นักวิจัย ม.เกษตรฯ ค้นพบยีสต์มีประโยชน์เกินคาด
สามารถป้องกันมะเร็งได้ถึง 10 ชนิด และเบาหวานได้
แนะใช้เป็นอาหารเสริมโดยใช้ยีสต์ผงโรยลงบนอาหารประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ นายประมวล ทรายทอง นักวิจัยจากฝ่ายชีววิทยาประยุกต์ สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร ม.เกษตรศาสตร์
กล่าวว่า
จากการศึกษาค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับคุณประโยชน์และสารอาหารของยีสต์ พบว่า
ยีสต์เป็นจุลินทรีย์ชนิดหนึ่งที่มีปริมาณโปรตีนภายในเซลส์สูง
เหมาะที่จะใช้สำหรับเป็นอาหารเสริมโปรตีน
นอกจากนี้ยังพบว่ายีสต์ยังประกอบไปด้วยคาร์โบไฮเดรต กรดนิวคลิอิก เถ้า
ไขมัน และวิตามินหลายชนิด เช่น วิตามินบีรวม เป็นต้น
นักวิจัยกล่าวต่อว่า
หลายคนอาจนึกไม่ถึงว่ายีสต์ที่นำมาใช้ผลิตขนมปังหรือใช้ในการหมักเหล้า
เบียร์ หรือไวน์ จะเป็นแหล่งสะสมอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงหลายชนิด
ในยีสต์มีโปรตีนสูงถึง 50% ซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนที่สมบูรณ์แบบ
ที่มีกรดอะมิโนแอซิดเกือบทุกชนิดในปริมาณที่สมดุล มีวิตามินบีทุกชนิด
มีโครเมียมซึ่งเป็นตัวประกอบสำคัญของสารอาหารที่เพิ่งค้นพบใหม่ ช่วย
ให้พลังงานในร่างกายคงที่อยู่เสมอ ลดอาการเป็นลมหน้ามืด
ช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดได้ ลดไขมันอุดตันในเส้นเลือด
และจากรายงานทางการวิจัยพบว่าในยีสต์มีธาตุซีเลเนียม
ซึ่งมีคุณสมบัติป้องกันมะเร็งได้ถึง 10 ชนิด อาทิ มะเร็งเต้านม ปอด
และลำไส้ใหญ่ เป็นต้น
นอกจากนี้ ในยีสต์ยังมีธาตุเหล็ก แคลเซียม โปรแตสเซียม ซึ่งปัจจุบันมีการใช้ยีสต์ผลิตราโรทีนอยส์ และ บีตา-คาโรทีนอยด์
ที่เป็นรงควัตถุสำคัญ
เนื่องจากมนุษย์และสัตว์ไม่สามารถสร้างได้เองต้องรับมาจากภายนอกเท่านั้น
ซึ่งมีประโยชน์ในการต่อต้านมะเร็งหลายชนิดและโรคอื่นๆ
เนื่องจากเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ และสารสำหรับสร้างวิตามินเอ
"เมื่อเปรียบเทียบยีสต์กับข้าวสาลี ซึ่งเป็นอาหารที่ให้วิตามินบีสูง
พบว่า ยีสต์มีวิตามินบี 1มากกว่าถึง 10 เท่า วิตามินบี2 มากกว่า 8 เท่า
และ มีไนอาซินหรือบี 3 มากกว่า 10 เท่า ซึ่งทุกส่วนของร่างกาย
เช่น โลหิต ข้อต่างๆ ผิวหนัง กล้ามเนื้อ ประสาท
ล้วนแต่ต้องการวิตามินบีทั้งสิ้น
หรือถ้าจะเปรียบเทียบยีสต์กับเนยถั่ว ก็พบว่ายีสต์ 1 ช้อนโต๊ะ
มีไขมันเพียง 1 ใน 8 ของไขมันในเนยถั่ว ดังนั้น
หากจะรับประทานเป็นอาหารเสริมสุขภาพ
แนะนำให้รับประทานยีสต์ผงซึ่งสามารถโรยบนอาหารอะไรก็ได้
หรือจะคลุกกับเนื้อทอดก็อร่อยเช่นกัน" นักวิจัยรายนี้กล่าว ขอขอบคุณข้อมูลภายใต้ความร่วมมือของ สสส. และ วิชาการดอทคอมwww.thaihealth.or.th ที่มา: วิชาการ.คอม (www.vcharkarn.com)
|