ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ
"หนุ่มเมืองจันท์"
เจ้าชายจิกมี
ก่อน หน้านี้เคยมีคนเล่าเรื่องประเทศภูฏานให้ผมฟังเหมือนกันทั้งเรื่อง "ดัชนีวัดความสุข" และเรื่องการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติของประชาชนในประเทศนี้
มีน้องคนหนึ่งบอกว่าเคยอ่านเจอในหนังสือเล่มหนึ่งเกี่ยวกับหมู่บ้านแห่งหนึ่งในภูฏาน
หมู่บ้านนี้ไม่มีไฟฟ้าใช้ วันหนึ่งรัฐก็เริ่มตั้งเสาและลากสายไฟฟ้าเข้าหมู่บ้าน
ยามค่ำคืนหมู่บ้านนี้จึงเริ่มมีแสงไฟสว่างไสวแทนความมืดมิด
จนวันหนึ่งมีนกบินไปเกาะสายไฟฟ้าแล้วถูกไฟดูดตาย
ความตายของนก 1 ตัวกลายเป็นเรื่องใหญ่ของหมู่บ้าน
ชาวบ้านนัดประชุมกัน หลังจากถกเถียงกันพักใหญ่ชาวบ้านก็ลงมติยกเลิกไม่ใช้ไฟฟ้า
ยอมทนมืดต่อไป เพราะไม่อยากให้มีนกตายเพิ่มขึ้นอีก
วิธีคิดของเขาน่ารักจริงๆ
จากนั้นหมู่บ้านนี้ก็เกิดปัญหาใหม่ ประชากรในหมู่บ้านเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
เพราะตอนกลางคืนไม่มีอะไรทำ
พูดเล่นครับ
"อมร" เขาจินตนาการต่อตามประสบการณ์ของเขาแล้วมาเล่าให้ผมฟัง
เรื่องราวของประเทศภูฏานก่อนหน้านี้ไม่ค่อยมีคนรู้มากนัก จนเจ้าชายจิกมีเสด็จเยือนเมืองไทย
"ภูฏาน" กลายเป็นประเทศที่คนไทยรู้จักเป็นอย่างดี
สื่อต่างๆ เขียนถึง "ภูฏาน" ในทุกแง่มุมอย่างละเอียด
ภาพพจน์ของ "ภูฏาน" ในวันนี้คือประเทศเล็กๆ ที่งดงาม รักษาธรรมชาติและวัฒนธรรมเป็นอย่างดี
คิดภาษีนักท่องเที่ยวแพง เพื่อจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวไม่ให้มากเกินไป
และที่สำคัญเชื่อว่าสาวๆ คงคาดหวังว่าหนุ่มๆ ที่นั่นจะหน้าตาดีเหมือนเจ้าชายจิกมี
ในเชิงการตลาดต้องบอกว่าการมาเยือนเมืองไทยครั้งนี้ของเจ้าชายจิกมีถือว่าคุ้มมาก
ไม่เสียเงินลงโฆษณาสักบาทเดียว แต่ทำให้คนไทยจำนวนมากรู้จักประเทศภูฏาน
และอยากไปเที่ยว "ภูฏาน"
ถ้าเป็นหนังโฆษณาก็ต้องถือว่าเป็นโฆษณาที่แรงมาก
ไม่ใช่แค่ทำให้ผู้บริโภครู้จักแบรนด์นี้เพิ่มมากขึ้น แต่ยังทำให้เกิดความรู้สึกอยากบริโภคอีกด้วย
ปรากฏการณ์ "ภูฏานฟีเวอร์" ครั้งนี้ทำให้ผมนึกถึง "K-MARKETING" ของเกาหลีที่เขาใช้ละครเป็นหัวหอกกระตุ้นให้คนอยากไปเที่ยวเกาหลี
"แดจังกึม" ทำให้อาหารเกาหลีฮิตขึ้นมาทันที
หนังรักๆ ของเขาก็ทำให้คนอยากไปเห็นสถานที่ที่เป็นฉากละครโรแมนติกเรื่องนั้น
"ภูฏานฟีเวอร์" ก็เกิดจากความแรงของเจ้าชายจิกมีที่ไม่ใช่ "เจ้าชายในฝัน" ในละครโทรทัศน์
แต่เป็นเจ้าชายจริงๆ
ความแรงของเจ้าชายจิกมีทำให้คนไทยอยากไปเที่ยวภูฏาน
เห็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ผมชักอยากลองให้ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" เป็นนายกรัฐมนตรี
