คำถามที่พบบ่อย
ถาม : ทำไมต้องอยู่ไฟ หลังคลอดบุตร
ตอบ : เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์และอุ้มท้องเป็นเวลานานถึง 9 เดือน ในร่างกายคุณแม่มีอะไรหลายอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป คุณแม่มีน้ำหนักตัว
มากขึ้น รับประทานอาหารมากขึ้น ซึ่งอาหารที่เหลือจะถูกสะสมในรูปของไขมัน เพื่อเตรียม การคลอด และสร้างน้ำนมเพื่อเลี้ยงดูบุตร
ผนังหน้าท้องของคุณแม่จะขยายใหญ่ขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้อง และต้นขาเกร็งตัวตลอดเวลา คุณแม่จะมีอาการปวดหลังบาง
คนมีภาวะท้องผูก หน้าท้องแตกลาย ขาบวม เป็นต้น ภูมิปัญญาไทยในสมัยโบราณจึงหาวิธีแก้ไขและฟื้นฟูให้กลับสู่สภาพเดิม โดยการ
อยู่ไฟ ซึ่งระยะเวลาของการอยู่ไฟ ประมาณ 7-30 วัน
ปรากฏว่า คุณแม่สมัยโบราณ มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ ปราศจากภาวะแทรกซ้อน เช่น อาการสะบัดร้อนสะบัดหนาว อาการ
หนาวสะท้าน อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย เลือดลมมาไม่ปรกติ
พลิกพื้นภูมิปัญญาไทย สู่คุณแม่ยุคใหม่ ที่ใส่ใจสุขภาพ ด้วยแผนฟื้นฟูสุขภาพ และความงามหลังคลอด ด้วย ภูมิปัญญาไทยสมัย
โบราณมาพัฒนาให้ทันสมัย สะดวกและไม่ยุ่งยาก
• ปัญหาหน้าท้อง และผิวแตกลาย
• ปัญหาเซลลูไลท์
• อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย
• ผิวพรรณหมองคล้ำ และรอยคราบด่างดำ
• มีอาการหนาวสะท้านเมื่อเห็นฝนเริ่มตั้งเค้า
• อารมณ์แปรปรวน เลือดลมมาไม่ปรกติ
ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ สามารถบรรเทาลงได้ด้วย การแพทย์แผนไทยผสมผสานด้วยสมุนไพรสดกับการอยู่ไฟ ครบสูตรแผนโบราณ
ถาม : ผู้หญิงหลังคลอดควรจะอยู่ไฟเมื่อไร
ตอบ : หลังคลอดธรรมชาติ 7 – 10 วัน
หลังผ่าตัดคลอด 30 – 45 วัน (ให้แผลผ่าตัดแห้งสนิทก่อนจึงค่อยทำการอยู่ไฟ)
ถาม : ประโยชน์ที่ได้รับจากการอยู่ไฟ
ตอบ : สุขภาพของมารดาแข็งแรงและฟื้นตัวเร็วเป็นการปรับสมดุลของธาตุทั้งสี่ อันได้แก่ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ
ช่วยขับน้ำคาวปลาช่วยทำให้มดลูกแห้งและเข้าอู่เร็วขึ้น ทำให้ท้องยุบเร็ว หน้าท้องไม่ย้วยย้อย สะโพกคงสภาพกลมกลืน เป็นการรักษาเรือนร่าง ให้คงความอรชรสมส่วน
ช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย ช่วยให้ผิวพรรณสดใส มีน้ำมีนวล ช่วยให้การไหลเวียนโลหิตดีขึ้น
สมุนไพรไฟชุดตำราหลวง ช่วยในการปรับอุณหภูมิร่างกายป้องกันการเกิดตะคริว อาการหนาวสะท้าน ปวดกระดูก ช่วยให้หน้าท้องยุบ กลับคืนสู่สภาพเดิมได้เร็วยิ่งขึ้น
ช่วยป้องกัน กลุ่มอาการแทรกซ้อน เมื่อเข้าสู่วัยทอง ได้แก่ อาการหงุดหงิด หนาวสั่น อารมณ์ไม่คงที่ ตลอดจนอาการร้อนวูบวาบ ตามร่างกาย
การนวดเต้านมช่วยเพิ่มปริมาณน้ำนมและเป็นการช่วยเสริมสร้างความพร้อมสำหรับมารดาที่ให้นมบุตรด้วยตนเอง
