเข้ามาในห้องสำเร็จ

 

เธอพยายามแกะมือเขาออก แต่ไม่สำเร็จจึงต้องหยิกเขาที่แขนศิลาปัดมือเธอออกแล้วก็รวบมือเธอเข้าไปใหม่อีกครั้ง  คนทั้งห้าเบิกตามองอาการประหลาดของทั้งสองด้วยสีหน้างุนงงสุดขีด  มันเหมือนเด็กสองคนพยายามยื้อแย่งอะไรกันบางอย่างคืออิสรภาพละมัง ไม่ใช่อาการของคนที่ตกลงใจกันได้แล้วเรื่องแต่งงาน

 

ศิลา  ฉัตรกระแอมกระไอเรียกลูกชาย  ทำให้มาลีพรนั่นหยุดชะงักเพิ่งคิดขึ้นได้ว่ามีคนอื่นอยู่ในห้องนี้ด้วยสำคัญกว่าการพยายามยื้อมือตัวเองออกจากการเกาะกุมของศิลา  ลุงฉัตร เธอหวังให้เขาช่วย  ฉัตรหันไปมองลูกชาย  แกคุยกับมาลีแล้วใช่ไหม    ครับ ศิลาตอบทั้งที่ยังไม่ยอมปล่อยมือจากมาลีพร  เราตัดสินใจ     ว่าจะไม่แต่งงานกัน  เธอโพล่งทับคำพูดของเขา

 

ตอนที่ 28

 

มีเสียงโวยวายเล็ก ๆ ไปรอบตัว  จักรหน้าตาเคร่งขรึม  นี่มันอะไรกันนายศิลาเราคิดว่าแกตกลงจะแต่งงานกับหนูมาลีไปแล้วจริงไหมพวกเราทุกคน  เขาหันไปหาพวกจากอริสา ฉัตร ลินดา และไฉ่ฝ่ง  ก็ได้คำสนับสนุนว่า เขาพูดจริง  ใช่

 

เราก็ตกลง  ศิลาตอบรับเขาลากมือของมาลีพรขึ้นมากุมไว้แนบอกอย่างที่ไม่มีทางสะบัดหลุดง่าย ๆ   เราจะแต่งงานกันมาลีจะยอมเป็นภรรยาของผมครับ  เธอส่ายหน้าและพูดอะไรบางอย่างในลำคอ  ผู้คนเฮขึ้นล้อมรอบตัวเธอ ไม่ฟังที่เธอพูด  ผู้คนเฮขึ้นล้อมรอบตัวเธอ ไม่ฟังที่เธอพูด  ดี.....วิเศษไอ้ลูกชาย  ฉัตรตบไหล่ ศิลาแรง ๆ จนสะเทือนมาถึงมาลี 

 

เราไปฉลองกันเถอะ จักรชวนทุกคน  อริสามองหน้าที่เตรียมจะร้องไห้ของมาลีแล้วสะกิดสามี  ฉันว่าหนูมาลีมีอะไรจะพูดนะ  จักรยื่นหน้าเข้ามาถาม หนูอยากจะพูดอะไร  จักรยื่นหน้าเข้ามาถาม  หนูอยากจะพูดอะไร  มาลีหันไปหาศิลา เพราะเขาดึงมือเธอไว้แน่นไม่อาจหันไปหาคนอื่นได้  ฉันจะไม่ยอมให้คุณเสียสละตัวเอง ด้วยการแต่งงานกับฉัน

 

เขาไม่ได้เสียสละ  ไฉ่ฝ่งพูด    ใช่ นายศิลาเสียสละไม่เป็น จักรเห็นด้วย  เขาเลือกด้วยตัวเอง  ฉัตรยืนยัน  พวกเราไม่มีใครเห็นเขาร้องไห้  ลินดาตั้งข้อสังเกต  อริสาหันไปมอง ทำไมต้องร้องไห้     คนเสียสละต้องร้องไห้  ลินดายืนยัน   เขาไม่อยากทำงั้นหรือ  ฉัตรถามภรรยา

 

คนเสียสละใครจะอยากทำเขาต้องฝืนใจนี่ศิลาไม่ร้องไห้เขาคงไม่ได้ฝืนใจหรอกจริงไหม จักรแย่งอธิบายเองด้วยอารมณ์สนุกสุดขีด   ใช่  ศิลายอมรับยอมอย่างเป็นต่อกับพวกที่มากกว่ามาลี  ไฉ่ฝ่งมองมาลีด้วยสายตาเห็นใจ  หนูคงไม่ชอบ  หลานชายของย่าใช่ไหม  

 

ไม่ใช่ค่ะ.... มาลีจนด้วยคำพูดที่ตอบยาก    งั้นเธอจะแต่งงานกับผมแน่  ศิลาร้องอย่างมีชัย  เธอจึงหันขึงตาใส่เขาอีก  ถึงคุณจะเป็นคนเลือกใครก็ได้ให้ฉัน แต่ฉันก็มีสิทธิ์ที่จะตอบรับหรือไม่ตอบรับก็ได้จริงไหม  เขาทำให้เธอโมโหจนลืมตัวแล้วกับการที่พูดยากพูดเย็นเหลือเกินให้เขา ถอนตัว

 

ฉันเลือเคนคนตระกูลฉีทุกคนบอกว่าเขาดีไม่มีที่ติเรื่องอารมณ์และอุปนิสัยแม้จะมีลูกขาโก่งฉันจะไม่รังเกียจ ลูกตัวเอง  ศิลาตารุกวาบ  คุณยังไม่เคยเห็นเขาเลยว่าขาโก่งขนาดไหนก็เลือกเขาแล้วรึ  พูดเรื่องนี้แล้วทำให้ท้องไส้ของมาลีพรปั่นป่วนเธอเกลียดการพูดเรื่องนี้  คุณไม่ต้องมายุ่ง  เธอบอกปัดเขาหวังว่าเขาจะเชื่อแล้วปล่อยมือจากเธอ  ดี... ศิลาร้อง

 

เฮ้ย.....ดียังไง จักรโวยวายคิดว่าศิลายอมแพ้แล้ว  ศิลาคลายแขนออกจากร่างของมาลีพรยิ่งทำให้ผู้คนตื่นตระหนก โดยเฉพาะมาลีพรเธอหนาวเยือกวูบขึ้นมา  คิดไม่ถึงว่าคนดื้ออย่างเขาจะยอมผละจากเธอซะแล้วเธออยากร้องไห้กับสิ่งที่ตัวเองดิ้นรนจนได้มา   ผมอยากจะเจอเขาอยู่พอดีเลย  ศิลาพูดเสียงจริงจัง   นายไปเจอเขาเพื่ออะไร ฉัตรถามอย่างสนใจ  เขาไม่ค่อยจะเชื่อหรอกว่าลูกชายจอมหัวดื้อคนนี้ จะยอมแพ้ง่าย ๆ

 

