อาการเตือนของโรคเบาหวาน
อาการเตือนของโรคเบาหวาน ทั้งประเภท 1 และ 2 มีอาการหลายๆอย่างที่คล้ายกัน เบาหวานทั้งสองประเภทนั้น เกิดจากการที่ ระดับน้ำตาลกลูโคส ที่สูงจนเกินไปในกระแสเลือด แต่ เซลล์เกิดภาวะขาดน้ำตาล เนื่องจากไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ผู้ป่วยโรคเบาหวานจะมี อาการเตือน ดังต่อไปนี้ Sponsored Links :
เข้าห้องน้ำบ่อย :
หากคุณสังเกตว่าตัวเองต้องเดินเข้าห้องน้ำบ่อยกว่าปกติ เช่น ปวดท้องฉี่ง่ายต้องเดินเข้าห้องน้ำเกือบทั้งวัน การฉี่บ่อย เป็น สัญญาณว่ามีระดับ น้ำตาลกลูโคสมากเกินไปในเลือด เนื่องจากถ้าหากขาด อินซูลิน หรือ ว่าอินซูลินทำงานได้แบบไม่มีประสิทธิภาพ ไตจะไม่สามารถที่จะกรองกลูโคสกลับเข้าไปในกระแสเลือดได้ ผลที่ตามมาก็คือ ไตจะพยายามดึงน้ำออกจากกระแสเลือดเพื่อที่จะทำให้ระดับน้ำตาลเจือจางลง ซึ่งเป็นผลให้ปวดท้องฉี่ตลอดเวลา (คำว่า เบาหวาน มาจาก คำว่า ฉี่+หวาน นั่นเอง )
กระหายน้ำตลอดเวลา :
ถ้าคุณรู้สึกว่าคุณกินน้ำเท่าไรก็ไม่สามารถเบาเทาความกระหายได้ นั่นก็อาจเป็น อาการเตือนว่า คุณกำลังมีอาการของโรคเบาหวาน ยิ่งถ้าหาก มันความกระหายของคุณมันควบคู่ไปกับ การที่คุณต้องวิ่งเข้าห้องน้ำตลอดเวลา ด้วยเหตุผลเดียวกับที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ร่างกายของคุณดึงน้ำออกจากกระแสเลือด และ เมื่อคุณต้องวิ่งเข้าน้ำตลอดเวลา ทำให้คุณขาดน้ำ มันจึงเป็นผลทำให้คุณรู้สึกหิวน้ำ เพื่อกระตุ้นให้มีการดื่มน้ำเพื่อชดเชย น้ำที่ขาดไป
น้ำหนักลดโดยไม่มีสาเหตุ :
อาการนี้จะเห็นได้ชัดเจน กับ ผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภทที่ 1 เมื่อตับอ่อนไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เนื่องจาก เซลล์ของมันถูกทำลายงด้วยระบบภูมิคุ้มกัน จึงส่งผลให้เกิดผลกระทบต่อการเผาผลาญพลังงาน ร่างกายย่อมต้องนำแหล่งพลังงานที่ไม่ได้มาจากน้ำตาลกลูโคส มันจึงจำเป็นที่จะต้องใช้พลังงานจากไขมัน หรือ แม้กระทั่ง ย่อยสลายโปรตีนจากกล้ามเนื้อบางส่วน อาการน้ำหนักลดแบบไม่มีสาเหตุนี้ อาจจะเห็นได้อย่างไม่ชัดเจนนัก ในผู้ป่วยเบาหวานประเภทที่ 2 เนื่องจาก สาเหตุของการป่วยในแบบนี้เกิดจากการที่ เซลล์ดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งขบวนการมักจะเป็นไปแบบค่อยเป็นค่อยไป
เหนื่อยง่าย : ดังที่กล่าวไปแล้ว เมื่อร่างกายไม่สามารถเผาพลาญพลังงานจากน้ำตาลได้ มันจึงต้องไปดึงพลังงานงานจากไขมันมา ซึ่งผลกระทบก็คือ ทำให้เกิดอาการเหนื่อยง่าย การดึงพลังงานจากไขมันเพียงอย่างเดียวบางครั้งก็อาจไม่เพียงพอ
แผลหายช้าและติดเชื้อได้ง่าย : น้ำตาลกลูโคสในเลือดที่สูงเกินไป จะทำให้ เม็ดเลือดขาวซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการต่อสู้กับ แบคทีเรีย และ ทำความสะอาดเนื้อเยื่อและเซลล์ที่ตายไป ทำงานยากขึ้น เมื่อเซลล์เม็ดเลือดขาวไม่สามารถทำงานได้อย่างปรกติ มันจึงทำให้แผลหายช้า และ การติดเชื้อก็เป็นไปได้ง่ายขึ้น และ โรคเบาหวานก็ทำให้หลอดเลือด ตีบและแคบลง ซึ่งส่งผลให้การไหลเวียนของโลหิตเป็นไปได้ยาก การถ่ายเท ของ อาการและสารอาหาร จึงเป็นไปได้ยากขึ้น
อาการชาบริเวณมือและขา:
อาการชา บริเวณมือและขา เกิดจากการที่ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเกินไป ทำลายระบบประสาท อาการนี้จะเป็นแบบ ค่อยเป็น ค่อยไป โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวานแบบประเภท 2 ซึ่งป่วยส่วนมากจะไม่อาจจะไม่ค่อยสังเกต น้ำตาลในเลือดอาจจะสูงเป็นปีๆ ก่อนที่ผู้ป่วยจะได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ ทำให้ ระบบประสาทถูกทำลายไปมากโดยที่ผู้ป่วยไม่ทราบ แต่อย่างไรก็ดี หากมีการเริ่มควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสมก็จะทำให้อาการดีขึ้นได้