คุณประโยชน์ที่ได้จาก น้ำมันจมูกข้าวและน้ำมันรำข้าว
จากผลการทดลองทางการแพทย์พบว่าการรักษาผู้ป่วย หากจะให้ได้ผลดี ต้องมีการให้อาหารเสริมเป็นโภชนาการบำบัดด้วย จะรักษาด้วยยาแผนปัจจุบันเพียงอย่างเดียวไม่ได้ เนื่องจากการรักษาบางอย่างทำให้ร่างกายผู้ป่วยอ่อนแอ ไม่สามารถทนต่อการรักษาได้ อาจเสียชีวิตก่อนการรักษาเป็นผล โดยเฉพาะการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง การผ่าตัดผู้ป่วยโรคหัวใจ และโรคอื่นๆ จำเป็นต้องให้อาหารเสริมที่บำรุงร่างกายผู้ป่วยโดยเร่งด่วนที่สุด เพื่อการรักษาอย่างทันท่วงที นอกจากการให้ผลดีในการรักษาแล้ว ยังสามารถป้องกันโรคร้ายอื่นๆ และสามารถฟื้นฟูสภาพร่างกายได้ทั้งระบบอีกด้วย
ดังนั้น ผู้ที่สุขภาพร่างกายปกติ การรับประทานน้ำมันจมูกข้าวเป็นประจำ จะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบบริบูรณ์ ทำให้สุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บ ไม่ป่วยง่าย ส่วนผู้ที่เจ็บป่วยอยู่แล้ว หากได้รับประทานน้ำมันจมูกข้าว ร่วมกับยาแผนปัจจุบัน ก็จะทำให้การรักษาเห็นผลเร็วยิ่งขึ้น
กลุ่มโรคมะเร็ง
โรคร้ายที่คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกอย่างไม่มีที่มาที่ไปในศตวรรษที่ผ่านมาและศตวรรษนี้ คือโรคมะเร็ง แต่น่ายินดีที่ผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ พบว่า หากได้รับสารอาหารที่มีอยู่ในน้ำมันจมูกข้าวเข้มข้นถึง 5% ของกระแสเลือดในร่างกาย จะช่วยให้รอดพ้นจากการเป็นโรคมะเร็ง แม้ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งแล้ว ก็ช่วยได้ถึง 62% เนื่องจากในน้ำมันจมูกข้าว มีสารอาหารต้านอนุมูลอิสระจำนวนมาก ว่ากันว่า สารต้านอนุมูลอิสระในน้ำมันจมูกข้าว มีมากกว่าในพืชทุกชนิดเท่าที่มีการค้นพบในเวลานี้ สารต้านอนุมูลอิสระที่พบในน้ำมันจมูกข้าวและน้ำมันรำข้าวได้แก่
1. สารแกมม่า-ออไรซานอล (Gamma-Oryzanol ) ที่มีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระมากกว่าวิตามินอีถึง 6 เท่า และมีความเสถียรที่สุดเมื่อเทียบกับ วิตามิน C และ E
2. โทคอล (Tocols) วิตามิน อี ธรรมชาติ ในรูปของโทโคเฟอรอล (Tocopherol) และโทโคไทรอีนอล (Tocotrienol)
นอกจากนั้นยังพบว่าในน้ำมันจมูกข้าวและน้ำมันรำข้าวยังมีโอเมก้า 3 - 6 – 9 อยู่ด้วยกันนั้น ผลการศึกษาวิจัยขององค์การอนามัยโลก ให้การยอมรับว่า หากคนเราได้กรดไขมันโอเมก้า 3 - 6 - 9 ในอัตรา 1 - 2 - 1 เป็นประจำ จะทำให้ปลอดภัยจากโรคมะเร็ง
กลุ่มโรคเบาหวาน
1. ในน้ำมันรำข้าวสกัด มีธาตุโครเมียมที่ย่อยง่ายสูง 265x10-3 mg/100 gm โครเมียมที่ร่างกายดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดจะเกาะอยู่ตามเซลล์ต่างๆ ของกล้ามเนื้อและทำหน้าที่ในการจับกับฮอร์โมนอินซูลิน ช่วยให้ฮอร์โมนอินซูลินคงตัวได้นานขึ้น ซึ่งโดยปกติ ฮอร์โมนอินซูลินจะมีเสถียรภาพในการทำงาน (half-life) 5 นาที จึงช่วยทำให้การหลั่งกลูโคสลดลง ทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำและการดูดซึมน้ำตาลของกล้ามเนื้อก็ต่ำลงด้วย