เคนจะต้องรู้ความจริงก่อน ที่จะแต่งงานกับมาลี  จักรยิ้มอย่างกับเห็นปลาติดเบ็ดอย่างกับนายศิลามันงอมืองอเท้ามันไม่มีทางปล่อยคนที่มันสู้กับตัวเองแทบตายจนยอมแพ้ไปง่าย ๆ แน่  เคนควรรู้อะไร  จักรช่วยทุกคนซัก  ฮือ.....เขาจะรู้อะไร  จักรช่วยทุกคนชัก

 

ฮือ....เขาจะรู้อะไร  ไฉ่ฝ่งถาม   เรื่องที่ผมกับมาลีนอนด้วยกัน  ศิลาประกาศอย่างมีชัย  ไฉ่ฝ่งเข่าอ่อน  โอ๊ยฉันจะเป็นลม  จักรรีบประคองมารดานั่งกับโซฟาตัวที่ใกล้ที่สุด  ลินดาและอริสารีบไปใช้ผ้าเช็ดหน้าโบกให้ลมและหายาดมมาให้กันให้วุ่นวาย  แกนอนกับมาลีหรือ ฉัตรชี้หน้าลูกชาย

 

ครับ เขารับอย่างองอาจเกินไป ความจริงแล้วพ่อไม่น่าสงสัยในเมื่อทุกคนส่งมาลีมาอยู่บ้านผมตั้งหลายวัน  เขาไม่หวั่นไหวกับโทสะของใคร  แต่มาลีพรคว้าแขนเขา  คุณจะทำอะไร... เธออดสูใจเกินกว่าจะพูดต่อแต่ความจำเป็นบังคับ  คุณกำลังทำให้คนอื่นเข้าใจผิด 

 

ผมโกหกใครที่ไหนเรานอนด้วยกันหรือคุณเถียงว่าไม่จริง  ทุกคนมองเธอเหมือนรอให้เธอตอบทั้งปฏิเสธและตอบรับปนกัน  ใช่  มาลีพรสับสนกับสายตาของผู้คน  แต่เรา....   อย่าเล่านะ  ลินดาตะโกน  ฉัตรหันไปหาภรรยา  ใจเย็น ๆ น่าคุณเราควรฟังมาลีบ้าง  ฉันจะไม่ให้ใครเล่าเรื่องบนเตียงต่อหน้าฉัน...  ไฉ่ฝ่งถอนยาดมออกจากจมูกพูดเสียงอู้อี้  อับอาย  บรรพบุรุษที่มีการล่อลวงเกิดขึ้นในบ้านของฉันแล้วยังมาเล่าวิธีการกันอย่างโจ่งแจ้ง

 

ใช่แม่หนูคนนี้ซื่อเกินไปแล้วพวกเราก็ไม่ใช่ตำรวจที่รับแจ้งความการล่อลวงไม่ต้องเล่ารายละเอียดหรอกน่าอาย อริสาพูดอย่างเห็นใจ  จักรกับฉัตรมองตากันด้วยแววหัวเราะ พวกผู้หญิงคิดเองเออเองแบบนี้เดี๋ยวก็เสร็จนายศิลาพอดี  มาลีพรขึงตาใส่ศิลา  คุณควรจะพูดแก้ความเข้าใจผิดของทุกคนนะดูสิมันบานปลายใหญ่โตแล้ว    ใช่สิผมพูดแน่      พูดสิ    เขาหันไปหาคนทั้งครอบครัวของเขา

 

ถ้าเคนยังต้องการแต่งงานกับมาลีหลังจากที่เขารู้ว่าผมกับมาลีอยู่ร่วมบ้านกันตามลำพังโดยไม่มีผู้ใหญ่หรือใครอยู่ด้วยในยามค่ำคืนหลายคืนที่ผ่านมาผมขอบอกเลยว่าเขาเป็นสุดยอดผู้ชายที่ดีกว่าผมแหงเลย  เธอดึงแขนเสื้อเขา   ฉันไม่ได้ให้คุณพูดอย่างนี้  เธอพยายามบอกตัวเองว่าอย่าร้องไห้ที่ถูกศิลาแกล้งเธออย่างร้ายแรงขนาดนี้จนอยากจะตายด้วยความอับอาย

 

ศิลาไม่สนใจหรอกเขาพยักหน้าให้ดูซื่อบริสุทธิ์ราวกับเด็กทารก  คุณอย่าห้ามเลย....ผมต้องอธิบายให้เคนรับรู้ เพราะผมมีเกียรติและคิดว่าเคนคงไม่อยากให้มีเรื่องปิดบังอะไรเมื่อเขาจะรับคุณไปเป็นเจ้าสาว    ใช่เราไม่ควรโกหกเคน  จักรเห็นด้วย  ฉัตรเหลือกตามองเพดานคร่ำครวญแบบจอมปลอม  นี่ฉันทำผิดอย่างมากที่เอาเนื้อมาฝากไว้ในปากเสืออย่างลูกชายของฉัน  มาลีขยับเข้าไปใกล้พยายามปลอบใจฉัตร  ลุงฉัตรคะไม่ต้องเสียใจอะไรทั้งนั้น  เธอพยายามหาทางออกให้กับปัญหาที่ศิลาสร้างขึ้น

 

ไม่มีเรื่องน่าอายอะไรเกิดขึ้นระหว่างหนูกับคุณศิลาหรอกค่ะ    เธอไม่อายรึ....เฮ้อขอยาดมหน่อย  ไฉ่ฝ่งอุทาน  มาลีหันไปแล้วเงอะงะกับความโกลาหล    อย่าตกใจค่ะเรานอนเตียงเดียวกันก็จริง เพราะเมื่อคืนคุณศิลาเหนื่อยมากแล้วหนูอยากช่วยเขาให้หายเครียดเราก็เลย...หนูนวดหลังให้คุณศิลา...เขานอนเฉย ๆ  ลินดาตบหน้าผากตัวเอง อริสาบิดหน้าหัวเราะ  หยัน  โธ่เอ๊ย....จะเหลืออะไร

 

ทำให้มาลีพรยิ่งประหม่าอธิบายยากเข้าไปอีกจนสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก  หนูสวมเสื้อผ้าตอนนวดหลังให้คุณศิลา    แต่ผมไม่ได้สวมเสื้อ  ศิลาตอบอย่างรื่นเริงใจ  พอแล้ว  ไฉ่ฝ่งทุบเบาะข้างตัว ไม่ต้องเล่าอีกต่อไปแล้ว  มาลีสะดุ้งเธอหน้าเแหย  เธอโกรธศิลามากที่เขาเจตนาบิดเบือนความจริงด้วยการพูดให้คนอื่นเข้าใจผิดเธอจะแก้ตัวอย่างไรในเมื่อทุกคนคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงไม่ดีนอนกับเขาแล้วเลือกผู้ชายอื่นขึ้นมาแทนที่เขา

 

