27กันยายนถึง 5ตุลาคม 2554
|
เทศกาลเจ เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 400 ปีมาแล้วในประเทศจีน ตามตำนานระบุว่าเกิดขึ้นในสมัยที่ชาวจีนถูกแมนจู
เข้ามาปกครองและบังคับชนชาติจีนยอมรับวัฒนธรรมของตนสมัยนั้นเองมีคนจีนกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันต่อต้านแมนจูโดยใช้
หลักทางธรรมเข้าร่วมด้วยชาวจีนกลุ่มนี้นุ่งขาว ห่มขาวและไม่รับประทานเนื้อสัตว์ ตามความเชื่อว่าการประพฤติปฏิบัติ
ตามแนวทางนี้จะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับตนเองได้
คนกลุ่มนี้เรียกตัวเองว่า"หงี่หั่วท้วง"แต่ท้ายที่สุดก็พ่ายแพ้ต่อแมนจูและพลีชีพไปจำนวนมากทุกวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 ชาวจีนที่ยังอยู่ภายใต้การปกครองของแมนจู จึงพร้อมใจกันถือศีลกินเจ เพื่อรำลึกถึง "หงี่หั่วท้วง"นอกจากนั้นการกินเจยังเชื่อกันว่าเพื่อเป็นการสักการะพระพุทธเจ้า 7 พระองค์และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ รวมเป็น 9 พระองค์ หรือดาวนพเคราะห์ทั้ง 9เทศกาลกินเจของคนเชื้อสายจีนในไทยก็เป็นไปตามความเชื่อข้างต้นคือเพื่อสักการบูชาพระพุทธเจ้า และเจ้าแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์
ในพิธีกรรมนี้งดเว้นการฆ่าสัตว์ ตัดชีวิตหันมาบำเพ็ญศีล โดยตั้งปณิธานการกินเจ งดเว้นอาหารคาวเพื่อสมาทานศีลคือ
1) เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์มาบำรุงชีวิตของตน
2) เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์มาเพิ่มเลือดของตน
3)
การปฏิบัติตัวช่วงเทศกาลกินเจ
· งดเว้นเนื้อสัตว์หรือทำอันตรายต่อสัตว์
· งด นม เนย หรือน้ำมันจากสัตว์
· งดอาหารรสจัด หมายถึงอาหารรสเผ็ดมาก เค็มมาก หวานมาก เปรี้ยวมาก
· งดผักกลิ่นฉุน 5 ชนิด คือ กระเทียมหัวหอม หลักเกียว กุยช่าย
ใบยาสูบรวมทั้งเครื่องเทศที่มีกลิ่นฉุน
· รักษาศีล 5
· รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์รักษาอารมณ์ให้คงที่
· ทำบุญ ทำทาน บางคนที่เคร่งอาจนุ่งขาวห่มขาว
|
เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์มาเพิ่มเนื้อของตน
ความหมายของธงเจ
อักษรแดง บนพื้นเหลือง เขียนว่า"ไจ"หรือ"เจ"มีความหมายว่า "ของไม่มีคาว"สีแดงเป็นตัวแทนของความเป็นสิริมงคลในชีวิตส่วนสีเหลืองเป็นสีของพุทธศาสนา หรือผู้ทรงศีล
ธงเจนอกจากเป็นสัญลักษณ์ของอาหารเจแล้ว และยังเตือนพุทธศาสนิกชนที่ปฏิบัติตน "ถือศีล-กินเจ" ให้ตระหนักถึงการไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์และตั้งอยู่ในศีลตลอดช่วงระยะเวลา 9 วัน 9 คืน
