.
 สถานะของเว็บ
วันที่สร้างเว็บ :15/9/2009
ปรับปรุงเว็บครั้งล่าสุดเมื่อ :18/1/2017
จำนวนคนเข้าชมเว็บนี้ :839044
กระบวนการสร้างความเปล่งประกายให้ผิวหน้า (Resurfacing)
บทความ ณ. วันที่ : 19/3/2012        จำนวนคนเข้าชมเว็บ : 507 ครั้ง   

 

กระบวนการสร้างความเปล่งประกายให้ผิวหน้า (Resurfacing)

กระบวนการสร้างความเปล่งประกายให้ผิวหน้า(Resurfacing)
วิธีศัลยกรรมความงามเพื่อสร้างผิวใหม่ให้สวยเรียบเนียนได้อย่างทันใจมีอยู่หลายวิธีด้วยกันเช่น

การลอกหน้า (Chemical Peels)
การลอกหน้าด้วยสารเคมีเป็นการช่วยแก้ปัญหาผิวที่ชั้นบนสุดอย่างเช่น สิว ฝ้า จุดด่างดำ สีผิวไม่เสมอกัน ผิวหมองคลำ สีผิวเข้มผิดปกติ ไปจนถึงริ้วรอยเล็กๆบนใบหน้า แบ่งออกได้เป็น 4 ระดับ ได้แก่ ตื้นมาก ตื้น ระดับกลาง และระดับลึกที่สุด สองระดับแรกสามารถทำได้บ่อยทุกๆ 1 หรือ 2 เดือนเพราะเป็นการรักษาผิวชั้นบนคือ Epidermis เท่านั้น ส่วนระดับกลางนั้นควรทำเพียงปีละครั้ง เพราะสารที่ใช้จะซึมลงไปลึกถึงชั้น Dermis ซึ่งเป็นชั้นที่มีเส้นเลือดและคอลลาเจนอยู่ ส่วนการลอกผิวในระดับลึกที่สุดนั้นอันตรายที่สุดและสามารถทำได้เพียงครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้น เพราะสารที่ใช้คือ กรดฟีนอล (Phenol) ที่จะซึมผ่านลงไปยังชั้นที่ลึกที่สุดของผิวทำให้หลังจากการลอก ผิวจะอ่อนแอมากเป็นเวลา 1-2 เดือนและสีผิวที่ได้อาจจะอ่อนลงไปมากจนแตกต่างจากสีผิวส่วนอื่นๆของร่างกายอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นการลอกผิวระดับตื้นจึงได้รับความนิยมมากที่สุด และมีบริการอยู่ทั่วไปทั้งตามสปาและคลีนิกรักษาผิวต่างๆ

เลเซอร์(Laser:Light Amplification by The Stimulated Emission of Radiation) แม้ว่าช่วงก่อนปี ค.ศ.1990 เลเซอร์จะเป็นสิ่งที่ดูห่างไกลจากความงาม แต่หลังจากนั้นไม่นานเลเซอร์ได้กลายมาเป็นหนึ่งในเครื่องมือสู่กระบวนการศัลยกรรมและต่อต้านริ้วรอยที่ให้ผลลัพธ์มหัศจรรย์อย่างไม่น่าเชื่อ นับจากวันแรกที่มีการใช้เลเซอร์เพื่อความงามจนถึงวันนี้ เลเซอร์ได้รับการพัฒนาไปมากจนมีหลายชนิดที่ให้ทั้งความแม่นยำ รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพยิ่งกว่าการลอกผิวที่เคยใช้กันมา

คาร์บอนไดออกไซด์เลเซอร์ (CO2 Laser)
เป็นเลเซอร์ชนิดแรกที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้ในวงการความงามสามารถกำจัดริ้วรอย จุดด่างดำ รวมทั้งช่วยแก้ปัญหาผิวที่ถูกแดดเผาได้ โดยการทำงานของเลเซอร์ชนิดนี้คือการใช้ลำแสงที่ผ่านกระบวนการทำให้แสงแรงขึ้นจนมีความเข้มของแสงแรงสูงมากฉายลงไปยังบริเวณที่ต้องการ ความร้อนจากแสงที่ซึมผ่านลงไปยังผิวชั้นที่ลึกที่สุดจะไปจับตัวกับน้ำใต้ผิว และทันทีที่น้ำดูดซับแสงเข้าไป กระบวนการลบริ้วรอยและจุดด่างๆ ก็จะเริ่มขึ้นที่ใต้ชั้นผิวนั้น ข้อเสียของคาร์บอนไดออกไซด์เลเซอร์ก็คือความร้อนสูงจากแสงจะทำให้ผิวของคนไข้มีอาการเจ็บ บางลง และบวมแดง และต้องใช้เวลานานถึง 2 หรือ 3 เดือน กว่าผิวจะฟื้นตัวกลับเป็นปกติ อีกทั้งยังมีผลข้างเคียงที่อาจจะทำให้เม็ดสีผิวสลายไปอย่างถาวรหรือเป็นแผลเป็นได้