เธอผลักอกเขาออกแล้วคิดจะเดินหนีไปหาที่ร้องไห้ให้สาแก่ใจที่ถูกเขาแกล้งศิลาไม่ยอมเข้าคว้าคอเธอลากกลับมาพาดแขนโอบร่างเธอดึงเข้าไปชิดตัวเขา   ไม่สนใจว่าเธอจะหยิกและผลักมือเขาออกเป็นพัลวัน  จักรลุกขึ้นมาสั่งทั้งสองที่ปัดมือปัดไม้กันอยู่ด้วยเสียงดุ  สองคนนี้จะต้องแต่งงานกันให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้และแก.... จักจิ้มนิ้วไปที่ไหล่ของศิลา

 

จงปิดปากเงียบห้ามพูดเรื่องนี้กับเคน เพราะเคนตกรอบไปแล้วพวกเราไม่อยากให้ชื่อเสียงของมาลีเสียหาย เพราะความใคร่ของแก   แต่งงานกันอย่างรวดเร็วหรือ ลินดาติงขึ้นมา เราทำได้เร็วแค่ไหน    ภายในสามวัน  ศิลาประกาศ    ไม่มีทาง  ไฉ่ฝ่งส่ายหน้า  ฉันไม่ให้ผู้คนนินทาพวกเราที่จัดงานอย่างรวก ๆ ทีงานของอาคมพวกแกยังเชิญคนทั้งไชน่าทาวน์มาแล้วมาลีทำเงียบ ๆ ผู้คนจะดูถูกเอาต้องแต่งงานครบ ตามประเพณีจีน

 

แล้วใช้เวลาเร็วที่สุดได้เมื่อไรครับ ฉัตรถาม    หนึ่งเดือน ไฉ่ฝ่งแจ้ง   หนึ่งอาทิตย์  ศิลาต่อรอง สามอาทิตย์  ไฉ่ฝ่งยื้อเอาไว้   สองอาทิตย์ ศิลายังสู้ต่อเขาต้องการได้เธอมาเป็นของเขาวันนี้ด้วยซ้ำไปตั้งแต่ตัดสินใจไปแล้ว   เป็นไปตามนี้  ฉัตรรีบสรุป เพราะไม่เช่นนั้นมีหวังไม่ยอมเลิกการต่อรอง

 

ก็ได้เราต้องเรียกจิ๋นกูมาด่วน  ไฉ่ฝ่งยินยอมตามใจหลานชาย  ฉัตรและจักรเข้ามายืนตรงหน้ามาลีและศิลา  ยืนยันกับลุงทีว่าหนูจะแต่งงานกับศิลา  จักรถามเสียงขรึม  นี่เป็นครั้งแรกที่ศิลารู้ว่าลุงของเขาไม่ได้ล้อเล่น  ศิลากระชับแขนที่ไหล่ของเธอแน่นขึ้น

 

คุณจะแต่งงานกับผมไหม  เขาถามเธอด้วยเสียงนุ่มนวล  เขาชนะเขารู้อย่างนี้จริง ๆ เธอพยักหน้ารับช้า ๆ ศิลาจึงช้อนคางเธอขึ้นรับจุมพิตปากนุ่มเธอแนบแน่นสนิทสนมต่อหน้าพ่อและลุงของเขา  มาลีพรพยายามผลักเขาออกแต่ เขาปล่อยเมื่อเขาพอใจ  เธออับอายที่สุด

 

พอได้แล้ว  ฉัตรดึงแขนลูกชายออกจากมาลี  แกจะไม่แตะต้องหนูมาลีอีกจนกว่าพวกแกจะแต่งงานกันเรียบร้อยแล้ว  ศิลายอมคลายแขนแม้จะงึมงำด้วยความไม่พอใจ  จักรเข้ามาร่วมอีกคน  พวกเราจะจับตาเฝ้าแกเอาไว้ไม่ให้ทำเรื่องอย่างนี้อีก  ใช่เราจะให้มาลีกลับไปอยู่กับเราที่บ้านนั้น ไฉ่ฝ่งสั่งการ

 

คุณย่า.... ศิลาพยายามออด มาลีปลดแขนเขาออกซึ่งศิลาจำใจยอมปล่อย เพราะมีคนช่วยเธอขึงตาใส่เขาอยู่ทั้งห้าคู่  ได้...จะทำอะไรก็ตามใจขอแค่อย่าห้ามไม่ให้ผมพบกับมาลีก็แล้วกัน  อย่าคาดหวังอะไรนัก  จักรพูดขึ้น  ลินดาลากมือมาลีออกไปห่างลูกชาย  ถ้าแกประพฤติตัวไม่เป็นที่ยอมรับเราจะตกลงกันใหม่   โฮ้ย.....อะไรกันนี่ถือว่าผมเป็นคู่หมั้นของมาลีและนะครับ

 

แต่พวกฉันเป็นผู้ปกครองย่ะ  ไฉ่ฝ่งเชิดใส่หลานชาย  ศิลายอมให้ด้วยความเต็มใจ เพราะครอบครัวเขาอยากให้มาลีเป็นลูกสะใภ้ยังไงซะไม่มีทางกีดกันเขาหรอก  ไม่มีใครขัดขวางเขาได้  แม้แต่ตัวเธอด้วย

 

ตอนที่ 29

 

เบญจารูดซิปกระเป๋าแล็ปท๊อปคอมพิวเตอร์ปิดลากไปวางกลางเตียง  หันไปรอบตัวสำรวจความเรียบร้อยของห้องนอน  ไม่ได้ทิ้งเสื้อผ้าเอาไว้รกเลอะเทอะโต๊ะ เครื่องแป้งสะอาดไร้ฝุ่น  เธอจะไปอยู่หออีกสัปดาห์เดียวจึงจะกลับมาช่วยงานที่ร้านอาหารของครอบครัวในวันขอบคุณพระเจ้าที่ยุ่งวันหนึ่งของปี  เสียงกริ๊งจากโทรศัพท์บนหัว  เตียงลากให้เธอรีบไปรับ

 

แม่เองนะเบญจา  อริสาพูดมาตามสายโทรศัพท์  ดีใจที่หนูยังไม่ได้ออกไปจากบ้านซะก่อน  กำลังจะไปค่ะ เพราะหนูเก็บของเรียบร้อยแล้วแม่มีอะไรไหมคะ  แม่โทร.มาแจ้งข่าวเรื่องพี่ชายของหนู  พี่ศิลาหรือคะหนูคิดว่าจะเป็นเรื่องของพี่มาลีซะอีกที่พวกผู้ใหญ่ไปตกลงกัน

 

ก็เรื่องเดียวกันศิลาเขาขอมาลีแต่งงานแล้วทั้งสองตกลงใจจะแต่งงานกันในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า  เบญจานิ่งไปอึดหนึ่ง  หนูไม่ดีหรือแม่คิดว่าหนูชอบมาลีซะอีก  ชอบสิคะหนูว่าพี่มาลีเหมาะสมกันดีกับพี่ศิลา  พวกเราจะฉลองกันที่ซิงสาขาหนึ่งหนูจะมาที่นี่กันไหม

 

