.
ตะกร้า [0]
วันที่สร้างเว็บ :18/6/2013
ปรับปรุงเว็บครั้งล่าสุดเมื่อ :30/12/2013
จำนวนคนเข้าชมเว็บนี้ :303699
โรคจอประสาทตาเสื่อม
บทความ ณ. วันที่ : 29/8/2013        จำนวนคนเข้าชมเว็บ : 918 ครั้ง   

โรคจอประสาทตาเสื่อมคืออะไร

โรคที่มีความผิดปกติเกิดขึ้นที่จุดรับภาพของจอประสาทตา โรคนี้ทำให้สูญเสียการมองเห็นโดยเฉพาะกลางภาพ โดยสามารถมองเห็นขอบด้านข้างของภาพได้ เช่น มองเห็นตัวคน ส่วนของใบหน้าเบลอมองเห็นไม่ชัด ผู้ป่วยบางรายเกิดการเสื่อมของจอประสาทตาขึ้นอย่างช้าๆ จนแทบไม่ทันสังเกตเห็น ขณะที่บางรายอาจเกิดการเสื่อมของจอประสาทตาอย่างรวดเร็ว โรคนี้มักพบในผู้สูงอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป เรียกว่า Age-related macular degeneration (AMD)

ปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม
แม้ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าสาเหตุของโรคเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่เชื่อว่ามีปัจจัยเสี่ยงมาจากหลายปัจจัย ผลการศึกษาวิจัยจากหลายสถาบัน พบว่า มีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างที่มีอิทธิพลต่อการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมตามอายุ ได้แก่

  •     อายุ พบโรคนี้ได้บ่อยขึ้นในคนที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป
  •     พันธุกรรม จากการวิจัยล่าสุด สามารถค้นพบยีนที่มีความเกี่ยวข้องกับโรคจอประสาทตาเสื่อม ดังนั้นจึงมีข้อแนะนำให้ผู้ที่มีความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมของคนที่เป็นโรคกับญาติสายตรง ควรได้รับการตรวจเช็คจอประสาทตาทุก 2 ปี
  •     เชื้อชาติ  พบอุบัติการณ์ของโรคจอประสาทตาเสื่อมมากในคนผิวขาว (Caucasian)
  •     เพศ มักพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย
  •     บุหรี่ ควรหยุดสูบบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคอย่างน้อย 6 เท่ามากกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่
  •     ความดันโลหิตสูง : คนไข้ที่ต้องทานยาลดความดันเลือด และมีระดับของไขมัน Cholesterol ในเลือดสูงและระดับ Carotenoid ในเลือดต่ำ มีความเสี่ยงสูงมากต่อการเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม
  •     โรคอ้วน ผู้ที่มีน้ำหนักมากอาจทำให้โรคจอประสาทตาเสื่อมเป็นมากขึ้น

จะทราบได้อย่างไรว่าเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม
ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้อาจแสดงอาการแตกต่างกันในคนไข้แต่ละคน โดยส่วนใหญ่จะมีอาการตามัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งตรงกลางภาพ มีความลำบากในการอ่านหนังสือหรือทำงานละเอียดและต้องใช้แสงมากๆ อาจเห็นภาพบิดเบี้ยว (Distortion) ในโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียก

ความผิดปกติในการมองเห็นตั้งแต่ระยะเริ่มแรกของโรค อาจยากต่อการสังเกตโดยเฉพาะถ้าตาอีกข้างหนึ่งยังมองเห็นได้ดี ตามคำแนะนำของวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา "บุคคลทั่วไปอายุระหว่าง 40 - 64 ปี ที่ไม่มีอาการผิดปรกติในการมองเห็น ควรได้รับการตรวจสุขภาพตา (รวมทั้งตรวจจอประสาทตา) ทุก 2 - 4 ปี สำหรับคนที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป แนะนำให้ตรวจทุก 1 - 2 ปี แม้ไม่มีอาการผิดปรกติอะไร" เนื่องจาก การที่คนไข้จะรู้สึกถึงความผิดปรกติจากโรคจอประสาทตาเสื่อม ตั้งแต่ระยะเริ่มแรกเป็นสิ่งที่ยาก แต่ในขณะเดียวกัน การตรวจพบและให้การรักษาโรคตั้งแต่ระยะแรกเริ่มเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุด เพราะว่าจอประสาทตาที่เสื่อมเสียไปแล้ว มีแต่จะเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ การรักษาในปัจจุบันจึงทำได้เพียงหยุดหรือชะลอการเสื่อมเสียของจอประสาทตาให้ช้าที่สุด ซึ่งอาจรักษาไม่ได้เลย ถ้าโรคเป็นรุนแรง


โรคจอประสาทตาเสื่อมสามารถป้องกันได้โดยวิธีใดบ้าง
ถึงแม้โรคจอประสาทตาจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ และการรักษาในปัจจุบันเป็นเพียงชะลอการสูญเสียสายตา แต่ท่านก็สามารถป้องกันภาวะจอประสาทตาเสื่อมได้โดยการลดปัจจัยเสี่ยงที่สามารถหลีกเลี่ยงได้เช่น

  •     หมั่นตรวจเช็คสุขภาพตาเป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี หรือมีประวัติบุคคลในครอบครัวมีภาวะจอประสาทตาเสื่อม
  •     งดสูบบุหรี่
  •     เลือกรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) ได้แก่ ผักใบเขียว และ ผลไม้
  •     รับประทานวิตามินเสริม มีการวิจัยเกี่ยวกับการป้องกันการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม พบว่า การรับประทานวิตามินซี 500 มิลลิกรัม วิตามินอี 400 IU เบต้าแคโรทีน 15 มิลลิกรัม  สังกะสี 80 มิลลิกรัม และ คอปเปอร์ 2 มิลลิกรัม จะช่วยลดความเสี่ยงของการสูญเสียการมองเห็นจากภาวะจอประสาทตาเสื่อมอย่างรุนแรงลงได้ร้อยละ 25 แต่ไม่สามารถป้องกันการเกิดโรค หรือมีประโยชน์ในคนไข้ที่เริ่มมีจอประสาทตาเสื่อมเล็กน้อย
  •     รับประทานปลา กรดไขมันชนิด omega-3 ที่พบมากในเนื้อปลา จะสามารถป้องกันภาวะจอประสาทตาเสื่อมได้

ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
ขอบคุณข้อมูลจาก ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย

 

ป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อมตั้งแต่วันนี้ ด้วย V Plus วีพลัส