ถึงวันนี้ เชื่อว่าคงไม่มีใครที่ไม่รู้จักเอเอชเอเป็นแน่ เพราะช่วงหลายปีก่อน สารตัวนี้เป็นที่ฮือฮามากในวงการความสวยความงาม แถมยังคงยืดหยัดรั้งตำแหน่งท๊อปฮิตมาได้จนถึงทุกวันนี้ ในอเมริกานิยมใช้สารนี้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 แต่ในประเทศไทยเริ่มต้นนิยมกันอย่างแพร่หลายในช่วงปี พ.ศ. 2535 เป็นต้นมา ...
Why Not?
หลายคนคงสงสัยว่าเพราะอะไรเอเอชเอถึงได้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกเสีย ขนาดนี้ ถึงขนาดที่เครื่องสำอางแทบทุกยี่ห้อจะต้องมีเอเอชเอเป็นส่วนผสมที่ขาดไม่ได้ นั่นเป็นเพราะว่า เอเอชเอเป็นสารสกัดจากธรรมชาติที่แพทย์ผิวหนังยืนยันว่า มีคุณสมบัติในการผลัดผิวได้จริง และมีความปลอดภัยสูง เนื่องจากสกัดมาจากผลไม้และสารจากธรรมชาติล้วน ๆ (เราจึงเรียกติดปากก้นว่า กรดผลไม้) แม้ว่าในปัจจุบันจะสามารถสังเคราะห์เอเอชเอได้ แต่เชื่อกันว่าถ้าเป็นเอเอชเอที่สกัดจากธรรมชาติจะมีประสิทธิภาพดีกว่าและ เกิดการระคายเคืองได้น้อยกว่า (แต่จะมีราคาสูงกว่ามากเช่นกัน)
ที่มาของ เอเอชเอ
กรดไกลโคลิก (Glycolic acid) |
สกัดจากน้ำตาลอ้อย |
กรดแลคติก (Lactic acid) |
สกัดจากนมเปรียว หรือ น้ำมะเขือเทศ |
กรดมาลิก (Malic acid) |
สกัดจากแอปเปิ้ล |
กรดทาร์ทาริก (Tartaric acid) |
สกัดจากองุ่น เหล้าไวน์ หรือมะขาม (คนสมัยก่อน ๆ ใช้มะขามเปียกมาขัดผิว ทำให้ผิวขาวและนุ่มขึ้น) |
กรดซิทริก (Citric acid) |
สกัดจากมะนาว และสัปปะรด |
**ที่ฮิตที่สุด-ถูกนำมาใช้มากที่สุดคือ กรดไกลโคลิก และกรดแลคติก
การทำงานของเอเอชเอก็คือ ช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าอย่างค่อยเป็นค่อยไป เผยผิวใหม่ทดแทน ทำให้ผิวดูสดใสขึ้น (ดูเหมือนขาวขึ้นนั่นเอง) เรียบเนียนขึ้น และยังช่วยลดรอยด่างดำ รวมถึงริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ ให้ดูตื้นขึ้นได้ด้วย นอกจากนี้การใช้เอเอชเออย่างต่อเนื่องจะเป็นการช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวมีคอลลาเจนและอีลาสตินเพิ่มขึ้น และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เอเอชเอจะออกฤทธิ์ได้ดีเมื่อระดับความเป็นกรดของเอเอชเอค่อนข้างสูง จึงอาจก่อให้ผิดหนังระคายเคืองได้ และผิวจะไวต่อแสงได้ง่ายขึ้น
Do You Know?