หนูคิดว่าไม่ไปดีกว่าไม่เช่นนั้นหนูกลับเข้าหอพักไม่ทันแน่     อีกหลายชั่วโมง    งานฉลองมีหรือจะสั้นหนูฝากบอกแสดงความยินดีกับพี่มาลีด้วยนะคะแล้วหนูกลับมาในวันแทงกิ๊ฟวิ่งจะชดเชยให้พวกเขาด้วยคำอวยพรอีกอาทิตย์หน้า    ได้...เดินทางระวังตัวนะลูก

 

ค่ะ...เบญจารับด้วยความสุภาพเรียบร้อย  ในที่สุดมาลีพก็ได้แต่งงานกับพี่ศิลาจริง ๆ เธอคิดอย่างรื่นเริงยินดีแค่แววตาที่ทั้งสองมองกันก็รู้แล้วว่าคนอื่นชิดซ้ายตกขอบถนนไปแล้ว คิดถึงเรื่องนี้ก็ทำให้อดคิดถึงใครอีกคนไม่ได้  เขาต้องอกหักอย่างไม่ต้องสงสัย  คงไม่นานหรอกสำหรับคนอย่างตรี.....ที่มีผู้หญิงสาว ๆ รุมล้อมเขาเหมือนกลีบดอกไม้ล้อมเกสรคงมีใครสักคนในนั้นที่จะขันอาสาปลอบใจเขาให้หายเศร้า หรือเขาอาจจะไม่เศร้าเลยก็ได้......  หลายปีที่เธอเฝ้ามองเขาไม่เคยเห็นเขาจริงใจกับสาวใดมาก่อนนอกจากควงเล่น ๆ แล้วก็ข่าวเงียบหายไปในที่สุด

 

เบญจาขนกระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็กกับกระเป๋าหนังใส่แล๊ปท๊อปคอมพิวเตอร์ลงจากห้องนอนปิดไฟทุกดวงในบ้าน เพราะการยืนยันของมารดาว่าพวกเขาจะฉลองการตัดสินใจแต่งงานของศิลากว่าจะกลับกันมาคงดึกมาก แค่เปิดไฟไว้ที่หน้าบ้านก็คงพอ  เธอล็อกประตูบ้านยังไม่ทันเสร็จก็มีคนมาทักเธอที่เบื้อหลังทำเอาสะดุ้งโหยง

 

เบญจา  เธอหันขวับกลับไปแล้วเกือบถอนใจออกมาเมื่อเห็นตรียืนอยู่  แต่เมื่อคิดขึ้นได้เธอก็ขมวดคิ้วให้เขา   พี่ตรีมาทำไม  ตรีชะเง้อมองประตูหน้าบ้านกรุกระจกบนไม้ไว้ครึ่งบ้านเข้าไปในบ้านที่ปิดไฟมืด  เธอรู้แล้วว่าเขามาทำไม...เบญจาคิดด้วยความโกรธ  ในเมื่อเขาเอาแต่มองเข้าไปในบ้านไม่ตอบเธอเบญจาจึงตัดสินใจคว้ากระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็กขึ้นมาก้าวลงบันไดอย่างรวดเร็ว  ตรีหันกลับมา

 

เฮ้.....เบญจา  เธอไม่หันกลับตามเสียงเรียก แต่ได้ยินเขาลงบันไดซ้อนหลังเธอทันที่ขั้นสุดท้ายพอดี  เรื่องอะไรจะหยุดเขามาหาคนอื่นไม่ใช่เธอสักหน่อย  จะไปไหนน่ะ  ตรีถามเมื่อเขาคว้าสายหิ้วหูกระเป๋าเสื้อเอาไว้ได้  ทำให้เบญจาจำใจต้องหยุด  เธอหันกลับมองเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตรนัก

 

นี่กำลังจะไปไหนกันน้องเบน  เขาถามย้ำอีกครั้ง   กลับไปหอพักที่มหาวิทยาลัยสิคะ  ตรีทำเป็นไม่สังเกตเห็นแววอริและความไม่พอใจ  ไม่มีใครไปส่งหรือ  ตรีถาม  เบญจาถอนใจด้วยความเบื่อหน่ายต่อหน้าตรีอย่างไม่เกรงใจ  เบนกลับหอพักที่มหาวิทยาลัยเองเสมอถ้าพ่อไม่ว่างไปส่ง

 

จริงสิ.....วันนี้ลุงจักรไปไหนไม่ว่างไปส่งเบน  ตรีคิดว่าได้โอกาสถามใกล้เข้ามาอีกนิด  แต่เธอมองเขาอย่างรู้เท่าทัน  เบนว่าพี่ตรีคงไม่ได้ขับรถไกลตั้งคนละฟากเมืองมาเพื่อสนใจว่าใครจะส่งเบนที่หอพักนักศึกษาหรอก จริงมะ.....   ก็พูดไป...  ตรียังเขินอยู่นิด ๆ ที่จะพูดออกมา  พี่มาลีไม่อยู่บ้านหรอกค่ะ  เบญจาพูดออกไปตามนิสัยตรงและรู้เป้าหมายว่าตรีมาบ้านนี้เพื่ออะไร 

 

หือ....นั่นสิไปไหนรู้ไหม  เขายอมรับตรง ๆ ทำให้เบญจายอกแสยงใจแม้จะรู้ตั้งแต่ต้นแล้วก็ตาม  ถ้าเธอบอกความจริงกับเขาว่ามาลีอยู่ที่ไหนเขาคงโลดแล่นรีบตามไปอย่างไม่ต้องสงสัย  ใจหนึ่งก็อยากเห็นเขาผิดหวังถ้าโผล่เข้าไปในโต๊ะฉลองตกลงแต่งงานกันของมาลีและศิลา  ไม่มีทาง....เธอจะไม่ทำอย่างนั้นไม่ใช่เพื่อเขาแต่เธอทำเพื่อตัวเองความเจ็บปวดของเขาทำให้เธอสมเพชตัวเองที่ไปหลงรักเขาข้างเดียว

 

ไม่รู้... เบญจาตอบสั้น ๆ   แล้วรวบรวมกระเป๋าของตนเองอีกครั้ง   ขอโทษเบนต้องรีบไปแล้วรถเมล์ในชั่วโมงเร่งด่วนจะแน่น  ตรีคว้าหุกระเป๋าข้างเดิมอีกครั้ง  พี่ตรี  เบญจาเรียกเขาเป็นเชิงเตือน  เขาปลดมือเธออกจากกระเป๋าแล้วดึงไปถือเอาไว้เอง  พี่จะไปส่งเบนที่มหาวิทยาลัยเองไปสิ

 

พูดแล้วเขาก็หันหลังออกเดินนำไปยังที่รถของเขาที่จอดอยู่ริมบาทวิถีทางเดินไม่ไกลนักไม่สนใจเสียงคัดค้านจากเธอ  เบญจาอยากจะร้องกรี๊ด ๆ ไล่เขาไปในเมื่อเขาไม่พบมาลี....ทำไมเขายังไม่ยอมผละจากไปง่าย ๆ นะ  เธอทำอะไรไม่ได้ เพราะเขาเอากระเป๋าของเธอไปแล้วและไม่ได้อยู่ฟังคำคัดค้านด้วยเธอจึงจำใจเดินลากขากตามเขาไปอย่างไม่เต็มใจ   พี่ตรีไม่ต้องไปส่งเบนหรอกค่ะ  เธอรีบบอกกับเขาที่เปิดประตูรถรออยู่ 