2. น้ำมัน Linoleic Acid 35%ในน้ำมันรวมทั้งหมดจะเปลี่ยนเป็นสาร โปรสตาแกลนดิน ใน Cyclic AMP ซึ่งจะทำให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายรับกลูโคสได้มากขึ้น ทำให้กลูโคสในเลือดต่ำ
3. Tocopherol, Tocotricnol จะลดปริมาณคลอเลสเตอรอล ที่อุดตันในเส้นเลือด ในกลุ่มเส้นเลือดไปเลี้ยงไต ซึ่งจะมีผลทำให้กลุ่มฮอร์โมน กลูโคสเตียรอย มินเนอโรสเตียรอย แอนโดรสเตียโรล ทำงานได้ตามปกติ ซึ่งจะมีผลทำให้ร่างกายลดการสลายกลูโคสจากกล้ามเนื้อ, ไกลโคเจนจากตับ กลูโคสจากเนื้อเยื่อไขมัน ทำให้ความเป็นพิษในเลือดลดลง เนื่องจากยูเรีย, ยูริก, กรดไขมัน (TG) ในเลือดลดลง, ลดเลือดคั่งตามเท้า ตับอ่อน จะทำงานได้ตามปกติ สามารถที่จะผลิตฮอร์โมนอินซูลินตามปกติ เนื่องจากฮอร์โมนที่สั่งการจากต่อมใต้สมองทำงานตามปกติ ไม่มีการหลั่งฮอร์โมนอินพิเนพพริน และ นอริพิเนฟ มากจนเกินความจำเป็น
กลุ่มโรคความดันโลหิตสูง
1. น้ำมัน Linoleic Acid จะเปลี่ยนแปลงสภาพเป็นโปสตาแกลนดิน ซึ่งจะกลายเป็นฮอร์โมนที่ลดการบีบตัวของเส้นเลือด จะทำให้ลิ่มเลือดสลายตัว ทำให้การทำงานของหัวใจลดลง
2. วิตามิน อี ในรูป แอลฟ่า-โทรโคทรินอล จะละลายคลอเลสเตอรอลในเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงต่อมใต้สมอง ต่อมหมวกไต ทำให้ระบบการทำงานของฮอร์โมนในอวัยวะดังกล่าวทำงานได้ตามปกติ ทำให้การสั่งการในการหลั่งฮอร์โมน นอร์อิพิเนพพลินลดลงเป็นผลให้เส้นเลือดคลายตัว การหลั่งฮอร์โมนเคนินมากขึ้นจากต่อมหมวกไต ซึ่งจะมีผลทำให้เส้นเลือดคลายตัวและลดการสร้างฮอร์โมนเรนนิน เป็นสาเหตุให้การบีบตัวของเส้นเลือดลดลง
3. วิตามิน อี ในรูปของ แอลฟ่า-โทรโคทรินอล จะละลายลิ่มเลือด ทำให้ความดันของเลือดลดลง การนำเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายได้มากขึ้น ทำให้ร่างกายบางส่วนไม่เกิดอาการขาดเลือด หรือเกิดอาการเลือดขอดคั่ง
4. กลุ่มวิตามิน บี คอมเพล็กซ์ ในน้ำมันรำสกัด จะมีผลทำให้เกิดการสลายตัวของแป้งและกลูโคส ได้ง่ายขึ้นในขบวนการไกลโคไลซีส, EMP และการใช้พลังงานของหัวใจได้ดีขึ้น
5. สารแกมม่า-ออไรซานอล (Gamma-Oryzanol) ทำหน้าที่เพิ่มระดับไขมันชนิดดี (HDL) ให้แก่ร่างกาย ซึ่งไขมันชนิดนี้จะไปขจัดไขมันชนิดเลว (LDL-คอเลสเตอรอล ซึ่งก่อให้เกิดโทษต่อร่างกาย) และไตรกลีเซอไรด์(Triglyceride) ในเส้นเลือด ทำให้ลดการตีบตันของหลอดเลือด เพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ทำให้มีเลือดไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย มากขึ้น อวัยวะที่เสื่อมสภาพก็กลับฟื้นตัว
6. มีกรดไขมันอิ่มตัว 18% กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated Fatty Acid : MUFA) 45% กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (Polyunsaturated Fatty Acid : PUFA) 37% น้ำมันรำข้าวเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL-C)
กลุ่มโรคสายตา โรคต้อกระจก ต้อหิน บำรุงสายตา
1. โปรวิตามิน เอ-เบตาแคโรทีน ที่มีสูงมากในน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวดิบ ทำให้สามารถป้องกันโรคที่เกิดจากการขาดวิตามิน เอ ได้โดยเฉพาะโรคน้ำตาแห้ง เซลล์รับแสงวิตามินเอ โรคต้อ เซลล์สายตาถูกทำลาย