"อาหารเจ"เป็นอาหารที่ปรุงขึ้นจากพืชผักธรรมชาติล้วนๆ ไม่มีเนื้อสัตว์ปนและที่สำคัญต้องไม่ปรุงด้วยผักฉุนทั้ง 5ตามความเชื่อทางการแพทย์จีน ของผักเหล่านี้มีรสหนักกลิ่นรุนแรง เป็นเหตุให้อวัยวะหลักสำคัญภายในทั้ง 5 ทำงานไม่ปกติสำหรับคนที่กินเจอย่างเคร่งครัด นอกจากจะ"ถือศีล-กินเจ"แล้ว ยังต้องเลือกผู้ปรุงอาหารเจที่กินเจด้วยเพื่อให้"อาหารเจ"นั้นบริสุทธิ์จริงๆบางคนจะคัดแยกภาชนะบรรจุหรือปรุงอาหารจากที่ใช้ใส่อาหารที่มีเนื้อสัตว์อย่างเด็ดขาดและในบางแห่งอาจพบว่ามีการจุดตะเกียงเก้าดวงไว้เป็นเวลา 9 วันตลอดระยะเวลากินเจ เพื่อรำลึกถึงบุญคุณพ่อแม่ญาติพี่น้องและเพื่อเป็นพุทธบูชา
การกินเจทำได้ 2 แบบคือ
1) กินเป็นกิจวัตร คือ ละเว้นการกินเนื้อสัตว์ทั้ง 3 มื้อทุกวัน
2) กินเฉพาะช่วงกินเจ คือ กินเจช่วงวันขึ้น 1 ถึง 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีน
ส่วนจะปฏิบัติที่เคร่งครัดกว่าหรือเกินความคิดคำนึงพื้นฐานของคนทั่วไป เช่น ลุยไฟ ใช้เหล็กเสียบแทงตนเองหรือม้าทรงต่างๆ ในเทศกาลกินเจที่ภูเก็ต หรือตรัง นั่นคือความเชื่ออันแรงกล้าทำให้เกิดสิ่งที่ตนคิดว่าเป็นไปได้เสมอ
แนะกินเจให้ถูกหลัก สร้างสมดุล-ลดเสี่ยง 5 โรคร้าย
นพ.ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่าเทศกาลกินเจ ประชาชนจะต้องกินเจให้ถูกหลักโภชนา คือ ต้องกินอาหารให้ได้สัดส่วนครบทั้ง 5 หมู่ และต้องกินผักผลไม้ให้เพียงพอ เพื่อสร้างความสมดุลต่อร่างกายและจะทำให้ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายทั้ง 5 โรคเบาหวาน มะเร็งความดันโลหิตสูง หลอดเลือดหัวใจ และสมองตีบ
อธิบดีกรมอนามัย กล่าวต่อว่า หากกินอาหารเจตามแฟชั่นคือ กินอาหารที่มีแป้ง อาหารทอดผัด และ มีความมันสูง จะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มและมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้าย โดยเฉพาะโรคอ้วนและความดันโลหิตสูงจึงแนะควรกินเจอย่างระมัดระวัง เน้นอาหารต้ม นึ่ง ย่าง และ ยำ ให้หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด หวาน มันและเค็มเพื่อรักษาสุขภาพในช่วงกินเจ
ที่สำคัญอาหารเจ งดเว้นการปรุงการเสพพืชผักฉุน 5 ประเภทได้แก่
1) กระเทียม หัวกระเทียม ต้นกระเทียม
2) หัวหอม ต้นหอม ใบหอม หอมแดง หอมขาว หอมหัวใหญ่
3) หลักเกียวคือ กระเทียมโทนจีน ลักษณะคล้ายหัวกระเทียมแต่มีขนาดเล็ก
และยาวกว่าในประเทศไทยไม่พบว่าปลูกแพร่หลาย