 

เขาส่ายหน้าดึงเธอจับตัวเข้าไปในรถของเขาอย่างง่ายดายเหมือนที่เขาเอากระเป๋าของเธอโยนเข้าไปใส่ที่นั่งข้างหลังก่อนเปิดประตูรับเธอแล้ว  หนาวจะตายรีบ ๆ กันเถอะ  นี่คือเหตุผลที่เขางับประตูรถปิด  ตรีเดินอ้อมมาขึ้นรถประจำที่นั่งคนขับแล้วออกรถไปอย่างนุ่มนวล  ทั้งสองนั่งเงียบกันด้วยความคิดหมกมุ่นคนละทางที่อยากจะบอกกันละกันถึงความคิดของตัวเองแต่หาวิธีที่เหมาะสมที่จะพูดไม่ออก

 

วันนี้รถไม่ค่อยติดเลยนะ  ตรีพยายามชวยคุย  หลังจากตัดสินใจได้แล้วว่าจะเริ่มพูดอะไรกับเธอ  ไม่รู้สิคะส่วนใหญ่เบนจะอยู่แต่มหาวิทยาลัยไม่ค่อยได้ออกมาถนนในเวลาเร่งด่วน  พ่อแม่พี่บอกว่าพบเบนวันนี้ที่โต๊ะน้ำชาด้วย  นั่นปะไร...เบญจาคิดอย่างสุดเซ็งไม่น่าโง่ที่ยอมขึ้นรถเขามาง่าย ๆ เลย

 

พี่ได้คุยกับลุงฉันกับป้าแล้วหรือคะ  เธอพยายามถ่วงเวลา  พ่อพี่โทร.ไปที่ศาลหลังจากแยกจากครอบครัวของเบนแล้ว ตรียอมรับไม่ปิดบัง  เบญจามองออกไปที่ถนนรถแน่นหนาจราจรคับคั่งรถแล่นไปได้ทีละน้อยไม่ถึงกับหยุดตายสนิท  เธอรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนเหมือนมีคลื่นอยู่ข้างในกำลังบิดเกลียวช้า ๆ ทรมานเธอ

 

เขามาพูดเรื่องนี้กับเธอทำไม...เขาไม่ใช่ผู้ชายประเภทที่ชอบปรึกษาปัญหาหัวใจของตัวกับใครแน่ทนายความอย่างเขาคิดเองได้ไม่ใช่หรือ  พี่ตรีพบพี่มาลีแค่ครั้งเดียวเมื่อคืนนี้นะคะ  เบญจาโพล่งออกไปอย่างเหลืออด  พี่ก็ส่งผู้ใหญ่มาทาบทามพี่มาลีแล้ว  พี่ไม่ได้ส่ง แต่พ่อแม่ของพี่เห็นว่าพี่สนใจก็เลยคิดกันเองว่าพวกท่านน่าจะช่วยอะไรได้บ้างในเรื่องนี้

 

เบนไม่คิดเลยว่าพี่จะโบราณขนาดนี้เรื่องคู่ครอง   มันเป็นความบังเอิญมากกว่า  ตรีพยายามอธิบายพร้อมกับบังคับรถในเขตย่านจราจรหนาแน่นอย่างระมัดระวัง  พี่คิดว่าเป็นความบังเอิญงั้นหรือคะที่พ่อแม่ของพี่มาทาบทามพี่มาลี  เบญจาตารุกวาบด้วยความโกรธ  แม้จะรู้ตัวว่าไม่มีสิทธิ์เธอก็จะทำ...ใครใช้ให้เขาเลือกเธอขึ้นมาเป็นคนคุยเรื่องนี้เล่าถือว่าเธอโดดเข้ามาเต็มตัว

 

ใช่สิ.....พี่ยอมรับนะว่าสนใจมาลี เพราะเธอดูเด่นสะดุดตามากแล้วพ่อกับแม่ของพี่พอใจไม่ได้รังเกียจพวกท่านก็รีบดำเนินการกันเลย เพราะเห็นว่าครอบครัวของเบนกับครอบครัวของเรารู้จักกันดี    พี่ตรีก็ยอมเหมือนท่านช่วยกันจับพี่คลุมถุงชนแบบนี้

 

ก็บอกแล้วว่าบังเอิญมากกว่าถ้าจะให้คลุมถุงชนเราต้องไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อนและฝืนใจแต่งแต่นี่เราก็เห็นห้ากันแล้วและพี่เองก็คิดว่าพี่ชอบมาลีนะมันก็ดีด้วยที่พ่อแม่ของพี่บังเอิญถูกใจด้วยทุกยอ่างก็ลงตัว  เขายอมรับตามความจริงของความคิดอย่างไม่ปิดบัง  มันทำให้เบญจาโกรธจนหูอื้อ

 

พี่น่ะชอบพี่มาลีแล้วคิดไหมว่าพี่มาลีชอบพี่หรือเปล่า    คงไม่ใช่เรื่องยากพี่สังเกตเธอก็ไม่ได้รังเกียจพี่เลยที่เราคุยกันเมื่อคืนหรือว่าเบนรู้อะไรมาว่ามาลีเขาสนใจคนอื่นอยู่  ความแค้นใจทำให้เบญจาไม่อยากให้เขาหลุดจากความโง่งมง่ายดายเกินไป  เธอจะไม่บอกเขาจนกว่าเขาจะรู้เองว่ามาลีตกลงใจแต่งงานกับศิลาไปแล้ว

 

มันเป็นเรื่องส่วนตัวของพี่มาลีพถ้าพี่อยากรู้ต้องไปถามพี่มาลีเอง    พี่จึงมาหามาลีเพื่อเรียนรู้กันสักพักหวังว่าเธอคงเข้าใจแล้วรับไมตรีจากพี่ในไม่ช้า  เบญจาทุบเบาะที่นั่งข้างตัวอย่างขัดใจ  เธอเป็นอะไร... ตรีสงสัยในท่าทีฮึดฮัดประหลาดของสาวน้อยที่เขาเห็นเธอมาตั้งแต่เด็ก  พี่เชื่อเรื่องพรหมลิขิตอย่างงั้นหรือที่เจอกันครั้งแรกก็รักเขาแล้ว  ตรีไม่ตอบ เพราะเขากำลังประเมินว่าทำไมเบญจาจึงดูโกรธเขานัก

 

ทำให้สาวน้อยเข้าใจผิดว่าเขาดูถูกเธอเกินกว่าจะพูดกับเธอเรื่องนี้ตามประสาพวกคนหนุ่มโสดที่ชอบหลงตัวเอง  โธ่เอ๋ย....ไม่ต้องตอบหรอกไม่อยากฟังแล้ว  เธอโบกมืออย่างขัดใจในจังหวะรถหยุดตามสัญญาณไฟที่สี่แยกพอดี  จึงเปิดประตูรถออกไปเลย  ขอบคุณที่มาส่งแค่นี้ก็ใกล้พอแล้วเบนไปล่ะ