2. น้ำมัน ไลโนลิค แอสิด (Linolic Acid) จะเปลี่ยนสภาพกลายเป็นโปรสตาแกลนดิน ซึ่งจะทำให้กล้ามเนื้อปรับม่านตาทำงานได้ดีขึ้น
กลุ่มโรคความจำเสื่อม โรคไหลตาย
1. น้ำมันในส่วนฟอสฟอไลปิด และ ไกลโคไลปิด จะมีผลทำให้สมองและเซลล์สมองได้รับการซ่อมแซมในส่วนที่จุดเชื่อมต่อหลุด และบำรุงเซลล์ประสาทให้แข็งแรง
2. สารฟอสโฟไลปิด (Phospholipids) เช่น เลซิติน (Lecithin) เซฟฟาลิน (Cephalin) ไลโซเลซิติน (Lysolecithin) ซึ่ง มีส่วนสำคัญในการนำไปสร้างและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของเซลล์ประสาทสมอง และช่วยป้องกันเซลล์ประสาทจากสารที่เป็นพิษและอนุมูลอิสระต่างๆ ช่วยลดการเครียด และช่วยเสริมสร้างในด้านความจำ
3. กรดไขมันไลโนเลนิค ( Linolenic acid ) หรือโอเมก้า 3 (Omega 3) ช่วยบำรุงสมอง ป้องกันภาวะเสื่อมของสมองและความจำ
4. วิตามิน บี-คอมเพล็ก (B-Complex) ซึ่งช่วยให้การทำงานของระบบประสาทดีขึ้น
1. สารแกมม่า-ออไรซานอล (Gamma-Oryzanol ) ที่มีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระมากกว่าวิตามินอีถึง 6 เท่า และมีความเสถียรที่สุดเมื่อเทียบกับ วิตามิน C และ E
2. โทคอล (Tocols) วิตามิน อี ธรรมชาติ ในรูปของโทโคเฟอรอล (Tocopherol) และโทโคไทรอีนอล (Tocotrienol)
นอกจากนั้นยังพบว่าในน้ำมันจมูกข้าวและน้ำมันรำข้าวยังมีโอเมก้า 3 - 6 – 9 อยู่ด้วยกันนั้น ผลการศึกษาวิจัยขององค์การอนามัยโลก ให้การยอมรับว่า หากคนเราได้กรดไขมันโอเมก้า 3 - 6 - 9 ในอัตรา 1 - 2 - 1 เป็นประจำ จะทำให้ปลอดภัยจากโรคมะเร็ง
กลุ่มโรคเบาหวาน
1. ในน้ำมันรำข้าวสกัด มีธาตุโครเมียมที่ย่อยง่ายสูง 265x10-3 mg/100 gm โครเมียมที่ร่างกายดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดจะเกาะอยู่ตามเซลล์ต่างๆ ของกล้ามเนื้อและทำหน้าที่ในการจับกับฮอร์โมนอินซูลิน ช่วยให้ฮอร์โมนอินซูลินคงตัวได้นานขึ้น ซึ่งโดยปกติ ฮอร์โมนอินซูลินจะมีเสถียรภาพในการทำงาน (half-life) 5 นาที จึงช่วยทำให้การหลั่งกลูโคสลดลง ทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำและการดูดซึมน้ำตาลของกล้ามเนื้อก็ต่ำลงด้วย
2. น้ำมัน Linoleic Acid 35%ในน้ำมันรวมทั้งหมดจะเปลี่ยนเป็นสาร โปรสตาแกลนดิน ใน Cyclic AMP ซึ่งจะทำให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายรับกลูโคสได้มากขึ้น ทำให้กลูโคสในเลือดต่ำ
3. Tocopherol, Tocotricnol จะลดปริมาณคลอเลสเตอรอล ที่อุดตันในเส้นเลือด ในกลุ่มเส้นเลือดไปเลี้ยงไต ซึ่งจะมีผลทำให้กลุ่มฮอร์โมน กลูโคสเตียรอย มินเนอโรสเตียรอย แอนโดรสเตียโรล ทำงานได้ตามปกติ ซึ่งจะมีผลทำให้ร่างกายลดการสลายกลูโคสจากกล้ามเนื้อ, ไกลโคเจนจากตับ กลูโคสจากเนื้อเยื่อไขมัน ทำให้ความเป็นพิษในเลือดลดลง เนื่องจากยูเรีย, ยูริก, กรดไขมัน (TG) ในเลือดลดลง, ลดเลือดคั่งตามเท้า ตับอ่อน จะทำงานได้ตามปกติ สามารถที่จะผลิตฮอร์โมนอินซูลินตามปกติ เนื่องจากฮอร์โมนที่สั่งการจากต่อมใต้สมองทำงานตามปกติ ไม่มีการหลั่งฮอร์โมนอินพิเนพพริน และ นอริพิเนฟ มากจนเกินความจำเป็น
กลุ่มโรคความดันโลหิตสูง
1. น้ำมัน Linoleic Acid จะเปลี่ยนแปลงสภาพเป็นโปสตาแกลนดิน ซึ่งจะกลายเป็นฮอร์โมนที่ลดการบีบตัวของเส้นเลือด จะทำให้ลิ่มเลือดสลายตัว ทำให้การทำงานของหัวใจลดลง