4) กุ้ยฉ่ายใบคล้ายใบหอมแต่แบนและเล็กกว่า
5) ใบยาสูบ บุหรี่ยาเส้น ของเสพติดมึนเมา
ผักเหล่านี้มีกลิ่นรุนแรง ถือว่าอาหารดังกล่าวทำให้เกิดกำหนัดด้วยเหตุเป็นพิษทำลายพลังแห่งธาตุทั้ง 5 ในร่างกายเป็นมูลเหตุให้อวัยวะหลักสำคัญภายในทั้ง 5 ทำงานไม่ปกติมีฤทธิ์กระตุ้นจิตใจอารมณ์ให้เร่าร้อน ใจคอหงุดหงิดง่ายและยังมีผลทำให้พลังธาตุในกายรวมตัวกันได้ยาก
การกินเจนั้นแต่เดิมหมายความถึง "การรับประทานอาหารก่อนเที่ยงวัน" ตามแบบอย่างของพระพุทธศาสนา เราจะเห็นตัวอย่างชาวพุทธรักษาอุโบสถศีล หรือรักษาศีล 8 ด้วยการไม่รับประทานอาหารหลังจากเที่ยงไปแล้วเช่นเดียวกับพระภิกษุ แต่สำหรับพุทธนิกายมหายานนั้น การรักษาอุโบสถศีลจะรวมถึงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์ด้วย จึงนิยมเรียกการไม่กินเนื้อสัตว์ไปรวมกับการกินเจ จนถึงปัจจุบัน ผู้ที่รับประทานอาหารครบ 3 มื้อ แต่ไม่กินเนื้อสัตว์ยังคงเรียกว่า "กินเจ
"เจ" กับมังสวิรัติ
อาหารมังสวิรัติ คือ อาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบเช่นเดียวกับอาหารเจ แต่หากเป็นมังสวิรัตินั้น สามารถนำผักทุกชนิดมาประกอบอาหารได้ แต่อาหารเจ ต้องงดเว้นผักฉุน 5 ประเภท (ดังที่กล่าวมาแล้ว) รวมทั้งของเสพติดทุกชนิด และยังคงต้องประพฤติศีลร่วมด้วย จึงจะเป็นการ ถือศีล-กินเจ ที่แท้จริง ในขณะที่มังสวิรัติ หมายรวมถึงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์เท่านั้น
การกินเจ นอกจากจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของการสร้างบุญกุศลด้วยการละ เลิก เพื่อชีวิตแล้ว ในแง่ของสุขภาพร่างกายก็พลอยได้รับประโยชน์ร่วมด้วย เพราะถือเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่ร่างกายมีโอกาสพักผ่อน จากการย่อยอาหารประเภทที่ย่อยยากทั้งหลาย
กินเจเพื่ออะไร
จุดประสงค์หลักของการกินเจ แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทคือ
1. กินเพื่อสุขภาพเพราะอาหารเจเป็นอาหารชีวจิต เมื่อกินติดต่อกัน จะทำให้ร่างกายสมดุลสามารถขับพิษของเสียต่างๆ ออกจากร่างกายได้ และปรับระบบต่างๆในร่างกายให้มีเสถียรภาพ
2. กินด้วยจิตเมตตาเนื่องจากทุกๆ วันอาหารที่เรากินประกอบด้วยเลือดเนื้อของสรรพสัตว์ผู้ที่มีจิตใจดีงามจึงไม่สามารถกินเนื้อของสัตว์เหล่านั้นได้
3.กินเพื่อเว้นกรรมเพราะการฆ่าเอาเลือดเนื้อผู้อื่นมาเป็นของเราเป็นการสร้างกรรมแม้จะไม่ได้ลงมือฆ่าเองก็ตาม เพราะการซื้อผู้อื่นเท่ากับการจ้างฆ่าถ้าไม่มีคนกินก็ไม่มีคนฆ่ามาขาย ผู้ที่เข้าใจเรี่องกฎแห่งกรรมจึงหยุดกินหันมารับประทานอาหารเจแทน โดยไม่เห็นแก่ความอร่อยในช่วงเวลาสั้นๆเพียงแค่ให้อาหารผ่านลิ้นเท่านั้น