 

เธอกระโดดออกจากรถไปเลย  ตรีปลดเข็มขัดนิรภัยด้วยความตกใจเปิดประตูรถก้าวออกไปยืนข้างรถ  สาวน้อยของเขาเพ่นไปถึงสถานีรถไฟใต้ดินแล้ว  เบญจา ตรีตะโกนเรียกข้ามหลังคารถ  พร้อมเบญจาก้าวลงบันไดหายลับไปกับตาพอเขาขยับจะวิ่งตามเธอไปเสียงแตรรถจากเบื้องหลังกดถี่ ๆ ไล่ว่าสัญญาณไฟเขียวขึ้นแล้ว มีเสียงนกหวีดจราจรเป่าเร่งสำทับเขาจึงต้องกลับเข้าไปในรถอีกครั้งขับรถออกไปจากถนนนั้น

 

เป็นอะไรไปน้า   ตรีพึมพำด้วยความไม่เข้าใจ  สาวน้อยที่ร่างเริงวิ่งตามเขาไปโน้นมานี่เสมอวันนี้ดูจะอารมณ์แปรปรวน  อารมณ์วัยรุ่นมั้งอย่าไปสนใจเลย  เขาบอกกับตนเองว่าไม่ควรจะไปใส่ใจกับสาวน้อยเอาแต่ใจคนนี้สายตาเหลือบมองกรจกส่องหลังไปยังที่นั่งเบื้องหลังของเขา  กระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็กสีชมพูโดดเด่นสะดุดตาพิงเบาะเยาะเย้ยท้าทายให้โยนมันทิ้งไป

 

ตอนที่  30

 

สตอรเบอร์รี่มิ้ลด์เชคสาม แซนวิช ไส้ปลาสี่ โค้กสองมันทอดจัมโบ้สอง  เบญจาสั่งอาหารเสียงดังลั่น พนักงานหลังเคาน์เตอร์เลิกคิ้วมองสาวน้อยขาประจำร้านของเขาที่หน้ามหาวิทยาลัยเซ้นท์แคล 

 

ผมยังไม่เห็นเพื่อนคุณสักคน สั่งซะเยอะแบบนี้เกิดพวกเขาไม่มา    ไม่ใช่เพื่อใครนั่นสำหรับฉันคนเดียว  เบญจาตอบอย่างโกรธ  เอาเค้กช๊อกโกแลตสามเพิ่มเข้าไป  เธอควักเบ๊งค์ยี่สิบดอลล่าร์วางบนเคาร์เตอร์สามใบ    ด่วน  เป็นคำสั่งของเบญจา  พนักงานหุบปากตนเองกับภาษากายที่เธอบกออกมาจากสีหน้าที่บึ้งตึงว่าไม่ใช่ธุระของเขาที่มาตอแยเธอถ้าไม่อยากเจอด่า

 

เขาหันไปตะโกนสั่งอาหารตามรายการที่เบญจาสั่งแล้วรีบหยิบเงินทอนจากเครื่องส่งให้เธอ  อาหารมากเต็มสามถาดจนพนักงานต้องช่วยยกมาส่งให้เธอที่โต๊ะในสุดที่เธอเลือกสำหรับการจัดการกับอาหารพวกนี้คนเดียว  เบญจาดื่มมิ้ลค์เชคสามถ้วยติด ๆ กันจนหมด

 

ผู้ชายเฮงซวย  เธอบอกทุกครั้งที่เปลี่ยนแก้วใหม่  ไม่มีใครสนใจเธอ เพราะเธอหันหลังให้กับทุกคนในโลกนี้และในร้านนี้ด้วย  เชอะ....รักแรกพบ  เธอบ่นทุกครั้งที่กัดแซนวิชไส้ปลาทอดครั้งละครึ่งอันโต ๆ ของมันด้วยความแค้นใจไม่ถึงครึ่งชั่วโมงต่อมามันก็หมดไปอีกอย่าง  เธอคว้าแก้โค้กขนาดครึ่งลิตรขึ้นมาดูดดื่มไปเกือบครึ่งแก้วคล้ายกระหายจัดแล้วลากจานเค้กมากินไปเรื่อย ๆ

 

ผู้ชายโง่....  เธอบอกกับมาลีว่าพวกผู้ชายโง่ที่ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร แต่มาลีกลับบอกว่าพวกเขาโง่ที่ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนไหนรักพวกเขา  ระหว่างมาลีและศิลาถึงทั้งสองจะไม่รู้ในสิ่งที่ต่างเป็นคือรักกันพวกเขาก็ลงตัวได้ เพราะต่างรักกัน  แต่สำหรับเธอไม่มีหวังเลย  ก่อนหน้านี้ไม่มีมาลี...เขาก็ไม่สนใจเธออยู่แล้ว  เบญจาผลักถาดมันฝรั่งทอดขนาดสี่คนกินออกไปจากหน้าแล้วถอนใจ

 

การกินอาหารเหมือนคนบ้าก็เป็นการระบายความแค้นใจในความอับโชคของความรักไประดับหนึ่ง  เธอควรจะพอได้แล้วขืนคิดมากอีกสองอาทิตย์เธอคงกลิ้งไปบนถนนหน้ามหาวิทยาลัยแข่งกับรถตัดหญ้าได้สบาย   ช่างมันเถอะ...อย่างน้อยเขาต้องได้บทเรียนที่ดันไปรักคนที่ไม่รักเขาเข้า  เบญจาทิ้งมันทอดสองถาดใหญ่และโค้กอีกแก้วครึ่งเอาไว้ที่โต๊ะแล้วเดินออกมา  พนักงานประจำเคาน์เตอร์ที่ออกมาเก็บถาดอาหารเหลือพเยิดหน้าให้

 

ผู้ชายคนนั้นไม่มีค่าพอกับความเสียใจหรอกสาวน้อย  เบญจานิ่วหน้าให้กับเขาอย่างไม่พอใจ  ในที่สุดก็คิดขึ้นมาได้บางทีอาจจะมีใครเลือกวิธีการรักษาอาการอกหักด้วยการกินเหมือนเธอแล้วเลือกร้านนี้เช่นกันเขาคงมีประสบการณ์กับเรื่องคนกินประชดความรัก  เธอจึงยิ้มให้กับเขา

 

ขอบคุณสำหรับคำปลอบใจ...       ไม่เป็นไร....และยินดีมากที่จะช่วยคุณเทเจ้ามันฝรั่งที่เหลือทิ้งให้คุณเอง   เบญจาพยักหน้าให้เขาด้วยความขอบคุณ อย่างน้อยเขาก็คิดว่าเธอชนะที่ยอมทิ้งมันฝรั่งถาดมโหฬารนั่นไป  เธอเดินออกจากร้านอาหารด้วยความรู้สึกที่อิ่มตื้อ