ถาม : วิธีการดูแลตัวเองหลังคลอดทำอย่างไร
ตอบ : หลังคลอดมดลูกจะหดตัวกลับมามีขนาดเท่ากำปั้นเหมิอนเดิม พร้อมๆ กับเคลื่อนกลับเข้าที่เดิมซึ่งจะใช้เวลา 12 -15 วัน ในช่วง
ระหว่างนี้ คุณยังต้องไปเข้ารับการตรวจหลังคลอด อยู่อีกระยะหนึ่ง
การตรวจหลังคลอด
ลักษณะคล้ายการตรวจภายใน โดยคุณหมอจะเริ่มจากตรวจสภาพภายนอกก่อนเพื่อดูว่าแผลฝีเย็บ( ในกรณีคลอดเอง ) เป็นอย่างไร
และตรวจดูแผลผ่าตัดหน้าท้อง (ในกรณีผ่าตัดคลอด ) ว่าแผลเป็นอย่างไร มีการปริแตกไหม ติดเชื้ออักเสบหรือไม่ ตรวจเบาหวานดู
ระดับน้ำตาลหลังคลอดจากนั้นจะเป็นการตรวจภายในว่า …
- มดลูกเข้าอู่หรือยัง ซึ่งปกติแล้วแล้วจะใช้ระยะเวลา 4-6 สัปดาห์หลังคลอด
- เช็คมะเร็งปากมดลูก ถุงน้ำที่รังไข่ ปีกมดลูกทั้งสองข้าง
ถาม : หลังคลอดควรมีระยะพักฟื้นเท่าไร
ตอบ : หลังคลอด คุณแม่จะต้องนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลก่อน 2-3 วัน เพื่อรอดูอาการข้างเคียง ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ซึ่งคุณหมอจะตรวจ
ดังนี้คือ
- มีอาการไข้ตัวร้อน ซึ่งบ่งบอกว่ามีอาการอักเสบเกิดขึ้นที่บริเวณแผลคลอด หรือมดลูก
- ยังมีอาการปวดบวมมดลูกอยู่หรือไม่ ซึ่งปกติแล้วอาการดังกล่าวควรจะหายไปภายใน 2 – 3 วันหลังคลอด
- น้ำคาวปลามีสีจางลง และมีปริมาณลดลงหรือไม่ ถ้าพบว่ามีปริมาณเพิ่มขึ้น หรือสีไม่จางลงเลย อาจเป็นสัญญาบอกถึงการ
อักเสบของโพรงมดลูก หรือมีเศษรก ตกค้าง อยู่ภายใน
ถาม : วิธีการสร้างน้ำนมของแม่เป็นอย่างไร
ตอบ :ปกติแล้วร่างกายของคุณแม่ตั้งครรภ์จะผลิตน้ำนมออกมาเพียงพอสำหรับการเลี้ยงเจ้าตัวเล็กไปนาน เป็นปีเลยทีเดียว แต่ก็มีบ้างที่
คุณแม่บางท่านประสบปัญหาน้ำนมมีน้อย ลองวิธีต่อไปนี้ดูซิคะ
- ประคบด้วยผ้าชุบน้ำอุ่นที่เต้านม ก่อนให้ลูกกินประมาณ 3-5 นาที นวดเต้านมก่อน และในขณะให้นมลูก
- กระตุ้นหัวนมและลานนมเบาๆ
- ให้นมหรือบีบน้ำนมให้ลูกสม่ำเสมอประมาณ 8-12 ครั้ง ใน 24 ชม.
- ดื่มน้ำนมมากๆ โดยเฉพาะในช่วงก่อนให้น้ำนม ควรดื่มน้ำเปล่าสัก 1 แก้วเป็นประจำ
นอกจากนี้อาหารที่คุณแม่รับประทานเข้าไป ก็มีความสำคัญต่อกระบวนการสร้างน้ำนม ที่เต็มไปด้วยด้วยคุณค่า สารอาหาร ที่มี
ประโยชน์ ต่อการเจริญเติบโต ของทารกน้อยเช่นกัน นมแม่มีภูมิต้านทาน ช่วยป้องกันเชื้อโรคโดยเฉพาะอย่างยิ่งหัวน้ำนมของแม่ที่
หลั่งออกมา ในช่วงวันแรก หลังคลอดจากการศึกษา น้ำนมแม่จาก สหรัฐอเมริกา ยุโรป และเอเชีย พบว่าในน้ำนมแม่ มีสารอาหาร
Nucleotide ( TPAN* 68-72 มก./ลิตร ) ซึ่งเป็นสารอาหารที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะทำหน้าที่เปรียบเสมือนวัคซีนชนิด
แรกที่ลูกจะได้รับจากน้ำนมแม่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันป้องกันโรคต่างๆ