นึกดูสิครับ ไปเยือนประเทศไหน สาวๆ ประเทศนั้นก็กรี๊ด
เขาน่าจะเป็นทูตด้านการท่องเที่ยวของไทยได้เป็นอย่างดี
ประหยัดงบประมาณการโฆษณาการท่องเที่ยวได้หลายร้อยล้านบาททีเดียว
กระแสความแรงของเจ้าชายจิกมีแห่งภูฏานนั้นดูได้จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น
คลื่นวิทยุแห่งหนึ่งเพิ่งจัดแคมเปญพาคนฟังไปเที่ยวภูฏาน
ส่วนบริษัททัวร์ก็บอกว่ามีคนโทรไปถามเรื่องทัวร์ภูฏานเยอะมาก
นิตยสารการเมืองรายสัปดาห์ทั้ง "มติชนสุดสัปดาห์-เนชั่นสุดสัปดาห์-สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์" ฉบับที่ผ่านมาก็ทนกระแส "จิกมีฟีเวอร์" ไม่ไหว
ขึ้นปกตรงกันหมด
ตามปกติเวลาสาวๆ คลั่งไคล้หนุ่มฮอตคนไหน ส่วนใหญ่พวกผู้ชายจะเกิดอาการหมั่นไส้เล็กๆ
แต่สำหรับเจ้าชายจิกมีแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยมีหนุ่มคนไหนหมั่นไส้เท่าไรนักแม้สาวๆ รอบข้างจะกรี๊ดแบบถล่มทลาย
อาจเป็นเพราะเจ้าชายจิกมีไม่เก๊กหล่อ แถมยังสุภาพ เรียบร้อย มีน้ำใจ ไม่ถือพระองค์
ผู้ชายส่วนใหญ่จึงพอทำใจยอมรับได้
ที่สำคัญท่านอยู่เมืองไทยไม่กี่วัน เดี๋ยวก็กลับแล้ว
ระยะเวลาสั้นๆ แบบนี้พอทนไหว
เรื่องราวของเจ้าชายจิกมีในแง่มุมน่ารักมีออกมาอย่างต่อเนื่องตามสื่อต่างๆ
เจ้าหน้าที่ที่ติดตามเจ้าชายจิกมีบอกว่าทุกคืนก่อนเข้าห้องพัก ท่านจะมากุมมือเจ้าหน้าที่ทุกคนพร้อมขอโทษที่ทำให้ทุกคนเหนื่อย
ม.จ.ภีศเดช รัชนี เล่าว่าหลังจากทานอาหารกันที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ท่านจะไปส่งเจ้าชายที่โรงแรม
แต่เจ้าชายจิกมีบอกว่าเป็นเด็กต้องไปส่งผู้ใหญ่ก่อน
ฟังแต่ละเรื่องแล้วไม่แปลกใจเลยว่าทำไมจึงเกิดกระแส "จิกมีฟีเวอร์"
คนอะไรหล่อแล้วยังน่ารักอีก
ไม่น่าเชื่อว่าโลกนี้จะมีคนแบบนี้ถึง 2 คน
คนไทยเวลาออกเสียงชื่อเจ้าชายจิกมี จะเรียกว่าเจ้าชายจิ๊กมี
หรือบางคนก็เพี้ยนสูงเพียง "จิ๊กมี่"
"อมร" ได้ยินชื่อเจ้าชายครั้งแรกก็วิพากษ์วิจารณ์เลยทั้งที่ยังไม่เห็นหน้า
"ต้องเป็นคนเจ้าชู้แน่นอน"
"ทำไมล่ะ" ผมถามแบบงงๆ
"ชื่อบอกชัดเลย จิ๊กมี...ขโมยฉันเถอะ"
มิน่า เจ้าชายจิกมีจึงเป็นคนมือไว
ท่านยกมือไหว้เร็วมากเลยครับ
"สุรเกียรติ์ เสถียรไทย" ยังหลุดปากเลยว่าตอนที่เข้าเฝ้าสิ่งที่กลัวที่สุดคือกลัวว่าจะยกมือไหว้ไม่ทันเจ้าชาย
พูดถึงเรื่อง "ไหว้" สังเกตไหมครับว่าเจ้าชายจิกมีเป็นคนที่ไหว้สวยมาก
ไม่ใช่ท่าไหว้
แต่ทั้งหน้าตา รอยยิ้ม และการไหว้ทำให้เรารู้สึกว่าท่านไหว้ออกมาจากใจ
อย่าแปลกใจ ที่ช่วงหลังผมจะยกมือไหว้คนบ่อยขึ้น
เวลาใครถามผมก็จะตอบแบบถ่อมตัว
"ฝาแฝดครับ"