 

ท้องฟ้าข้างนอกมืดสนิทยิ่งกว่าเดิมจึงสนใจรู้เรื่องเวลามากขึ้นเธอเข้าไปในร้านอาหารนั้นนานถึงสามชั่วโมง  ถนนหน้ามหาวิทยาลัยมีรถแล่นผ่านไปมาไม่หนาแน่นนัก แต่มีนักศึกษาเดินกันควักไขว่มีร้านกาแฟริมถนนที่กางโต๊ะให้คนนั่งทั้งที่อากาศหนาวจัดก็ยังมีนักศึกษากลุ่มหนึ่งยอมนั่งทนลมหนาวจับกลุ่มคุยกัน

 

ไฮ้...เบน  มีใครคนหนึ่งเห็นเธอเข้า เบญจาโบกมือคล้ายไล่แล้วรีบเดินเข้าประตูรั้วมหาวิทยาลัยอย่างรวดเร็ว  เปิดกระเป๋าดึงบัตรนักศึกษาให้กับการ์ดหน้าประตูตรวจก่อนจะเดินสวนทางกับรถของนักศึกษาภาคค่ำที่เลิกเรียนแล้วขับออกมาเป็นทิวแถว  มีนักศึกษาเดินกันเร็ว ๆ ไม่สนใจใครรีบเร่ง เพราะอากาศเบื้องนอกหนาวจัดมาก  บางทีปีนี้หิมะอาจจะตกเร็วกว่าทุกปี เพราะอากาศที่หนาวจัดเหลือเกิน

 

เบญจาเดินผ่านห้องสมุดไปยังตึกหลังที่เห็นตะหง่านเป็นทิวแถวในดงต้นเชอร์รี่ที่ใบร่วงเกือบหมดต้นแล้ว  แสงไฟจากโคมดวงโตหน้าหอพักหญิงส่องให้เห็นรถคันใหญ่คุ้นตา  หัวใจของเธอเต้นระทึกขึ้นมาจนถึงคอหอย  แม้ใจอยากจะหันหลังกลับวิ่งหนีไปจากที่นี่แต่ทิฐิมานะบอกว่าเธอไม่ได้ทำอะไรที่ต้องวิ่งหนีเขา  เบญจาแข็งใจเดินเข้าไปเกือบจะถึงทางเข้าประตูรถของตรีก็เปิดออก  เขาก้าวลงมาพร้อมกับลากเอากระเป๋าใส่เสื้อผ้าสีชมพูของเธอติดมือลงมาด้วย

 

เบญจา  เขาเรียกเธอเสียงขรึมทำให้ไม่มีทางเลี่ยงเธอจึงเดินมาหยุดตรงหน้าเขาแล้วยื่นมือออกไปเพื่อขอกระเป๋าเสื้อผ้าของเธอคืน  เขายังยึดมันเอาไว้ไม่ส่งคืนให้เธอ  แค่อึดใจเดียวในเมื่อเขาไม่คืนเธอก็กลับหลังหันจะเดินกลับเข้าหอพัก   เธอเป็นอะไรไป  ตรีร้องถาม   ฉันสบายดี  เบญจาตอบเขาข้ามไหล่มา  ตรีตามมากระชากไหล่ให้เธอหันกลับมาหาเขาอย่างหยาบคาย

 

อย่าเดินหนีเวลาที่พี่พูดกับเธอ  เธอปัดมือเขาออกจากไหล่   ฉันทำอะไรก็ได้พี่ไม่มีสิทธิ์อะไรมาห้ามฉัน  เขาโยนกระเป๋าเสื้อผ้าของเธอทิ้งไปที่พื้นต่อหน้า  เหมือนเขาทิ้งผ้าสีแดงต่อหน้าวัวกระทิงแทนที่มันจะควิดผ้าตรีเจอกับเบญจาที่โยนกระเป๋าสะพายของเธอทิ้งแล้วกระโจนใส่เขาอย่างบ้าเลือด  พุ่งเข้าชนเขาจนร่างของตรีกระเด็นหงายหลังไปนอนแผ่บนพื้นหญ้าริมทางเข้าหน้าหอพักหญิง  เขาจุกแอ๊กกับแรงกดทับของร่างเบญจา  ยังไม่ทันที่เขาจะตั้งตัวได้ก็เจอหมัดของคนที่นั่งทับร่างรัวหมัดใส่อกเขาราวกับปืนกลชุดใหญ่

 

นี่แน่ะ....นี่แน่ะ....คนบ้าคนโง่ โง่ที่สุดในโลก  เบญจาโมโหจนลืมตัวต่อเขาไม่นับ   โอ๊ย...อะไรกันนี่   ตรีพยายามปัดป้องหมัดเธอที่ต่อเขาพยายามไม่ให้เธอทำร้ายเขาได้ถนัดพร้อมกับระวังไม่ให้ตนเองปัดหมัดไปถูกเธอเข้า  ไม่สำเร็จ เพราะเขาปัดพลาดไปถูกปลายคางเธอที่นั่งค่อมร่างเขาเอาไว้ พล๊อก....เสียงหมัดของเขากระทบกับขากรรไกรอ่อนบางดังเบา ๆ แต่เหมือนระเบิดในหูของเขา

 

ตรีเบิกตากว้างด้วยความตกใจที่เห็นเธอตาปรือแล้วตัวอ่อนร่วงจากอกของเขาเทลงไปกองกับพื้นหญ้าข้างตัวนิ่งเงียบ มันทำให้เขาตกใจจนหัวใจเกือบหยุดเต้นรีบผุดลุกขึ้นเข้ามาช้อนร่างของเธอขึ้นในวงแขนดวงตาอขงเธอหลับพริ้มหายใจระรวย  แม้แสงไฟจากโคมหัวเสาหน้าหอพักจะไม่สว่างนักน่าประหลาดที่เาเป็นรายละเอียดบนดวงหน้าเธอชัดเจนยิ่งก่าที่เคยเห็นมาถึงยี่สิบปี 

 

ใบหน้าเรียวมลขาวผ่องได้รูป จมูกเล็กแหลมโด่งอย่างคนดื้อรั้นหัวแข็งไม่ยอมใครรับกับดวงตารียาวเฉียงขึ้นหาขมับขอบตาสองชั้นอย่งไม่ลึกแต่ดวงตาของเธอก็ใหญ่ได้รูปเขาจำแววตาหวานดื้อรั้นของเธอได้แม้ยามที่หลับพริ้ม เพราะสลบไสลก็ตามไม่เคยลืม  เธอนอนนิ่งเงียบมากในอ้อมแขนของเขา  ทำให้หวั่นใจว่าเขาอาจจะทำให้เธอไม่สบายหนักก็ได้จึงเอื้อมมือไปไล้เบาบางคล้ายแตะของมีค่าสูงสุดที่ขากรรไกรข้างที่ถูกหมัดบังเอิญของเขา

 

