บ้านหลังหนึ่งชานกรุงนิวยอร์ก มีจุดเด่นที่ประตูบ้านสีแดงสด 
แต่หลังประตูสีแดงบานนั้น เต็มไปด้วยสมาชิกในบ้านที่ไม่มีใครยอมเปิดใจต่อกัน 
ลองแง้มไปดูเราพบครอบครัว "หว่อง" อันประกอบด้วย พ่อ แม่ และลูกสาวทั้ง 3 คน 
ลองลอบมองเข้าไปเห็นสมาชิกในครอบครัวกำลังนั่งร่วมโต๊ะกินข้าวเย็นในวันเกิดของพ่อ 
และเราก็รู้ได้ทันทีว่าครอบครัวนี้กำลังมีปัญหาการ "สื่อสาร" ระหว่างกัน
 
"ซาแมนธา" ลูกสาวคนโตที่กำลังจะจัดงานแต่งงานกับแฟนหนุ่ม 
ปฏิเสธไม่ใส่ชุดแต่งงานสีแดงตามแบบธรรมเนียมจีน
อีกทั้งเวิร์กกิ้งวูแมนอย่างเธอกำลังประสบปัญหาความไม่มั่นคงทางจิตใจ
ในการจะสร้างครอบครัวใหม่
 
"จูลี่" ลูกสาวคนรองนักเรียนแพทย์ฝึกหัดผู้มีโลกส่วนตัวที่ใครในบ้านก็เข้าไม่ถึง 
ความเงียบของเธอทำให้เธอดูเหมือนไม่มีปัญหา ไม่มีอะไรน่าห่วง 
แต่อันที่จริงเธอเลือกที่จะไม่พูดกับสมาชิกในบ้าน แต่หันไปเล่าให้แฟนสาวฟังแทน
 
และน้องสาวคนสุดท้อง "เคธี่" นักเรียนไฮสคูลผู้มีความห่ามพิสดารทำตัวแปลกๆ เฉยเมย 
และไม่แคร์กับปัญหาใครในครอบครัว นอกจากฟังไอพอด 
และคิดแผนการกลั่นแกล้งเพื่อนนักเรียนหนุ่มที่ตัวเองปิ๊ง
 
ปัญหาของลูกสาวแต่ละนางรวมกับปัญหาการ "สื่อสาร" ล้มเหลวระหว่างกันในครอบครัว 
ทำให้เกิด "ช่องว่าง" ทั้งจากวัย มุมมอง สิ่งแวดล้อม 
และมันสะท้อนได้ชัดเจนว่าครอบครัวประตูสีแดงนี้กำลังโหยหา "ความสุข"
 ที่ไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหน เพราะสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าจะว่าทุกข์ก็ไม่ จะว่าสุขหรือก็เปล่า
 
สภาพชีวิตแบบนี้ทำให้ "เอ็ด" พ่อที่เพิ่งเกษียณจากชีวิตทำงานคิดจะฆ่าตัวตายหลายต่อหลายครั้ง 
แม้กระทั่งในวันเกิดตัวเองที่ลูกๆ กับแม่นั่งรอกินข้าวกันพร้อมหน้า พ่อยังไม่วายจะพยายามฆ่าตัวตาย 
(หนังนำเสนอแนวตลกร้าย ไม่ว่าพ่อจะพยายามอย่างไรก็มักจะถูกขัดจังหวะโดยบังเอิญหรือทำไม่สำเร็จ)
 
การสื่อสารที่ล้มเหลวของสมาชิกในบ้าน ทำให้พ่อที่ไม่รู้จะสื่อสารกับลูกสาว 3 คนอย่างไร 
หาทางออกด้วยการนั่งดูเทปวิดีโอเก่าๆ ของลูกสาวทั้ง 3 คน ตั้งแต่ยังเด็กๆ ทดแทน
 ดูเงียบๆ ยิ้มคนเดียว ดูจบไปแต่ละม้วนก็ไม่ได้ดีขึ้น แต่กลับทุกข์ขึ้น 
จนสุดท้ายเมื่อพยายามฆ่าตัวตายหลายต่อหลายครั้งไม่สำเร็จ 
ต้องหนีออกจากบ้านไปนั่งปฏิบัติธรรมแทน
 
ชาวจีนเชื่อกันว่าทาประตูบ้านสีแดงแล้วจะนำโชคและความสุขมาให้ผู้เป็นเจ้าของบ้านและสมาชิกอื่นๆ ในบ้าน 
แต่กับครอบครัว "หว่อง" Chinese-American เจ้าของบ้านประตูบ้านสีแดงเข้มกำลังเผชิญกับเงาเมฆครึ้มปกคลุม 
สมาชิกในครอบครัวที่ต่างก็มีร่องรอยความไม่เข้าใจ เหินห่าง และมีช่องว่างระหว่างกันมากขึ้น
 
Red Doors นำเสนอความล้มเหลวในการ "สื่อสาร" กันระหว่างสมาชิกในครอบครัว
โดยเรื่องราวที่ว่า "จอร์เจีย ลี" ผู้กำกับฯ Chinese-American ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากครอบครัวของเธอเองด้วย 
และบางส่วนบางตอนของครอบครัวก็ถูกนำมาเล่าอยู่ในหนัง
 
กว่าที่ Red Doors หรือประตูความสุขจะกลับมาหาครอบครัว "หว่อง" ได้ 
พวกเขาก็ตระหนักได้ว่าได้ปล่อยช่องว่างระหว่างการสื่อสารไว้
ให้เกิดเป็นพื้นที่แห่งความไม่เข้าใจ และค้างคาใจ
 
ในที่สุดลูกๆ ได้ค้นพบว่าอาการโหยความสุขของพ่อต้องเยียวยาหนักกว่าแค่พาพ่อไปบำบัดกับจิตแพทย์ 
แต่พวกเขาต้องรู้จัก "สื่อสาร" กับพ่อ และก็เลือกใช้เทปวิดีโอในวัยเด็กของพวกเธอแปลงลงแผ่นซีดียื่นกลับไปให้พ่อ
 
นั่นทำให้ "การสื่อสาร" เริ่มเปิดประตูให้ครอบครัว "หว่อง" ขึ้นอีกครั้ง
 
ส่วนประตูที่เริ่มเปิดจะเป็นประตูแห่งความสุขแท้จริงหรือไม่ 
Red Doors  กำลังจะบอกเราว่าหากความเชื่อที่ว่า "ประตูสีแดง" จะให้โชค
 และเสริมความสุขผู้เป็นเจ้าของบ้านแล้ว
 คนเราก็มักจะพบความสุขโดยบังเอิญมากกว่าจะไขว่คว้าความสุขโดยวางแผน
 และต้องยอมรับความทุกข์ให้ได้ว่ามันก็ไม่เป็นเรื่องเสียหายเสมอไป