พิกเม้นต์เลเซอร์ (Pigment Laser)
ใช้ลบจุดด่างดำหรือรอยกระและสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นใบหน้า มือ หรือตามลำตัว ซึ่งมีสาเหตุมาจากการที่ผิวผลิตเมลานินอย่างผิดปกติ เลเซอร์ชนิดนี้จะใช้แสงจากหินแร่ต่างๆ เช่น ทับทิม หรืออเล็กซานไดรต์ โดยเม็ดสีพิเศษที่อยู่ในแสงจะทำหน้าที่เสมือนแม่เหล็กคอยดึงลำแสงให้รักษาเฉพาะจุดจึงไม่เป็นอันตรายต่อพื้นผิวโดยรอบและไม่เจ็บปวด ผิวจึงใช้เวลาฟื้นตัวไม่นาน เพียง 1-2 อาทิตย์

วาสคิวลาร์ เลเซอร์ (Vascular Laser)
สำหรับลบปานหรือรอยจ้ำแดงบนผิวที่เกิดจากเส้นเลือดฝอยแตก โดยเลเซอร์ชนิดนี้จะพุ่งเป้าหมายไปยังฮีโมโกลบินหรือเม็ดเลือดแดงในกระแสเลือดโดยไม่ทำอันตรายต่อผิวโดยรอบ ผิวจึงฟื้นตัวได้ทันทีหลังการรักษาและจะค่อยดีขึ้นเรื่อยๆ ในเวลาอันรวดเร็ว

เลเซอร์ชนิดไม่ใช้ความร้อน (Non-Ablative Laser)
สามารถรักษาปัญหาผิวได้โดยไม่ต้องใช้ความร้อนจากแสง เช่น CoolTouch, SmoothBeam หรือ N-Lite ผิวจึงไม่เกิดแผลที่ต้องใช้เวลาในการพักฟื้น แต่ในทางกลับกันผลที่ได้จะไม่รวดเร็วและชัดเจนเหมือนเลเซอร์ที่ใช้ความร้อน การรักษาด้วยเลเซอร์ชนิดนี้จึงต้องใช้เวลาและต้องทำประมาณ 4-6 ครั้งขึ้นไปจึงจะเห็นผล

การขัดกรอผิว (Mechanical Exfoliation)
มี 2 ประเภทคือ เดอร์มาเบรชั่น (Dermabrasion) และไมโครเดอร์มาเบรชั่น (Microdermabrasion) โดยความแตกต่างจะอยู่ที่ระดับของความรุนแรงในการทำเดอร์มาเบรชั่น แพทย์จะใช้เครื่องมือที่มีลักษณะเหมือนล้อซึ่งมีหมุดเพชรเล็กๆ ติดปลายอยู่ขัดลงบนผิวหน้า ในขณะที่ล้อหมุนเวียนไปเรื่อยๆ ปลายหมุดเพชรก็จะกรอผิวไปด้วย อันตรายของเดอร์มาเบรชั่นอยู่ที่ว่าหากทำโดยผู้ที่ไม่เชี่ยวชาญพอ ผิวอาจถูกขูดจนลอกและเลือดออกได้ แต่หากทำอย่างถูกต้องผลที่ได้จะมหัศจรรย์อย่างยิ่งเช่นกัน โดยหลังจากการรักษาแล้วควรพักผิวเป็นเวลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์หรือ 10 วันก่อนการแต่งหน้า และต้องใช้เวลาอีกประมาณ 2-3 เดือนกว่าที่รอยแดงจากการรักษาจะค่อยๆหายไป

ส่วนไมโครเดอร์มาเบรชั่นนั้นเป็นการขัดกรอที่อ่อนกว่าเดอร์มาเบรชั่น แต่ช่วยฟื้นฟูความสดใสของผิวชั้นบนสุด ขจัดปัญหารูขุมขนอุดตันและน้ำมันส่วนเกิน รวมทั้งสามารถขจัดริ้วรอยเล็กๆได้ด้วย โดยจะมีความแตกต่างกันตรงเครื่องมือที่ใช้เล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งการทำไมโครเดอร์มาเบรชั่นนี้ต้องใช้เวลาจึงจะเห็นผล และไม่ควรทำเกิน 12-20 ครั้งต่อปี

อย่างไรก็ตามการดูแลผิวและแก้ไขปัญหาผิวด้วยวิธีทั้งหมดที่กล่าวมานี้จะเหมาะสมและเห็นผลได้แค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลและปัญหาผิว แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเฟ้นหาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่เชื่อถือได้เพราะแพทย์จะเป็นผู้ที่ตัดสินใจว่าควรจะใช้วิธีใดกับปัญหาผิวชนิดใดและเป็นผี่ลงมือทำทรีตเม้นต์นั้นๆด้วยตัวเอง เพื่อผลลัพธ์ที่ออกมาอย่างสวยสมบูรณ์แบบและปลอดภัยที่สุด






Home   |   My product    |   About Us   |   News    |   Web Board    |  How to Pay   |  Delivery    |   Contact Us
เว็บไซต์นี้ เป็นเว็บร้านค้าสมาชิกของ SABUYJAISHOP ผู้ให้บริการทางการตลาดออนไลน์ สำหรับร้านค้าหรือผู้ประกอบการ ที่ต้องการนำเสนอสินค้า โฆษณา ประชาสัมพันธ์ร้านค้า หรือสินค้าในร้าน
©2008-2010 SABUYJAISHOP All Rights Reserved