จังหวัดภูเก็ตเป็นจังหวัดที่จัดประเพณีการกินเจอย่างยิ่งใหญ่ทุกๆ ปีโดยมาจากรากฐานความเชื่อเดียวกัน คนจีนเรียก"เจเดือนเก้า"แต่ถ้านับตรงกับเดือนไทยก็จะได้ตรงกับเดือน 11 ดังนั้นเทศกาลกินเจที่ภูเก็ตจึงมีขึ้นหลังเทศกาลกินเจทั่วๆไปบางครั้งเราจึงมักได้ยินชื่อเรียกของเทศกาลกินเจที่ภูเก็ตว่า เป็นเทศกาลกินผักซึ่งแท้จริงแล้วก็คือการกินเจในรูปแบบ และระยะเวลา 9 วันเช่นเดียวกัน
ประโยชน์ของการกินเจ
การกินอาหารเจ นอกจากจะเป็นการถือศีลรักษาประเพณีและละเว้นชีวิตแล้ว ยังให้ประโยชน์ต่อร่างกายดังนี้
1. ร่างกายสามารถขับถ่ายของเสียออกได้หมดทำให้ไม่มีสารพิษตกค้างอยู่ภายในเพราะสารอาหารจากพืชผักและผลไม้จะช่วยให้ระบบขับถ่ายและการย่อยเป็นปกติ
2. เมื่อรับประทานเป็นประจำโลหิตจะถูกฟอกให้สะอาดขึ้นเรื่อยๆเซลล์ต่างๆของร่างกายเสื่อมสลายช้าลง ทำให้อายุยืนยาวมีผิวพรรณสดชื่นผ่องใสร่างกายแข็งแรงรู้สึก มีสุขภาพดี
3. อวัยวะหลักสำคัญภายในได้แก่ หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด และอวัยวะประกอบคือ ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็กกระเพาะปัสสาวะ กระเพาอาหาร ถุงน้ำดีแข็งแรงทำงานได้เป็นปกติสมบูรณ์
4. ร่างกายสามารถต้านทานต่อสารพิษต่างๆได้แก่ สารเคมียาฆ่าแมลง มลภาวะ และก๊าซพิษที่เกิดจากการเผาไหม้ในอุตสาหกรรม ไอเสียจากเครื่องจักรเครื่องยนต์ ซึ่งสารอาหารในพืชผัก จะช่วยให้เซลล์ต่างๆในร่างกายสามารถทนต่อการทำลายจากรังสีต่างๆ ได้
5. สามารถต้านทานสารพิษได้สูงกว่าคนปกติในบรรดาผู้ที่ทานเจมักไม่ปรากฎโรครุนแรงหรือเรื้อรังเช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดตีบ ไขมันอุดตันในเส้นเลือดโรคไต ฯลฯ โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวกับระบบขับถ่าย ย่อยอาหารและทางเดินอาหาร เช่นโรคริดสีดวงทวาร มะเร็งในกระเพาะและลำไส้ โรคกระเพาะ อาหารไม่ย่อยโรคเหล่านี้จะไม่พบเลยในกลุ่มคนผู้ที่รับประทานอาหารเจอาหารพืชผักและผลไม้เป็นประจำ
6.การกินเจทำให้เกิดความเมตตาเกิดความสงบสุขุมอารมณ์ไม่ฉุนเฉียว ไม่โมโหง่ายซึ่งจะช่วยเกื้อกูลส่งเสริมให้บารมีธรรมสูงขึ้นเรื่อยๆ
การกินเจนอกจากจะช่วยซ่อมแซมร่างกายของตัวเองแล้วยังหยุดการเบียดเบียนผู้อื่น เป็นการสร้างกุศลอิ่มใจแล้วก็อิ่มบุญอีกต่อใครที่ไม่เคยกินเจ จะเริ่มในปีนี้ ก็ไม่สายเกินไปนะครับ
ที่มา นสพ.ข่าวสด
|