เบญจา....เบน  เธอสะดุ้งนิดหนึ่งแล้วคืนสติกลับขึ้นมา    อุ้ย...อุ้ย....  เบญจาครางติดกันเป็นเสียงยาว ๆ ตามความเจ็บจากขากรรไกรสะเทือนไปถึงกะโหลกซีกซ้ายทั้งหมด  ตรีใจชื่นขึ้นที่เธอฟื้นขึ้นมาแล้วเริ่มขยับตัวในวงแขนเขา    เบน...น้องเบน  ตรีเขย่าร่างเรียกให้สติเธอเบา ๆ

 

ฉันเป็นอะไร   เธอยังงุนงงจำอะไรไม่ได้    มันเป็นอุบัติเหตุ ตรีตอบเสียงอ่อย ลุกขึ้นด้วยการพยายามประคองให้เธอลุกขึ้นยืนด้วย  ยืนไหวไหม  เขาถามเธอ  เบญจาพยายามตั้งขาตนเองให้แข็งด้วยแรงประคองของเขา  แต่หัวเข่ามันเหมือนเป็นวุ้นรับน้ำหนักไม่ค่อยได้  สติค่อย ๆ กลับมาอย่างช้า ๆ ความทรงจำก็กลับมาจึงกล่าวหาเขาทันที

 

พี่ตรีต่อยเบน    ก็บอกแล้วไงว่าไม่ตั้งใจมันเป็นอุบัติเหตุ  เบญจาพยายามปัดมือเขามออกทั้งที่ไม่ค่อยจะมีแรงคอย แต่จะทรุดตัวลงเรื่อย ๆ     ปล่อยนะคนโง่  ตรีรำคาญมาก จึงช้อนร่างของเธอขึ้นอุ้มทั้งตัว    หยุดเรียกผมว่าคนโง่ซะที       ปล่อยฉันลงนะ   เธอยังพยายามดิ้นรนจะลงจากอ้อมแขนเขาแต่ไม่มีแรงพอ

 

มีอะไรเกิดขึ้น  มีนักศึกษาสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ เพราะจำเบญจาเพื่อนร่วมหอพักได้  ตรีหันกลับไปทั้งตัวพูดโดยไม่สนใจแววตาสงสัยหรือหวาดระแวง  เบนไม่สบายคุณช่วยอะไรหน่อยได้ไหม  ท่าทีของสาวน้อยคนนี้กระตือรือร้นขึ้น เพราะเห็นท่าทางอ่อนระทวยของเบญจา

 

จะให้ทำอะไร    ผมจะไปส่งเบนที่ห้องเธอคงเดินไม่ไหวชี้ทางไปหน่อย...อ้อ...เก็บกระเป๋าของเพื่อนคุณตามมาด้วย  ไม่ต้องให้เตือนสาวน้อยรีบกระวีกระวาดรวบกระเป๋าสองใบของเบญจาขึ้นมา  ไปทางนี้ค่ะ  แล้วหล่อนก็รีบนำทางไป

 

สาวน้อยคนนำทางตะโกนเรียกคนไปตลอดทาง  ประตูห้องพักที่เรียงกันเป็นตับเปิดออกเกือบทุกบานที่มีสาวน้อยทั้งหลายในชุดนอนบ้างจนถึงชุดกางเกงยีนส์โผล่หน้าออกมามอง   เบนไม่สบาย  คนำทางร้องบอก  บางคนออกมาคิดว่าจะช่ยยพอเห็นตรีก็ร้องหวี้ดแล้วผลุบหายกลับเข้าไปในห้อง

 

มีผู้ชายเข้ามาในหอ  มีคนตะโกนบอกจึงไม่เห็นใครในชุดนอนโผล่ออกมาให้เห็นอีกเลยเมื่อไปถึงห้องพักของเบญจาที่ชั้นสอง  มีคนมาช่วยเปิดประตูห้องแล้วชี้เตียงหนึ่งในสามของห้อง  นั่นคือเตียงของเบน  ตรีวางร่างเบญจาลงบนเตียงที่มีคนมาช่วยตลบผ้าคลุมขึ้นให้  เบญจาหน้าบึ้งกอดอก   ไปได้แล้ว   เธอไล่เขา  ตรียักไหล่แล้วยอมเดินออกไปง่าย ๆ แค่เขาไปพ้นประตูเพื่อน ๆ ก็กรูกันเข้ามาล้อมเตียงของเธอ

 

เป็นอะไรไปเบน          ไม่สบายหรือ          เจ็บที่ไหนไหม     อยากได้ยาไหม

 

ผู้ชายคนนั้น            เขาเป็นใคร  เบญจาไม่ตอบคำถามทั้งหมดเธอตอบคำถามสุดท้ายของเพื่อนจอมซักของเธอเพียงประโยคเดียว         เขาคือคนโง่

 

ความคิดเห็น
 
แก้ไขข้อความ 
ผู้แสดงความเห็น

ตา ทาโร่
ขอบคุณมาก มากท่หานิยายดี ดีมาให่อ่าน....ขอบคุณจากใจ
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 6/14/2010 11:40:18 PM
 
แก้ไขข้อความ 
ผู้แสดงความเห็น

ปลา
สนุกมากๆๆๆขอบคุณค่ะ
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 4/29/2010 3:29:26 AM
 
แก้ไขข้อความ 
ผู้แสดงความเห็น

kiekie
-

ขอบคุณค่ะ

แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 12/11/2009 10:30:58 AM
 
แก้ไขข้อความ 
ผู้แสดงความเห็น

paenjung
ขอบคุณค่ะที่มาอัพต่อ สนุกมากๆๆๆ เป็นกำลังใจให้นะค่ะ
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 9/25/2009 12:20:10 PM
 
แก้ไขข้อความ 
ผู้แสดงความเห็น

เอื้อง
 ขอบคุณค่ะ สนุกมาก เมื่อไรจะมีต่อละค่ะ จะรออ่านค่ะ
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 9/3/2009 11:21:37 PM
 
แก้ไขข้อความ 
ผู้แสดงความเห็น

ez-ship09.com
ez-ship09@hotmail.com

ทางร้านขอขอบคุณทุกคนที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ หวังว่าคงไม่ทำให้ทุกท่านผิดหวังกับนิยายที่เราลงนะคะ ถ้าอ่านแล้วชอบหรือไม่ชอบอย่างไรก็บอกได้นะคะ แล้วจะพยายามเอามาลงให้อ่านกันเยอะ ๆ ค่ะ

                                                                                                                                    ขอบคุณจากใจ

                                                                                                                               www.ez-ship09.com

แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 5/17/2009 10:22:01 PM
  page 1 of 1 1
 
   
เว็บไซต์นี้ เป็นเว็บร้านค้าสมาชิกของ SABUYJAISHOP ผู้ให้บริการทางการตลาดออนไลน์ สำหรับร้านค้าหรือผู้ประกอบการ ที่ต้องการนำเสนอสินค้า โฆษณา ประชาสัมพันธ์ร้านค้า หรือสินค้าในร้าน

©2008-2009 SABUYJAISHOP All Rights Reserved