2. วิตามิน อี ในรูป แอลฟ่า-โทรโคทรินอล จะละลายคลอเลสเตอรอลในเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงต่อมใต้สมอง ต่อมหมวกไต ทำให้ระบบการทำงานของฮอร์โมนในอวัยวะดังกล่าวทำงานได้ตามปกติ ทำให้การสั่งการในการหลั่งฮอร์โมน นอร์อิพิเนพพลินลดลงเป็นผลให้เส้นเลือดคลายตัว การหลั่งฮอร์โมนเคนินมากขึ้นจากต่อมหมวกไต ซึ่งจะมีผลทำให้เส้นเลือดคลายตัวและลดการสร้างฮอร์โมนเรนนิน เป็นสาเหตุให้การบีบตัวของเส้นเลือดลดลง
3. วิตามิน อี ในรูปของ แอลฟ่า-โทรโคทรินอล จะละลายลิ่มเลือด ทำให้ความดันของเลือดลดลง การนำเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายได้มากขึ้น ทำให้ร่างกายบางส่วนไม่เกิดอาการขาดเลือด หรือเกิดอาการเลือดขอดคั่ง
4. กลุ่มวิตามิน บี คอมเพล็กซ์ ในน้ำมันรำสกัด จะมีผลทำให้เกิดการสลายตัวของแป้งและกลูโคส ได้ง่ายขึ้นในขบวนการไกลโคไลซีส, EMP และการใช้พลังงานของหัวใจได้ดีขึ้น
5. สารแกมม่า-ออไรซานอล (Gamma-Oryzanol) ทำหน้าที่เพิ่มระดับไขมันชนิดดี (HDL) ให้แก่ร่างกาย ซึ่งไขมันชนิดนี้จะไปขจัดไขมันชนิดเลว (LDL-คอเลสเตอรอล ซึ่งก่อให้เกิดโทษต่อร่างกาย) และไตรกลีเซอไรด์(Triglyceride) ในเส้นเลือด ทำให้ลดการตีบตันของหลอดเลือด เพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ทำให้มีเลือดไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย มากขึ้น อวัยวะที่เสื่อมสภาพก็กลับฟื้นตัว
6. มีกรดไขมันอิ่มตัว 18% กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated Fatty Acid : MUFA) 45% กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (Polyunsaturated Fatty Acid : PUFA) 37% น้ำมันรำข้าวเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL-C)
กลุ่มโรคสายตา โรคต้อกระจก ต้อหิน บำรุงสายตา
1. โปรวิตามิน เอ-เบตาแคโรทีน ที่มีสูงมากในน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวดิบ ทำให้สามารถป้องกันโรคที่เกิดจากการขาดวิตามิน เอ ได้โดยเฉพาะโรคน้ำตาแห้ง เซลล์รับแสงวิตามินเอ โรคต้อ เซลล์สายตาถูกทำลาย
2. น้ำมัน ไลโนลิค แอสิด (Linolic Acid) จะเปลี่ยนสภาพกลายเป็นโปรสตาแกลนดิน ซึ่งจะทำให้กล้ามเนื้อปรับม่านตาทำงานได้ดีขึ้น
กลุ่มโรคความจำเสื่อม โรคไหลตาย
1. น้ำมันในส่วนฟอสฟอไลปิด และ ไกลโคไลปิด จะมีผลทำให้สมองและเซลล์สมองได้รับการซ่อมแซมในส่วนที่จุดเชื่อมต่อหลุด และบำรุงเซลล์ประสาทให้แข็งแรง
2. สารฟอสโฟไลปิด (Phospholipids) เช่น เลซิติน (Lecithin) เซฟฟาลิน (Cephalin) ไลโซเลซิติน (Lysolecithin) ซึ่ง มีส่วนสำคัญในการนำไปสร้างและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของเซลล์ประสาทสมอง และช่วยป้องกันเซลล์ประสาทจากสารที่เป็นพิษและอนุมูลอิสระต่างๆ ช่วยลดการเครียด และช่วยเสริมสร้างในด้านความจำ
3. กรดไขมันไลโนเลนิค ( Linolenic acid ) หรือโอเมก้า 3 (Omega 3) ช่วยบำรุงสมอง ป้องกันภาวะเสื่อมของสมองและความจำ
4. วิตามิน บี-คอมเพล็ก (B-Complex) ซึ่งช่วยให้การทำงานของระบบประสาทดีขึ้น
ไม่พบสินค้าที่คุณต้องการ?
ลงประกาศซื้อสินค้าที่นี่