เอเอชเอ จะออกฤทธิ์ดีที่สุด เมื่อมีปริมาณความเข้มข้นมากกว่า 5% ส่วนความเป็นกรดด่างนั้นควรอยู่ที่ pH 1-2 (หากผลิตภัณฑ์มีความเป็นกรดสูงค่า pH จะน้อย) พอเริ่ม pH 4 ก็ไม่ค่อยดีแล้ว
ส่วนอีกวิธีหนึ่ง คือการทำเอเอชเอทรีตเมนท์ ซึ่งจะใช้ เอเอชเอที่มีความเข้มข้น 20-70 เปอร์เซ็นต์ เป็นวิธีที่ช่วยกระตุ้นให้เซลล์ผิวลอกตัวเร็วขึ้น เร่งการสร้างเซลล์ผิวหนังใหม่ขึ้นมาทดแทน ทำให้ผิวแข็งแรงและนุ่มเนียนกว่าเดิม รวมทั้งยังทำให้เซลล์ผิวสร้างสารเพิ่มความตึงตัว (Hyaluronic acid) และคอลลาเจนเพิ่มขึ้น ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นและชุ่มชื้นมากขึ้น แต่วิธีนี้ต้องปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญนะคะ
ข้อมูล จากหนังสือ "คนรักหน้า" ของคุณหมอนันทภัทร์ สุภาพรรณชาติ (เกียรตินิยมแพทยศาสตร์บัณฑิต แพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล)
***การ ทำ เอเอชเอ ด้วยตนเอง จึงไม่ควรใช้เอเอชเอที่มีระดับความเข้มข้นถึง 20 เปอร์เซ็นต์นะคะ จะเป็นอันตรายต่อผิว จึงควรปรึกษาแพทย์เท่านั้นค่ะ**
กรดไกลโคลิก (Glycolic acid) |
สกัดจากน้ำตาลอ้อย |
กรดแลคติก (Lactic acid) |
สกัดจากนมเปรียว หรือ น้ำมะเขือเทศ |
กรดมาลิก (Malic acid) |
สกัดจากแอปเปิ้ล |
กรดทาร์ทาริก (Tartaric acid) |
สกัดจากองุ่น เหล้าไวน์ หรือมะขาม (คนสมัยก่อน ๆ ใช้มะขามเปียกมาขัดผิว ทำให้ผิวขาวและนุ่มขึ้น) |
กรดซิทริก (Citric acid) |
สกัดจากมะนาว และสัปปะรด |
**ที่ฮิตที่สุด-ถูกนำมาใช้มากที่สุดคือ กรดไกลโคลิก และกรดแลคติก
การทำงานของเอเอชเอก็คือ ช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าอย่างค่อยเป็นค่อยไป เผยผิวใหม่ทดแทน ทำให้ผิวดูสดใสขึ้น (ดูเหมือนขาวขึ้นนั่นเอง) เรียบเนียนขึ้น และยังช่วยลดรอยด่างดำ รวมถึงริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ ให้ดูตื้นขึ้นได้ด้วย นอกจากนี้การใช้เอเอชเออย่างต่อเนื่องจะเป็นการช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวมีคอลลาเจนและอีลาสตินเพิ่มขึ้น และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เอเอชเอจะออกฤทธิ์ได้ดีเมื่อระดับความเป็นกรดของเอเอชเอค่อนข้างสูง จึงอาจก่อให้ผิดหนังระคายเคืองได้ และผิวจะไวต่อแสงได้ง่ายขึ้น
Do You Know?
เอเอชเอ จะออกฤทธิ์ดีที่สุด เมื่อมีปริมาณความเข้มข้นมากกว่า 5% ส่วนความเป็นกรดด่างนั้นควรอยู่ที่ pH 1-2 (หากผลิตภัณฑ์มีความเป็นกรดสูงค่า pH จะน้อย) พอเริ่ม pH 4 ก็ไม่ค่อยดีแล้ว
ส่วนอีกวิธีหนึ่ง คือการทำเอเอชเอทรีตเมนท์ ซึ่งจะใช้ เอเอชเอที่มีความเข้มข้น 20-70 เปอร์เซ็นต์ เป็นวิธีที่ช่วยกระตุ้นให้เซลล์ผิวลอกตัวเร็วขึ้น เร่งการสร้างเซลล์ผิวหนังใหม่ขึ้นมาทดแทน ทำให้ผิวแข็งแรงและนุ่มเนียนกว่าเดิม รวมทั้งยังทำให้เซลล์ผิวสร้างสารเพิ่มความตึงตัว (Hyaluronic acid) และคอลลาเจนเพิ่มขึ้น ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นและชุ่มชื้นมากขึ้น แต่วิธีนี้ต้องปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญนะคะ
ข้อมูลจากหนังสือ "คนรักหน้า" ของคุณหมอนันทภัทร์ สุภาพรรณชาติ (เกียรตินิยมแพทยศาสตร์บัณฑิต แพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล)
***การทำ เอเอชเอ ด้วยตนเอง จึงไม่ควรใช้เอเอชเอที่มีระดับความเข้มข้นถึง 20 เปอร์เซ็นต์นะคะ จะเป็นอันตรายต่อผิว จึงควรปรึกษาแพทย์เท่านั้นค่ะ**
|